สตรีในชุดสีม่วงผู้นั้นตวาดกลับอย่างเดือดดาล “คุณหนูของข้าเป็นคนของตระกูลเฟิ่ง ! ผู้นำรุ่นน้อยแห่งสำนักหลิวหลีผู้เป็นที่เลื่องลือในนาม ‘เทพธิดาบัวเยือกแข็ง’ เจ้าบ้านนอก อย่าบอกนะว่าแม้กระทั่งสำนักหลิวหลี หนึ่งในสี่สำนักใหญ่แห่งทวีปหมีหลัวเจ้าก็ไม่รู้จัก ? กระทั่งชิงหลง ไป๋หู่ และทุกคนในตำหนักราชันมัจจุราชล้วนต้องให้ความเคารพนับถือคุณหนูของข้า ทุกคนล้วนต้องเข้ามาทำการคารวะคุณหนูทุกครั้งที่ได้พบเห็น นับเป็นเกียรติสำหรับคนกักขระไร้ชื่อเสียงเรียงนามเช่นเจ้าแล้วที่ได้มีโอกาสพบเห็นคุณหนูของข้า ถึงเพียงนี้เจ้ายังไม่รู้จักแยกแยะอีกกระนั้นรึ !”
ม่านตาของเกอซีหรี่ลงเล็กน้อย ที่ชังน้ำหน้าที่สุดนั้นคือยามเมื่อมีผู้แสดงท่าทีหยิ่งผยองต่อหน้านาง “หากเจ้าชอบก้มหน้าคุกเข่าเลียเท้าผู้อื่นก็เชิญตามสบาย ! อย่ามายุ่งกับข้าจะดีกว่า !”
สตรีในชุดสีม่วงผู้นั้นมิคิดเลยว่าเสียน้ำลายพร่ำพรรณนาไปตั้งมากกลับไม่อาจได้เห็นแม้เพียงร่องรอยแห่งความหวั่นเกรงใดจากหนุ่มน้อยเบื้องหน้า หากทว่าสีหน้าท่าทางที่แสดงตอบกลับมากลับสามารถจุดชนวนความเดือดดาลของนางได้ดียิ่ง เสียงเกรี้ยวกราดโต้กลับในทันที
“รู้ไหมว่า คุณหนูของข้านั้นไม่เพียงเป็นสตรีรูปงามที่หาตัวจับได้ยากเท่านั้น นางยังเป็นว่าที่พระชายาแห่งตำหนักราชันมัจจุราชนี้ด้วย เจ้าไม่กลัวองค์ชายราชันมัจจุราชจะมาเฉือนร่างของเจ้าออกเป็นแปดเสี่ยงกระนั้นรึ !”
ว่าที่พระชายาในตำหนักราชันมัจจุราช ?
ประกายตาเย็นเยียบสายหนึ่งพาดผ่านดวงตาของเกอซีไปวาบหนึ่ง ภายในใจกลับรู้สึกคล้ายถูกตะปบ ความโกรธกริ้วโกรธา ความหม่นมัวยุ่งเหยิงระเบิดท่วมท้นอยู่ในอกคล้ายอยากระบายออกด้วยการไล่เข่นฆ่าผู้คน
ทว่าภายใต้ดวงหน้านั้นยังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มอันเฉยชา
“เช่นนี้เอง ที่แท้ก็คือว่าที่พระชายา….เป็นว่าที่พระชายาในองค์ราชันมัจจุราชแล้วอย่างไร เกี่ยวอะไรกับข้า ? ข้าหาใช่คนของตำหนักราชันมัจจุราชไม่ !”
ความโกรธโกรธาอาบกระจายไปกระทั่งทั่วใบหน้าของสตรีในอาภรณ์สีม่วง ใบหน้าของนางแดงก่ำแลดูน่าเกลียดน่ากลัว เนื้อตัวของนางสั่นเทาด้วยความโกรธเกรี้ยว เสียงดัง ‘ฟึ่บ’ ปลายกระบี่ด้ามยาวก็ถูกชักออกจากฝัก แรงพลังปราณจากผู้มีวรยุทธขั้นพลิกผันปฐพีพุ่งตรงแทงเข้าหาเกอซี
เกอซีหรี่ตาจับจ้องปลายกระบี่ที่ส่งอายเย็นยะเยียบท่ามกลางแสงตะวันที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาหาตนพร้อมมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นอย่างเย้ยหยัน
“จื่อเหยียนอย่าเสียมารยาท”
เพียงปลายกระบี่เข้าใกล้ในระยะประชิด น้ำเสียงที่อ่อนโยนใสสะอาดคล้ายตำหนิสายหนึ่งพลันดังขึ้น
พร้อมกันนั้นเอง ปลายกระบี่ด้ามยาวที่พุ่งเข้าหาเกอซีกลับชะงักค้างอยู่กลางอากาศก่อนจะลอยละลิ่วกลับคืนสู่มือของสตรีในชุดสีม่วงราวกับว่าวที่สายป่านขาดหลุดลอย
จื่อเหยียนคว้าด้ามกระบี่กลับคืนมากระทืบเท้าตึงตังส่งเสียงบ่นไม่หยุด
“คุณหนูเจ้าคะ เจ้าคนไร้มารยาทผู้นี้ไม่ให้เกียรติคุณหนูเอาเสียเลย คุณหนูยังจะปล่อยมันไป ไม่ลงมือสั่งสอนมันให้หลาบจำบ้างหรือเจ้าคะ”
สายตาของจื่อเหยียนมองผ่านเข้าไปท่ามกลางกลุ่มคนที่ยามนี้เริ่มแตกกระจัดกระจายตัวกันออกมา สตรีในอาภรณ์ยาวสีขาวค่อย ๆ เยื้องกรายออกมาจากฝูงชน
เมื่อเกอซีส่งสายตามองตามสตรีผู้นั้นก็คล้ายความสว่างเจิดจ้าปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตา
ดวงหน้านั้นงดงามละเอียดอ่อน ทรวดทรงองค์เอวอ่อนบางกิริยาแช่มช้อยนุ่มนวล ความงามที่สามารถสะกดสายตาตรึงดวงใจคล้ายนางมิใช่หมู่มนุษย์ อายรัศมีอันสูงสง่าถูกปลดปล่อยออกมาจากทั่วสรรพางค์กายปานประดุจบุปผางามที่ปรากฏอยู่บนยอดเขาอันสูงชัน ไกลจนเกินเอื้อม มิอาจล่วงเกิน มิอาจไขว่คว้าครอบครอง
ขณะที่เกอซีกำลังเพ่งพินิจอยู่กับสตรีในอาภรณ์สีขาวเบื้องหน้า อีกฝ่ายก็กำลังพิเคราะห์นางอยู่เข่นกัน เมื่อเพ่งแลดูดวงหน้าที่ประณีตงดงามทรงความสวยสง่าของเกอซีที่ปานประดุจผลงานชิ้นเอกซึ่งถูกสลักเสลาขึ้นมาจากสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า ความหม่นมัวพลันพาดผ่านนัยน์ตาของสตรีในชุดขาวขึ้นวูบหนึ่ง
ครั้นเมื่อเกอซีถูกอีกฝ่ายจับจ้องอยู่พักหนึ่งก่อนนางจะหันหลังจากไปอย่างไม่ไยดี คล้ายเกอซีเป็นเพียงตัวตลกที่ไร้ค่าไม่อยู่ในสายตาของนาง ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เกอซีเริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
“คุณหนู—- ให้ข้าสั่งสอนเจ้าคนไร้มารยาทผู้นี้เถิดนะเจ้าคะ” จื่อเหยียนกระเถิบเข้าไปหาเทพธิดาบัวเยือกแข็งด้วยอาการกึ่งเว้าวอนกึ่งกระเง้ากระงอด
อีกฝ่ายเพียงขยักยิ้มอย่างงดงามด้วยท่าทีโอหัง “จื่อเหยียนข้าบอกเจ้าตั้งกี่คราแล้วว่า ยามนี้เรายังอยู่ในตำหนักราชันมัจจุราช แม้หากเจ้าต้องการจะสั่งสอนเจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงผู้นี้ก็ควรให้เป็นหน้าที่ของคนในตำหนักราชันมัจจุราช…..เช่นนั้นไหม พี่ยวี่ ?”
***จบตอน เทพธิดาบัวเยือกแข็ง***