“ถ้าหากเจ้าเปลี่ยนเป็นขันทีเล่า มิรู้ว่าเจ้าจะยังได้ทั้งเจียงซานและสาวงามอีกหรือไม่!”
กริชคมกริบเล่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในมือของหลินเมิ้งหยา มือกำแน่น
เสียงร้องโหยหวนของหูลู่หนานดังขึ้นมาในทันที
หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มเย็นยะเยือก มือที่กำลังถือกริชชุ่มไปด้วยเลือด ทว่าใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่กลับส่งยิ้มหวาน หวานเสียจนน่าขนลุก
“ข้าจะ…ฆ่าเจ้า!”
คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวที่มีรูปร่างบอบบางตรงหน้าจะลงมือได้โดยไร้ความปรานีเช่นนี้
ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปถึงกระดูก หูลู่หนานส่งเสียงร้องด้วยความทรมาน
ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาอยากจะบีบคอใครให้ตายขนาดนี้
“เจ็บหรือ? นี่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น! ความเจ็บปวดที่เจ้ามอบให้กับพี่เยว่ถิง ข้าจะเอาคืนอย่างสาสม!”
กริชในมือพุ่งออกไปตามคำพูดของหลินเมิ้งหยา เวลาเพียงไม่กี่นาที ท่อนขาของหูลู่หนานเต็มไปด้วยกองเลือด
นางเฉือนตำแหน่งที่ยากที่สุด ลงมืออย่างอำมหิต ไม่นานหูลู่หนานก็สลบไปเพราะความเจ็บปวด
“พอแล้ว”
ขณะที่เงื้อมีดขึ้นอีกครั้ง มือข้างหนึ่งกลับเข้ามาจับมือของนางเอาไว้
หลินเมิ้งหยาที่กำลังดำดิ่งอยู่ในภวังค์แห่งความโกรธแค้นเงยหน้าขึ้นมาคนที่เข้ามาหยุดตัวเองด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
“เมิ้งหยา ถ้ายังแทงเขาอีก เขาจะตายแน่นอน”
นี่คือใบหน้าแบบไหนกันนะ ทั้งที่กำลังยิ้ม ทว่าดวงตากลับเผยให้เห็นความรู้สึกเจ็บปวดเสมือนหัวใจสลาย
หลงเทียนอวี้ยกมือขึ้นเช็ดเลือดบนใบหน้าของนาง
“เมิ้งหยา เจ้าแก้แค้นให้เยว่ถิงสำเร็จแล้ว ข้าจะจัดการต่อเอง”
มือที่กำกริชแน่นคลายออกเมื่อเห็นสายตาอบอุ่นอ่อนโยนของหลงเทียนอวี้
ในที่สุดสายตาของหลินเมิ้งหยาก็กลับมาเหมือนมนุษย์ปกติดังเดิม หยาดน้ำตาพลันรินไหลลงมา
“พี่เยว่ถิง พี่เยว่ถิงนาง…”
ภายในความทรงจำอันแสนอบอุ่นของนาง เยว่ถิงยืนอยู่ในนั้นด้วย
หรือว่า…นี่จะเป็นความทรงจำที่เจ้าของร่างต้องการจะยัดเยียดให้นางได้รับรู้ ทว่าความรู้สึกยังคงเหมือนเดิมและไม่เปลี่ยนเพียงเพราะวิญญาณในร่างเป็นคนละคนกัน
เสื้อผ้า รองเท้า สิ่งของที่ให้ความอบอุ่นแก่นางทุกชิ้น ผลไม้สดๆ ที่ไม่เคยได้เห็นหรือกินบ่อยนัก ทั้งสร้อย กำไลและเครื่องประดับ หลินเมิ้งหยาสูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก คนเดียวที่มอบสิ่งของเหล่านั้นให้กับนางเพียงคนเดียวคือเยว่ถิง
หลินเมิ้งหยาไม่เคยเสียน้ำตามาก่อน เหตุเพราะเยว่ถิงต้องการการปกป้องจากนาง
ทว่าในอ้อมกอดของหลงเทียนอวี้ ความเจ็บปวดในหัวใจก็พลันระเบิดออกมาทันที
“ข้าจะฆ่าเขา ข้าอยากฆ่าคนที่รังแกพี่เยว่ถิงทุกคน!”
ความทรงจำหวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อวานนางยังคุยเรื่องที่พี่เยว่ถิงจะได้ใช้ชีวิตกับพี่ชายอย่างมีความสุขอยู่เลย
ทว่าเวลาเพียงคืนเดียว เพราะคนสารเลวคนนี้ เขาพรากทุกสิ่งทุกอย่างไป
“เจ้าฟังข้า เมิ้งหยา ฟังข้า”
มือหนา จับศีรษะของหลินเมิ้งหยาเอาไว้แน่น ริมฝีปากบางเลื่อนเข้ามาประทับลงบนริมฝีปากของนางที่กำลังสั่นระริก
ท่าทางเช่นนี้ของนาง ทั้งความบ้าระห่ำหรือแม้แต่อาการตกอยู่ในภวังค์ทำให้เขาเจ็บปวดขึ้นมา
ริมฝีปากเย็นยะเยือกจุมพิตของหลงเทียนอวี้ทำให้อบอุ่นขึ้นมา
เพียงริมฝีปากที่แนบติดกันเบาๆ เท่านั้น กลับทำให้หลินเมิ้งหยาสงบลง
“แค้น พวกเราจะชำระอย่างแน่นอน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลานั้น”
อารมณ์ที่ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงทำให้ร่างกายของหลินเมิ้งหยาไร้เรี่ยวแรง
ปล่อยให้หลงเทียนอวี้โอบอุ้มเอาไว้ในอ้อมกอดแต่โดยดี
เสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ปกปิดร่างของหญิงสาวในอ้อมกอด หลงเทียนอวี้ชำเลืองมองชายที่กำลังนอนจมกองเลือดด้วยสายตาเย็นชา
เพราะเหตุนี้เสือตัวนั้นจึงหนีออกจากกรงในเวลานี้
เจ้านี่คงใช้กลอุบายล่อเสือออกจากถ้ำสินะ
แม้เขาเองก็คิดอยากปลิดชีวิตของชายตรงหน้า แต่เหมือนอย่างที่เขาเคยพูดกับหลินเมิ้งหยาเอาไว้ โอกาสยังมาไม่ถึง
ออกแรงพลิกร่างของเขา ขาพลันตวัดขึ้นเตะเขาแรงๆ หนึ่งที
เสียงเจ็บปวดรวดร้าวดังขึ้น หลงเทียนอวี้พาหลินเมิ้งหยากลับออกไป
ลูกเตะของเขาทำให้กระดูกสันหลังของหูลู่หนานขาดสะบั้น
จากนี้ไป ชั่วชีวิตนี้ของหูลู่หนานคงทำได้เพียงนั่งกะพริบตามองท้องฟ้า แต่เขาคงพูดหรือขยับไม่ได้อีก
เขาอุ้มหลินเมิ้งหยาหลบหลีกสายตาขององครักษ์
นางยังคงขดตัวสงบนิ่งอยู่ในอ้อมกอด ดวงตากลมโตสีดำไร้ซึ่งแสงประกายใดๆ
หลงเทียนอวี้ครุ่นคิดไปครู่ ก่อนเบี่ยงเบนความสนใจ และวางร่างหลินเมิ้งหยาลงบนหลังม้า ทั้งสองคนหายตัวไปท่ามกลางความมืดมิด
หลินเมิ้งหยาบนหลังม้า ยังคงนิ่งเงียบ
เรื่องของเยว่ถิงสร้างความเจ็บปวดให้นางเป็นอย่างมาก
หลงเทียนอวี้ถอนหายใจเบาๆ ทว่าขาออกแรงกระแทกท้องของม้าเพื่อเร่งความเร็ว
ในที่สุด ม้าที่ควบออกมาอย่างรวดเร็วพาทั้งสองมาที่ถ้ำแห่งหนึ่งบนภูเขา
หลินเมิ้งหยาเลื่อนสายตามองถ้ำขนาดใหญ่
“ที่นี่ที่ไหนหรือเพคะ?” หลินเมิ้งหยาเอ่ยถาม
หลงเทียนอวี้อุ้มนางลงจากหลังม้า
“ตามข้ามา”
พลางกุมมือนาง และเดินเข้าไปในถ้ำ หลินเมิ้งหยาเดินตามหลังเขาไป
เดินเข้าไปได้ราวยี่สิบก้าว เมื่อผ่านโค้งทางด้านหน้า พวกเขาได้เห็นแสงริบหรี่อยู่ภายใน
หลินเมิ้งหยาลืมตาโต มองดูภาพตรงหน้า
“ทำไมถึง…”
ภายใต้แสงริบหรี่ แม่เสือขาวนอนนิ่ง ร่างกายแข็งทื่อ
บริเวณหน้าท้องของเสือตัวนั้น คือลูกเสือขนสีขาวบริสุทธิ์ที่เพิ่งเกิดกำลังดูดดื่มน้ำนมจากแม่เสือ
“ตอนที่พวกเราเจอมัน มันได้รับบาดเจ็บสาหัส หมอรักษาสัตว์ที่ข้าพามาเป็นคนทำคลอดให้มัน แต่แม่เสือไม่อาจทนผิดบาดแผลได้จึงตายลง”
หลงเทียนอวี้เดินเข้าไป อุ้มลูกเสือตัวน้อยเอาไว้
ลูกเสือน้อยที่เพิ่งเกิด ยังไม่ทันจะลืมตาก็ถูกจับเสียแล้ว
“พวกเราจะพามันกลับไปอย่างนั้นหรือ?”
ลูกเสือดิ้นหนีจากมือของหลงเทียนอวี้ เห็นได้ชัดว่าหลงเทียนอวี้เป็นชายหยาบกร้าน เขาไม่เคยชินกับการดูแลสัตว์ตัวเล็กๆ เช่นนี้
ท่าทางแข็งทื่อนั้น สุดท้ายก็ยอมส่งตัวลูกเสือน้อยให้กับหลินเมิ้งหยา
ครู่ต่อมา หลินเมิ้งหยาโอบอุ้มลูกเสือตัวน้อยขนนุ่มนิ่มน่ารักเอาไว้ ในที่สุดหัวใจของนางก็เริ่มอบอุ่นอีกครั้ง
“หากทิ้งมันไว้ที่นี่ มันจะหิวตายนะเพคะ”
หลินเมิ้งหยาพูดจาฉะฉาน ทว่ามือกลับไม่ยอมคลายออกจากลูกเสือเลยแม้แต่น้อย
ลูกเสือตัวนี้จะต้องหิวตายอย่างแน่นอน ขาหน้าเกาะนิ้วของหลินเมิ้งหยาก่อนจะดูดเลียเพราะความหิวโหย
ลิ้นสากเล็กๆ เลียนิ้วมือของหลินเมิ้งหยาไม่หยุด จักจี้ เปียกชื้น
“ใช่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นป่าแห่งนี้ยังมีพวกหมาป่า เมื่อไหร่ดีเปลวเพลิงดับลง เกรงว่าพวกมันจะไม่มีทางปล่อยลูกเสือตัวนี้ไป”
ความรักของแม่ยิ่งใหญ่เสมอ
อุปนิสัยของหมาป่าคือกลัวไฟ
เพื่อลูกน้อยเพียงตัวเดียวของตนเอง แม่เสือเลือกคลอดลูกใกล้กับกองเพลิง
แบกความหวังว่าเปลวไฟจะสามารถพาคนที่มารับช่วงต่อดูแลลูกของตนเองไปได้
“ข้าอยากพามันกลับไป ถึงอย่างไร ที่บ้านก็รับเลี้ยงอาเสวี่ยแล้ว เพิ่มมาอีกตัวคงไม่เป็นไร”
หลินเมิ้งหยาอดไม่ได้ที่จะมองลูกเสือตัวน้อยที่กำลังหิวโหย บางที พี่เยว่ถิงเองก็อาจชอบมันมากเหมือนกัน
แย่แล้ว!
หลินเมิ้งหยาสบถในใจ เยว่ถิงในเวลานี้ต้องการคำปลอบโยนและการดูแลจากนางที่สุด
นางมัวแต่แก้แค้น จนลืมเรื่องสำคัญเรื่องนี้ไป
“ท่านอ๋อง พวกเรารีบกลับกันเถิดเพคะ หม่อมฉันอยากกลับไปดูแลพี่เยว่ถิง”
อยู่ ๆ ก็กระวนกระวาย กลับมามีท่าทางเหมือนเมื่อก่อนอีกครั้ง
หัวใจที่เสมือนถูกแขนอยู่บนหุบเหวของหลงเทียนอวี้กลับมาปกติดังเดิม
โชคดี นางยังมีสิ่งที่คอยยึดเหนี่ยวจิตใจเอาไว้
“ได้ พวกเรากลับกันเดี๋ยวนี้เลย”
จากนั้นก็อุ้มหลินเมิ้งหยาและลูกเสือ ขึ้นหลังม้า ทั้งสองควบม้ากลับไปยังที่พัก
เหตุเพราะเกิดเรื่องที่เสือหลุดหนีไป อีกทั้งยังมีเรื่องขององค์ชายรองและเยว่ถิง ดังนั้นที่พักจึงเกิดความวุ่นวาย
หลินเมิ้งหยาไม่สนใจสิ่งใด พลันกระโดดลงจากหลังม้า อุ้มลูกเสือวิ่งเข้าไปในกระโจมในทันที
หลงเทียนอวี้นั่งอยู่บนหลังม้า สายตามองตามร่างเล็กๆ ที่วิ่งหายไป
“ท่านเป็นผู้ลงมือทำร้ายหูลู่หนานใช่หรือไม่?”
เสียงเรียบถูกส่งออกมา หลงเทียนอวี้หันหน้าไปมองใบหน้าฉายแววสงสัยของหลงชิงหาน
“เขาสมควรตาย”
ยังไม่ต้องพูดถึงวิธีการที่เขาใช้ หูลู่หนานข่มขืนเยว่ถิง เคยลักพาตัวหลินเมิ้งหยา คนผู้นี้สมควรตายแล้ว
“ข้ารู้ว่าเขาสมควรตาย แต่ท่านทำร้ายเขาตอนนี้รังแต่จะทำให้ฮ่องเต้หมิงโกรธเกรี้ยว หรือท่านลืมเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเราไปแล้ว?”
ตั้งแต่เด็กจนโต ใช่ว่าหลงชิงหานจะติดตามหลงเทียนอวี้อย่างคนไร้สมอง
หลงเทียนอวี้ที่มักจะใจเย็นและสงบนิ่งเสมอมามักเป็นแบบอย่างที่ดีของเขาเสมอ
ทว่า เขาเปลี่ยนไปนับตั้งแต่วันที่ได้เจอกับพี่สะใภ้
เขาไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา เพื่อทำให้หญิงคนนั้นดีใจ
หลงเทียนอวี้คนนี้ยังใช่พี่สามของเขาหรือไม่?
“ข้ายังไม่ลืม ชิงหาน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจ้าไม่เหนื่อยหรือ?”
นับตั้งแต่วันที่รู้เรื่องมากขึ้น ความรักของเสด็จพ่อมิต่างอะไรกับดาบสองคม เขาจำเป็นต้องระมัดระวังปลายดาบนั้นเสมอ
อยากได้แต่ก็ไม่กล้าร้องขอ หากไท่จื่อชอบพอของชิ้นนั้น เขาจำต้องถอยห่างถึงสามก้าว
เมื่อเป็นเช่นนั้นนานวันเข้า เขาชินกับการหักห้ามใจของตนเอง จนกระทั่งเขาไม่เคยรับรู้ความต้องการของตนเองอีกต่อไป
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับทำให้เขามองเห็นสิ่งที่แตกต่างออกไป
นางเป็นคนโอหัง คิดอยากทำอะไรก็ทำ ไม่มีใครตามความคิดของนางทัน
ทหารสกัดแม่ทัพ ดินสกัดน้ำ นางมิเคยกลัวเกรงต่อสิ่งใด
การกระทำของนางค่อยๆ ขุดความภาคภูมิใจในส่วนลึกของหัวใจเขาขึ้นมา
“พี่สาม ท่านรู้ดีว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม”
ริมฝีปากของหลงชิงหานเผยให้เห็นความขมขื่น
เขาอยากใช้ความสามารถของตนเองทำให้เจียงซานแห่งต้าจิ้นมั่นคงและทำให้ราษฎร์มีความสุข
แต่เรื่องนี้กลับถูกฮองเฮาและไท่จื่อขวางทางเอาไว้ สุดท้ายเขาจึงกลายเป็นองค์ชายไร้ความสามารถในสายตาผู้อื่น เขากลายเป็นคนไร้ประโยชน์