แต่ตอนนี้นางจะขุดบาดแผลของพี่เยว่ถิงขึ้นมาได้อย่างไร?
“เจ้าหลบออกไปเดี๋ยวนี้ เยว่ถิง เจ้าบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ เหตุใดของประจำกายตัวเจ้าจึงไปตกอยู่ในมือขององครักษ์! พวกเราสกุลเยว่ถูกเจ้าทำให้เสียชื่อหมดแล้ว”
ฮูหยินเยว่ผลักมือของหลินจงอวี้ออก ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
เสียงร้องโวยวายของนางดึงดูดความสนใจจากคนจำนวนมาก
หลินเมิ้งหยาเองก็ได้เห็นเหตุการณ์ด้านนอกแล้ว ทุกคนกำลังชี้มือชี้ไม้เข้ามาภายใน
ตกลงนางเป็นแม่แบบไหนกันแน่ ลูกสาวของตนเองถูกข่มขืน แต่นางกลับร้องโหวกเหวกโวยวายเหมือนกลัวจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้อย่างไรอย่างนั้น
“ท่านป้าเยว่ อย่าสาวไส้ให้กากินเลย เรื่องนี้เงียบไว้จะดีที่สุด”
หลินเมิ้งหยามีใบหน้าเย็นชา ไม่เคยเจอแม่แบบนี้มาก่อน
“ฮึ เจ้าบอกมิใช่หรือว่าพี่ชายของเจ้าหมั้นหมายกับเยว่ถิงเอาไว้แล้ว? เช่นนั้นนางก็มิใช่คนของสกุลเยว่อีกต่อไป ในเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น พวกเจ้าสกุลหลินคงยังต้องการนางอยู่ใช่หรือไม่?”
เหตุใดบนโลกใบนี้จึงมีมารดาเช่นนาง
หรือผลประโยชน์ที่ได้รับจากฮองเฮาจะสามารถซื้อกระทั่งชีวิตของลูกสาวนางได้?
เพลิงพิโรธพวยพุ่งขึ้นในใจของหลินเมิ้งหยา นางผิดเอง หากรู้ว่าแม่ของเยว่ถิงจะประสงค์ร้ายเช่นนี้ นางคงจะรับตัวเยว่ถิงมาก่อนหน้านั้นแล้ว
“ดี นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เยว่ถิงมิใช่ลูกสาวของท่านอีก ข้าจะพานางไปด้วย หลบไป”
หลินเมิ้งหยาพยุงร่างอ่อนยวบยาบของเยว่ถิงขึ้นมา และกำลังจะพาจากไป
มองดูหยาดน้ำตาบนใบหน้าของพี่เยว่ถิง คนบริเวณรอบๆ ชี้มือชี้ไม้มาทางนาง ราวกับต้องการตำหนิติเตียนหญิงสาวผู้น่าสงสารคนนี้
“หุบปากให้หมด!”
ด้านนอกกระโจม หลินจงอวี้ส่งเสียงตะคอก คนเหล่านั้นปิดปากสนิท
มองดูใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มน้อย เมื่อได้เห็นท่าทางเย็นชาของเขา คนเหล่านั้นจึงสงบลง
“พี่เยว่ถิง พวกเราไปกันเถิด”
ช่วยเยว่ถิงสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย หลินเมิ้งหยาไม่อยากให้เยว่ถิงต้องทนทุกข์ทรมานอีกแล้ว
ร่างกายบอบบางพยุงร่างของเยว่ถิงเพียงลำพัง ขณะที่เดินผ่านฮูหยินเยว่ที่กำลังโกรธเกรี้ยว ใบหน้านวลของหลินเมิ้งหยาพลันเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
“อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยคนที่ทำร้ายพี่เยว่ถิงไป จงจำเอาไว้ พวกเราสกุลหลินล้วนเป็นคนอำมหิต พวกเราจะไม่หยุดจนกว่าศัตรูของเราจะตาย”
ดวงตาที่เคยสุกสกาวราวหยดน้ำกลับกลายเป็นเย็นชา
ทั้งที่เป็นเพียงหญิงสาวร่างกายบอบบาง ทว่าคำพูดของนางประหนึ่งใบมีดอันแสนคมกริบ แม้แต่ฮูหยินเยว่เองยังต้องขยับเท้าถอยหลัง
“เจ้า…บังอาจพูดกับข้าเช่นนี้เชียวหรือ! คิดหรือว่าอ๋องอวี้จะปกป้องเจ้าได้?”
เย็นชาเหลือเกิน ร่างของฮูหยินเยว่หดลงเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นยังคงยืดอกตอบโต้ฝีปากกับหลินเมิ้งหยา
“ปกป้องได้หรือไม่ได้ไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องมาสนใจ พวกเราสกุลหลินไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ แน่นอน ฮูหยินเยว่ ข้าไม่สนใจหรอกว่าท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ แต่ความโกรธของพวกเราสกุลหลิน ท่านไม่มีทางรับผิดชอบไหวแน่นอน”
สกุลหลินเปรียบเสมือนเสือหมอบในราชวงศ์ ยิ่งไปกว่านั้นยังปฏิบัติตนอยู่ในครรลองครองธรรม
แม้แต่ซ่างกวนชิงและหลินเมิ้งหวู่เองก็ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของท่านพ่อ
สกุลหลินมีทายาทสืบทอดรุ่นต่อรุ่นเป็นร้อยปี อีกทั้งยังเป็นสกุลเดียวที่อยู่รอดมาได้นับตั้งแต่ก่อตั้งต้าจิ้น
ตั้งแต่ก่อตั้งต้าจิ้น อำนาจทางการทหารตกอยู่ในมือสกุลหลินมาโดยตลอด
ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนกี่บัลลังก์ สกุลหลินยังคงยืนหยัดอยู่ได้เสมอ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความน่าเกรงขามของสกุลหลิน
ดังนั้น ฮองเฮาจึงพยายามวางแผนส่งน้องสาวตนเองมาแต่งงานกับท่านพ่อ
สาเหตุหลักก็คงเพื่อควบคุมอำนาจสกุลหลิน
แต่สกุลหลินที่สงบนิ่งราวเสือหมอบเสมอมา กลับทำให้ผู้อื่นลืมไปว่าพวกเราสกุลหลินถือครองอำนาจทางการทหารมากน้อยเพียงไหน
แม้แต่ฮองเฮา หากทำให้สกุลหลินขุ่นเคือง เกรงว่าจะหนีเพลิงแห่งความแค้นไม่พ้น
“ฮึ หากเจ้าไม่พูดข้าเองก็คงลืมไปแล้ว เจ้าคิดว่าสกุลหลินจะเบ่งอำนาจไปได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว?”
น้ำเสียงของฮูหยินเยว่เจือไว้ซึ่งความสุขใจทั้งที่ผู้อื่นกำลังมีความทุกข์ ดวงตาของหลินเมิ้งหยาสั่นไหวเล็กน้อย สตรีตรงหน้าจึงเงียบลง
ทว่า หลินเมิ้งหยาที่ได้ยินคำพูดของนางรีบเอ่ยถาม
“หมายความว่าอย่างไร?”
ฮูหยินเยว่หลบตาหลินเมิ้งหยา ทว่าสายตากระหยิ่มยิ้มย่องกลับเผยความจริงในใจของนางออกมา
ข้างกายของหลินจงอวี้คือทหารองครักษ์ราวสิบกว่าคน ทุกคนเข้ามาห้อมล้อมบริเวณนี้เอาไว้ หลินเมิ้งหยามองดู นางรู้สึกคุ้นหน้าของคนเหล่านั้น
ที่แท้ พวกเขาคือคนที่หลงเทียนอวี้ส่งมาคุ้มครองดูแลนาง
“พระชายา”
ทันทีที่หลินเมิ้งหยาปรากฏตัว ทหารสิบกว่าคนถวายคำนับ หลินจงอวี้ยืนอยู่ด้านหน้าสุดด้วยสีหน้าเย็นชา
“กลับไปยังกระโจมของพวกเราเถิด เสี่ยวอวี้ เจ้ามาพยุงพี่เยว่ถิง ข้าจะไปหาท่านอ๋อง”
ตั้งแต่ออกจากกระโจม ร่างกายของพี่เยว่ถิงสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา
บรรยากาศกลางป่ายามค่ำคืนเย็นยะเยือก แต่ต่อให้เย็นขนาดไหน ก็ยังมิอาจเทียบได้กับใจคน
“นายหญิง พวกเราจัดการเองเจ้าค่ะ”
เมื่อเงยหน้าขึ้น ใบหน้าคุ้นเคยของป๋ายจีปรากฏตรงหน้า
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก หลินเมิ้งหยาก้มหน้าปลอบโยนเยว่ถิง ก่อนจะส่งมอบนางให้กับป๋ายจี
เสื้อคลุมสีเทาห่อหุ้มร่างของเยว่ถิงเอาไว้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิอาจปิดบังสายตาของคนเหล่านั้นได้
สายตาเหยียดหยามเหล่านั้น
หลินเมิ้งหยารู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกินเมื่อนึกถึง
ตอนนี้แม้จะหาข้ออ้างมาปกปิดก็คงมิทันแล้ว
ป๋ายซ่าวเองก็นำเสื้อคลุมสีแดงมาคลุมร่างของนางไว้เพื่อป้องกันความหนาว
เสือตัวนั้นถูกไล่ต้อนเข้าไปในป่าลึก ทุกคนพากันไปไล่ล่าเสือตัวนั้น
ดวงตาของหลินเมิ้งหยาหลงเหลือไว้เพียงความเย็นชา เดินออกไปยังกระโจมอันหรูหรา
ภายในตอนนี้มีเสียงเพลงดังออกมาเบาๆ เสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาว เสียงพึงพอใจของพวกผู้ชายไม่รู้จักพอ
บางที คนที่อยู่ภายในคงเชื่อมั่นในฝีมือของตัวเองมาก ดังนั้นด้านนอกจึงไม่มีองครักษ์แม้แต่คนเดียว
“องค์ชายรองดูจะสนุกสนานมากเลยนะเพคะ เหตุใดจึงไม่ไปเข้าร่วมการล่าเสือเล่า?”
บังอาจลงมือทำร้ายเยว่ถิง คนผู้นั้นจะต้องไม่ใช่คนธรรมดา
ครุ่นคิด มีเพียงองค์ชายรองแห่งซีฟานเท่านั้นที่จะทำเรื่องเช่นนั้นได้
ภายในกระโจม มือซ้ายและขวาของหูลู่หนานโอบกอดหญิงสาวสองคน สายตาโลมเลีย รอยยิ้มหื่นกระหาย
ทว่า เขาพลันเหลือบเห็นร่างบางสวมใส่เสื้อคลุมสีแดงฉาน ขยับฝีเท้าก้าวเข้ามาทีละก้าว
ผิวสีขาวดุจหิมะ แม้จะเป็นหญิงสาวที่ผิวพรรณดีที่สุดแห่งซีฟาน เกรงว่าก็มิอาจเนียนนุ่มดังเช่นหญิงสาวตรงหน้าได้
รูปร่างหน้าตางดงาม แม้จะไม่ร้อนแรงเท่าหญิงสาวในอ้อมกอด แต่ถึงกระนั้นก็มากเพียงพอที่จะกระตุ้นสัญชาตญาณของบุรุษ
แต่สิ่งที่ทำให้ไม่อาจละสายตาไปจากนางได้นั่นคือดวงตาเปล่งประกาย ทว่าเย็นชาจนน่าขนลุกคู่นั้น
เพียงสบตา หัวใจของเขาพลันอ่อนยวบ
เขาฉีกยิ้มกว้าง แม้จะเป็นสาวงามที่สุดในวัง แต่ก็มิอาจเทียบนางได้เลยแม้แต่น้อย
สตรีงดงามเช่นนี้ เขารู้สึกอยากครอบครองนางตั้งแต่แรกเห็น
แต่นางมักจะหลบเลี่ยงเขาเสมอ อีกทั้งยังใช้มันสมองของตนเองทำให้เขากลายเป็นเพียงของเล่นเท่านั้น
หูลู่หนานยิ้มกริ่ม สายตามิอาจละไปจากชายกระโปรงของหลินเมิ้งหยาได้
“เสือมีอะไรน่าสนใจกัน ข้าชอบร่ำสุรากับสาวงามมากกว่า”
นักเต้นระบำถอนตัวออกจากห้องไปอย่างรู้หน้าที่ ภายในกระโจมจึงเหลือเพียงหูลู่หนานและหลินเมิ้งหยา
“เจ้าเป็นตัวการที่ทำร้ายพี่เยว่ถิงใช่หรือไม่?”
เมื่ออยู่ต่อหน้าหูลู่หนาน หลินเมิ้งหยาจำเป็นต้องควบคุมตนเองเอาไว้มิให้พุ่งเข้าไปสังหารเขาในทันที
“เยว่ถิง? อ๋อ คุณหนูสกุลเยว่ผู้นั้นน่ะหรือ เป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนทั้งกายและใจ องครักษ์ของข้ายังคงโหยหานางมิรู้ลืม”
กระตุกยิ้มมีเลศนัยขึ้นที่มุมปาก ราวกับว่ากำลังหวนนึกถึงความทรงจำอันน่าพึงพอใจ
ท่าทีของหูลู่หนานเสมือนคนเมา มือของหลินเมิ้งหยากำเข้าหากันแน่น
เล็บคมยาวจิกแทงเข้าไปในฝ่ามือของตนเอง ผ้าไหมสีแดงสดพลิ้วไหวบนเรือนร่างสีขาวดุจหิมะ สีแดงของเสื้อคลุมพลันปกคลุมรอยแดงบนผิวหนัง
“นางคือว่าที่เจ้าสาวของพี่ชายข้า”
หลินหนานเซิง บุรุษที่ทุกคนล้วนรู้จักถึงความเก่งกล้าและหล่อเหลา
หูลู่หนานระเบิดเสียงหัวเราะ ใบหน้าแสดงให้เห็นถึงความสะใจ
“พี่ชายของเจ้า? หลินหนานเซิง? ฮ่าๆ เขาถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง แต่น่าเสียดาย สตรีของเขากลับกลายเป็นหญิงสาธารณะไปเสียแล้ว ไม่สิ เขายังไม่ทันจะได้ลิ้มลองก็ถูกพวกข้าชิงตัดหน้าไปก่อนแล้ว”
เสียงหยิ่งยโสโอ้อวด เห็นได้ชัดว่าหูลู่หนานตั้งใจทำเช่นนั้น
สีหน้าของหลินเมิ้งหยายิ่งไม่น่ามอง ทว่าเพียงชั่วอึดใจต่อมา รอยยิ้มมีเลศนัยพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“เจ้ายิ้มอะไร?”
เคยเห็นรอยยิ้มของสาวงามมามากมาย ทว่ารอยยิ้มของหญิงสาวตรงหน้า เสมือนรอยยิ้มที่พร้อมจะกระชากวิญญาณเข้าสู่โลกแห่งความตาย
“ข้ายิ้มเพราะขนาดความตายกำลังมาเยือน แต่เจ้าก็กลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย”
ส่งเสียงเย็นชา ไร้ซึ่งความอ่อนโยน
หลินเมิ้งหยาในเวลานี้งดงามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทว่าความงามนั้นกลับเจือไว้ซึ่งยาพิษ
อยู่ๆ หูลู่หนานก็รู้สึกสนใจขึ้นมา ก่อนลุกขึ้นจากที่นั่งของตนเอง ขยับเท้าเข้ามาทีละก้าว ก่อนจะหยุดยืนตรงหน้านาง
เขารู้ดี นางไม่เหมือนคนอื่น
บางที นางคงเป็นคนประเภทที่ยอมพลีชีพได้เพื่อเป้าหมายของตนเอง
“โอ้ว? เจ้าลองบอกให้ข้าฟังหน่อยสิว่าความตายของข้าจะมาเยือนได้อย่างไร?”
หูลู่หนานหยักยิ้มยั่วยุ ราวกับเขามั่นใจว่าหลินเมิ้งหยามาเพียงเพื่อเจรจากับเขาเท่านั้น
“เจ้ากล้าเข้ามายุ่งกับคนของสกุลหลิน เจ้าสมควรตาย”
ริมฝีปากสีแดงดั่งลูกอิงเถาทำให้ความเป็นความตายที่ออกมาจากปากเป็นเรื่องมีเสน่ห์เย้ายวน ทั้งสองดูไม่เหมือนศัตรูคู่อาฆาตกันเลยแต่น้อย
“ข้าได้ยินมาว่าเยว่ถิงยังมีน้องสาวอีกหนึ่งคน อีกทั้งเจ้ายังมีสาวใช้หน้าตางดงามดั่งหยกอีกสี่คน จริงสิ น้องชายที่เจ้ารับอุปการะมาด้วยอีกหนึ่ง แม้ข้าจะไม่ชอบบุรุษ แต่ลิ้มลองดูสักครั้งก็มิใช่เรื่องเสียหายอันใด”
ยิ่งพูดยิ่งไร้ยางอาย ความโกรธในใจหลินเมิ้งหยาระเบิดออก
“เพราะเหตุใดเจ้าต้องทำร้ายคนของข้า?”
บางที ตอนแรกหูลู่หนานอาจเพียงแค่ลักพาตัวนางไปโดยไม่มีวัตถุประสงค์อื่น ทว่าตอนนี้นางมั่นใจเหลือเกินว่าชายคนนี้พุ่งเป้ามาที่นางโดยตรง
“นั่นก็เพราะเจ้าคือรางวัลในสงครามของข้า เจ้าและเจียงซานล้วนเป็นของข้า”
ในที่สุดหูลู่หนานก็พูดความจริงออกมา หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มเย็นชา
“ถ้าหาก…”
“อ๊าก….”