Special District 9 เขตพิเศษที่ 9 – ตอนที่ 21

ตอนที่ 21 อะไรคือความยุติธรรม?

บริเวณบันไดชั้นสามของสำนักงานตำรวจนครบาลเขตพื้นทมิฬ

“ไม่ต้องมาห้ามฉัน!” ฉีหลินกล่าวขณะสะบัดมือของแมวเฒ่าออก “ฉันแค่อยากไปถามว่าหยวนเค่อมีสิทธิ์อะไรถึงโอนย้ายฉันไปทำงานเอกสาร!”

“แล้วนายคิดว่าตัวเองเหมาะกับแนวหน้างั้นเหรอ? ตื่นได้แล้ว! แค่นี้ยังทำร้ายคนอื่นไม่พออีกรึไง?” แมวเฒ่าตะคอกใส่ฉีหลิน “ทุกคนโกรธและเสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น หากนายไปคุยกับหยวนเค่อตอนนี้สิ่งเดียวที่นายจะได้ก็คงเป็นลูกปืน อย่าโง่ไปหน่อยเลย!”

“…!”

ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเถียงกัน ฉินอวี่ก็เดินลงมาจากบันไดและถาม “พวกนายทำบ้าอะไรกัน?”

ทั้งสองผงะ

“ไม่อายบ้างเหรอที่ก่อเรื่องวุ่นวายที่นี่?” ฉินอวี่มองฉีหลินและแมวเฒ่าด้วยความไม่พอใจ “ไปหาที่นั่งกันเถอะ…ฉันมีเรื่องต้องคุยกับฉีหลินด้วย”

ฉีหลินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถูกฉินอวี่และแมวเฒ่าลากตัวออกไป

ณ ชั้นล่างสุดของสำนักงานตำรวจ

หลินเหนียนเล่ยกะพริบตากลมโตคู่สวยของเธอและกล่าว “ฉันเป็นนักข่าวจากบริษัทวิทยุออนไลน์…พอดีฉันรู้มาว่ามีการลักลอบขายยาเถื่อนในตรอกเถ้าธุลี แต่ระหว่างการสัมภาษณ์ กลุ่มอันธพาลได้ฉกเอากล้องของฉันไปค่ะ”

“คุณจำอันธพาลพวกนั้นได้ไหมครับ?”

“จำไม่ได้ค่ะ”

“กรอกเอกสารแจ้งความนี้พร้อมแนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน…อย่าลืมจดวัน เวลา สถานที่และรายละเอียดอื่นๆ ให้ชัดเจนด้วยนะครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวขณะยื่นเอกสารให้กับหลินเหนียนเล่ย

หลินเหนียนเล่ยกรอกเอกสารแจ้งความอย่างละเอียดก่อนส่งคืนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพลันสอบถาม “แค่นี้เหรอคะ? ไปจับพวกมันตอนนี้เลยไม่ได้เหรอ?”

“ใช่ครับ ตอนนี้คุณกลับไปก่อน…เราจะติดต่อกลับทันทีที่ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว”

“ไม่…เดี๋ยวก่อนนะคะ คือว่าพวกเขาฉกกล้องของฉันไปและตอนนี้อันธพาลกลุ่มนั้นก็ยังอยู่ในตรอกเถ้าธุลี ทำไมคุณถึงไม่ไปจับพวกมันตอนนี้เลยล่ะคะ?!” หลินเหนียนเล่ยเริ่มกระวนกระวายใจ

“ผมขอให้คุณช่วยสอนวิธีทำคดีเหรอครับ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้นั้นสั่นขาอย่างเกียจคร้านขณะตอบ “กลับไปได้แล้ว หากมีความคืบหน้าทางเราจะติดต่อไป”

“คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอ? พวกหัวขโมยนั่นยังอยู่ที่เดิม ทำไมถึงไม่รีบไปจับ?”

“ไม่เข้าใจภาษาคนเหรอ? บอกให้คุณกลับไปก่อน!”

“คุณ!…” หลินเหนียนเล่ยใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ “ช่างเถอะ! ฉันขอคุยกับฉินอวี่หน่อย เขาอยู่ที่นี่ไหม?”

“คุณรู้จักใครในนี้ด้วยเหรอ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้นั้นถามด้วยความตกใจ

“แน่นอน ฉันรู้จักฉินอวี่”

“รอสักครู่นะครับ” ท่าทีของนายตำรวจผู้นี้สุภาพขึ้นทันที เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก

หลินเหนียนเล่ยรอเกือบหนึ่งนาทีก่อนที่นายตำรวจผู้นี้จะหันมาส่ายหัว “ฉินอวี่ไม่อยู่ครับ”

หลินเหนียนเล่ยถอนหายใจกล่าว “ถ้าอย่างนั้นตามฉันไปเอากล้องคืนจากอันธพาลได้หรือเปล่า?”

“ไม่ได้ครับ…ผมจำเป็นต้องทำตามขั้นตอนและรายงานเรื่องนี้ให้เบื้องบนก่อน”

“…ว้าว! เล่นเอาฉันพูดไม่ออกเลย” หลินเหนียนเล่ยกลอกตาก่อนจะคว้ากระเป๋าและออกจากสำนักงานตำรวจไป

ณ ร้านขายอาหารข้างสำนักงานตำรวจนครบาลเขตพื้นทมิฬ

ฉีหลินนั่งนิ่งมองไปยังซาลาเปาบนโต๊ะด้วยสายตาเหม่อลอย

“ฉีหลิน…ใจเย็นหน่อย…แค่ทำตามคำสั่งและย้ายไปทำงานเอกสารก่อน ผู้หมวดหยวนกำลังโกรธ” ฉินอวี่แนะนำฉีหลิน

ดวงตาของฉีหลินแดงก่ำ เขาพึมพำอย่างขุ่นเคือง “มันไม่ยุติธรรม!”

แมวเฒ่าเป็นคนอารมณ์ร้อน เขาไม่พอใจกับท่าทีของฉีหลินเมื่อคืนอย่างมากและยิ่งโมโหเมื่อได้ยินสิ่งที่ฉีหลินพูด “ไม่ยุติธรรมเหรอ? ทำงานพลาดก็สมควรได้รับการลงโทษไม่ใช่เหรอ? ฉันเคยบอกไปแล้วว่าคนอย่างนายไม่เหมาะกับแนวหน้า…วันๆก็เอาแต่ฝันเฟื่องว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งจากการทำงานในหน่วยนี้…”

“แล้วดูผลที่ตามมาสิ! ที่ทีมปฏิบัติการทั้งหมดต้องพังไม่ใช่ว่าเป็นเพราะนายเหรอ? ถ้าเมื่อคืนเราจับอาหลงได้ คิดว่าเบื้องบนจะว่าอย่างไร? แน่นอนว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้จะได้รับรางวัล แต่นี่เป็นเพราะนายไม่กล้าเหนี่ยวไกปืนไง…นอกจากเราจะถูกลงโทษแล้ว จาบียังถูกยิงตายอีก! นายเห็นศพเขาหรือเปล่า? ศพที่ถูกยิงถึงสามนัดทั้งที่ใส่เสื้อเกราะอยู่!”

ฉินอวี่นิ่งเงียบเมื่อได้ฟังสิ่งที่แมวเฒ่าพูด

ฉีหลินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปยังแมวเฒ่าด้วยท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาวก่อนจะตอบกลับ “แมวเฒ่า…อย่าเพิ่งด่วนสรุปทั้งๆ ที่ยังไม่รู้รายละเอียดทั้งหมดได้ไหม?!”

“ยังมีเรื่องอะไรที่ฉันไม่รู้อีก? บอกมาสิ ฉันอยากจะรู้เหมือนกันว่าทำไมนายไม่ยอมยิงปืน!” แมวเฒ่ากระแทกชามลงบนโต๊ะและจ้องหน้าฉีหลินด้วยความโกรธ

ฉีหลินจ้องแมวเฒ่ากลับอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันตอบ “โอเค…ใช่! ฉันยอมรับว่ามันเป็นความผิดของฉันที่ไม่ยิงปืนออกไป”

“นายผิดอยู่แล้ว!”

“แล้วนายไม่เคยทำผิดพลาดเลยเหรอ?” ฉีหลินถาม

แมวเฒ่าพูดไม่ออก

“ตั้งแต่ถูกคุมประพฤติ ฉันไม่เคยฝ่าฝืนกฎของสำนักงานตำรวจเลยสักครั้ง!” ฉีหลินพูดเสียงสั่นมองแมวเฒ่าและฉินอวี่ “ฉันใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงในสำนักงานตำรวจแห่งนี้เหมือนกำลังเดินบนแท่นน้ำแข็งบาง ไม่ใช่แค่ไม่เคยทำผิด…ฉันพยายามทำทุกอย่างให้ได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสองเพื่อจะได้เงินเดือนที่เพิ่มขึ้นสักเล็กน้อยก็ยังดี ฉันต้องทำงานอย่างหนักให้ได้เป็นมือปืนอันดับต้นๆ ของสำนักงานและเป็นสามอันดับแรกของเขต นายเคยรู้บ้างไหม?”

ฉินอวี่รู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินเช่นนั้น เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าฉีหลินเคยได้รับรางวัลในการยิงปืน

“ในตอนที่สร้างชื่อเสียงให้กับสำนักงาน ฉันไม่เคยได้รับรางวัลอะไรเลย แต่ทันทีที่ทำผิดกลับถูกลงโทษอย่างหนัก นี่เหรอที่เรียกว่าความยุติธรรม?” ฉีหลินเอ่ยถามน้ำตาคลอ “การเป็นนายตำรวจระดับสองมันยากมากเลยเหรอ? ทุกอย่างที่มาจากเบื้องบน…ทำไมมันไม่มาถึงฉันบ้าง? ไม่เคยมีใครช่วยฉัน ทุกปีที่ได้รับการเสนอชื่อ…ก็ถูกปฏิเสธทุกครั้ง มันยุติธรรมแล้วเหรอแมวเฒ่า?”

แมวเฒ่าไม่เคยเห็นฉีหลินพูดกับเขาด้วยท่าทีเฉยเมยแบบนี้มาก่อนจึงชะงักไปชั่วขณะ

“ฉันไม่เหมือนกับนายนี่! ที่มีผู้กำกับหลี่คอยหนุนหลังเลยไม่มีใครกล้าเอาเปรียบ นายสามารถสบถด่าหยวนเค่อได้แบบไม่ต้องเกรงใจ แล้วฉันล่ะ? ถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น ฉันระบายกับใครได้บ้าง และถ้าวันไหนฉันเกิดพูดอะไรไม่เข้าหูก็อาจถูกไล่ออก…แล้วค่ารักษาพยาบาลแม่ฉันใครจะรับผิดชอบ? ใครจะดูแลน้องสาวฉัน? นายเหรอ? ยินดีที่จะรับผิดชอบพวกเขาแทนฉันไหม?” ฉีหลินกำหมัดแน่นและพูดด้วยท่าทีโวยวาย

“ที่นี่นายแค่ใช้ชีวิตต่างจากฉันที่ต้องเอาตัวรอด เหตุผลที่ฉันต้องหนีปัญหาเพราะฉันจะใช้ชีวิตตัวเองเดิมพันไม่ได้! ยังมีคนที่บ้านอีกสองชีวิตที่ต้องเลี้ยงดู ถ้าฉันหายไป…แม้จะแค่สามวัน พวกเขาคงอดตาย! ขณะที่นายมีคนคอยจุนเจือ แต่ฉันมีแต่ภาระ! นี่คือเหตุผลที่ทำให้นายได้ยืนในจุดสูงสุดและเหยียบย่ำฉันไง ในขณะที่ฉันทำได้เพียงทนรับมัน แม้ว่าจะทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อจะไปอยู่ในจุดเดียวกับนาย แต่สุดท้ายก็ได้แค่หวัง!”

หลังพูดจบ ฉีหลินก็ยืนขึ้นพลันกล่าวอย่างเย็นชา “พวกนายกินกันไปเถอะ…ฉันขอตัวก่อน”

“ฉีหลิน!” ฉินอวี่ตะโกน

ทว่าฉีหลินไม่ได้หันมามองฉินอวี่แม้แต่น้อย เขาเดินออกจากร้านขายอาหารเช้าไปด้วยท่าทีอิดโรย

แมวเฒ่าขมวดคิ้วมองฉีหลินพลางทานข้าวต้มต่อ

กลับกันฉินอวี่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิด

ผ่านไปสักพัก แมวเฒ่าก้มหน้าพร้อมถาม “ฉันพูดแรงไปเหรอ?”

“อืม…นิดหน่อย” ฉินอวี่พยักหน้า

“ฉันแค่เป็นห่วง…” แมวเฒ่าถอนหายใจ

ฉีหลินเดินย่ำไปตามถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ เขาอยากจะซื้อแอลกอฮอล์สักขวดเพื่อดื่มย้อมใจให้กับความผิดหวัง ทว่าเมื่อล้วงกระเป๋า ฉีหลินก็คิดได้ว่าแม้แต่แอลกอฮอล์ที่ถูกที่สุดยังมีราคาถึงยี่สิบห้าดอลลาร์…

เขาทำได้เพียงอดทนต่อความรู้สึกที่เดือดพล่านและเดินกลับบ้านไปอย่างช้าๆ

ณ บ้านหลังหนึ่งในตรอกเถ้าธุลี

อาหลงสูบบุหรี่พลันขมวดคิ้วมองลุงหม่า “ผมจะไปได้เมื่อไร?”

“ฉันกำลังเตรียมการ…คิดว่าไม่น่าเกินสองวัน”

“ก่อนจะไป ผมอยากออกไปข้างนอกหน่อย”

“เสียสติไปแล้วหรือไง? ถ้าพวกตำรวจเห็นนายอยู่ข้างนอกคงได้แห่มาจับกันให้ควั่ก!” ลุงหม่ากล่าวตักเตือน

“ผมไม่รู้ว่าหากออกจากที่นี่ไปแล้วจะได้กลับมาอีกเมื่อไร” อาหลงกล่าวพร้อมก้มหัวลง “ผมหวังเพียงอยากตั้งตัวให้ได้”

……………………………………

Special District 9 เขตพิเศษที่ 9

Special District 9 เขตพิเศษที่ 9

บทนำ โลกกำลังเกิดหายนะ…ภัยพิบัติร้ายแรงทำลายล้างมนุษยชาติ…สัตว์กลายพันธุ์…ผู้คนขาดแคลนอาหาร…สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม…ยุคสมัยและอารยธรรมถูกทำลาย… ‘ฉินอวี่’ ชายหนุ่มผู้อาศัยอยู่ในเขตพัฒนาซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนไร้กฎ ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสังเวช…ทั้งถนนผุผัง ระบบบำบัดน้ำเสียใช้การไม่ได้ รวมไปถึงบ้านเก่าทรุดโทรมและกลิ่นปฏิกูลคละคลุ้ง ฉินอวี่จึงลาออกจากงานและตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อซื้อสัญชาติเข้าไปอยู่ในเขตปกครองพิเศษที่เก้า…หวังให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม! ภายในเขตพิเศษที่เก้า…ฉินอวี่เข้าสมัครงานในสำนักงานตำรวจนครบาลเมืองพื้นทมิฬเพื่อดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพ แม้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ทว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีซ่อนอยู่…เขาได้เจอเพื่อนร่วมงานผู้หวังดีที่เปรียบเสมือนเพื่อนแท้… ระหว่างทำงานในสำนักงานตำรวจ…ฉินอวี่ได้เผชิญการกดขี่มากมายและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยไหวพริบเฉียบแหลมและแผนการอันชาญฉลาด เขาจะสร้างตำนานบทใหม่ของตนเองได้อย่างไร…โปรดติดตามต่อใน…เขตพิเศษที่เก้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset