ตอนที่ 21 เขาเป็นเด็กธรรมดา ๆ งั้นเหรอ ?
ก่อนที่ซูย่าหยิงและจ้าวเซี่ยจะเดินจากไป เธอก็ไม่วายที่จะแอบยั่วโทสะหลินโรโร่วผ่านการพูดคุยกับจ้าวเซี่ย
“นี่ นายน้อยอู่หยางเพื่อนของเราเนี่ย เขายังไม่มีแฟนใช่ไหม ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันจะได้แนะนำให้เขารู้จักกับโรโร่วคืนนี้ซะเลย” ซูย่าหยิงพูดพร้อมเผยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความชั่วร้าย เธอเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่านายน้อยอู่หยางนั้นเป็นคนประเภทไหน ที่ผ่านมามีผู้หญิงที่มาจากครอบครัวดีมีฐานะมากมายต้องตกเป็นเหยื่อจากเงื้อมมือของเขาคนนี้ ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่เธอต้องการแนะนำหลินโรโร่วให้รู้จักกับเขา เพียงเพื่อความสะใจที่จะได้เห็นเขาทิ้งหลินโรโร่วในภายหลัง
เมื่อจ้าวเซี่ยได้ยินเช่นนั้น เขาก็เข้าใจเจตนารมณ์ของเธอทันที รอยยิ้มน่ารังเกียจเผยขึ้นบนใบหน้าขณะที่เขาบีบแก้มซูย่าหยิงเบา ๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว
“คุณนี่แย่จังเลยนะ คุณจะไปแนะนำเพื่อนร่วมรุ่นของคุณให้ผู้ชายคนอื่นได้ยังไง แฟนเขาก็นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย แต่แหม… คุณน่ะน่ารักเป็นบ้า ผมชอบ…”
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้ม พวกเขานั้นช่างเป็นคู่รักที่แสนโสมมอย่างแท้จริง
หลินโรโร่วยิ้มอย่างมีไหวพริบพร้อมพูดตอบโต้ไปว่า
“ฉันรู้… เธอคงล้อฉันเล่น แต่ฉันจะเลือกคนในแบบที่ฉันชอบเพราะมันจะทำให้ฉันมีความสุข อ้อ… แต่ว่าถ้าคนคนนั้นเป็นคนมีพละกำลังที่ยอดเยี่ยม ฉันก็โอเคอยู่นะ”
เย่เชียนมองดูหลินโรโร่วอย่างตกตะลึงแต่เขาก็ยิ้มออกมาทันที ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินหลินโรโร่วต่ำเกินไปหน่อยโดยคิดว่าเธอเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ไร้เดียงสา แต่เมื่อเห็นการตอบโต้ของเธอเมื่อกี๊นี้ เขาก็คิดว่าเธอทั้งฉลาดและมีไหวพริบในการเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
ในที่สุดคู่รักแสนโสมมก็เดินออกไปจนได้ เย่เชียนจึงเรียกบริกรมาเก็บเงินค่าอาหารแต่กลับมีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขาแทน ผู้หญิงคนนั้นมองเย่เชียนอย่างกระวนกระวายใจ เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากมาย
“เอ่อ… สวัสดีค่ะผู้มีพระคุณ… นั่น… นั่นคุณจริง ๆ ใช่ไหมคะ ?”
นี่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าของภัตตาคารหลางหมานแห่งนี้ หลังจากที่จีเมิงฉิงเฝ้าดูเขาจากออฟฟิศของเธออยู่นานจนเมื่อเธอเห็นว่าเขากำลังจะกลับไป ในที่สุดเธอก็ไม่สามารถอดทนรอได้อีกและตัดสินใจเดินตรงไปหาพวกเขาในทันที หากเธอเสียโอกาสนี้ไป เธอก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอเย่เชียนอีกครั้งเมื่อไหร่
หลินโรโร่วมองดูจีเมิงฉิงด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเธอก็หันไปหาเย่เชียนทันที เนื่องจากเธอไม่สามารถเข้าใจถึงสถานการณ์ทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์ หลินโรโร่วจึงหันไปส่งสายตาตั้งคำถามทางเย่เชียน
‘ผู้มีพระคุณงั้นเหรอ ?’ เธอคิดในใจว่าเป็นไปได้ไหมที่เย่เชียนอาจจะเคยช่วยเหลือเธอมาก่อน
เย่เชียนไม่ได้ดูตกใจอะไรนัก เขาเพียงมองผู้หญิงคนนั้นแล้วถามอย่างประหลาดใจว่า
“คุณเป็นใครครับ ผมรู้จักกับคุณหรือครับ ?”
“ผู้มีพระคุณ… คุณจำฉันไม่ได้เหรอคะ ? ตอนนั้นที่ฝรั่งเศส ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ฉันจะต้องตายในต่างแดนอย่างแน่นอนค่ะ เพราะงั้นแล้วฉันจึงไม่มีวันลืมความเมตตาของคุณไปตลอดชั่วชีวิตนี้” จีเมิงฉิงตอบอย่างปลื้มปริ่ม
เย่เชียนมองจีเมิงฉิงด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัยและพยายามนึกเพื่อจะจำเธอให้ได้ พอนึกดูดี ๆ เขาเองก็เริ่มรู้สึกได้ว่าเคยเจอกับผู้หญิงคนนี้มาก่อน เขาพยายามเค้นสมองคิดถึงเหตุการณ์ที่ประเทศฝรั่งเศส แล้วในที่สุดเขาก็คิดออก
จากเหตุการณ์ที่คณะที่ปรึกษาทางการเงินขอให้เย่เชียนไปช่วยลูกสาวของเขาจากนายหน้าค้าอาวุธในประเทศฝรั่งเศส เขาได้นำกลุ่มเขี้ยวหมาป่าของเขาบุกทำลายพวกนั้นอย่างสมบูรณ์ จากนั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปช่วยตัวประกัน ซึ่งเป้าหมายหลักก็คือลูกสาวของผู้ว่าจ้าง แต่ทว่าในกลุ่มตัวประกันมีผู้หญิงคนนี้รวมอยู่ด้วย
เมื่อเย่เชียนเห็นเธอ เขาก็สามารถเดาได้จากรูปลักษณ์ภายนอกของเธอว่าเธอน่าจะมาจากประเทศจีน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจช่วยเธอเอาไว้ด้วยและปฏิเสธไม่รับเงินจากเธอเหมือนที่เขาทำเพื่อช่วยตัวประกันคนอื่น ๆ จากผู้ว่าจ้าง แต่ในทางกลับกัน เขาเป็นผู้หยิบยื่นเงินให้เธอเสียเอง เหตุผลเพียงเพื่อจะให้เธอได้เดินทางกลับภูมิลำเนาของตน…
อย่างไรก็ตาม เย่เชียนไม่ได้ขาดทุนอะไรเลย เขากลับได้กำไรเสียมากกว่าเพราะหลังจากที่พวกเขาช่วยชีวิตตัวประกันจำนวนมากได้สำเร็จ และเหล่าสมาชิกในครอบครัวของผู้รอดชีวิตได้ยินว่าคนในครอบครัวของพวกเขาได้รับการช่วยเหลือเอาไว้ได้แล้ว ทำให้พวกเขาเหล่านั้นต่างก็โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของเย่เชียนเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณกันอย่างล้นหลาม
รวมไปถึงจีเมิงฉิง เธอก็เป็นอีกคนหนึ่งที่คิดว่าจะขอให้ครอบครัวของเธอช่วยจ่ายค่าว่าจ้างในการช่วยชีวิตของเธอให้เย่เชียน แต่เมื่อเย่เชียนได้ยินว่าเธอมีลูกสาวตัวเล็ก ๆ ด้วย เพียงเท่านั้นในหัวใจของเขาก็บอบบางลง
เมื่อเขาได้ยินดังนั้น ไม่เพียงแต่ไม่ขอรับเงินจากเธอ เขายังให้เงินกับเธอด้วยเพื่อที่เธอจะได้กลับบ้านได้และไปเริ่มต้นชีวิตดี ๆ ที่บ้านเกิดของตัวเอง หลังจากที่เธอกลับประเทศจีน เธอจึงใช้เงินที่เขาให้มาเปิดร้านอาหารหลางหมานแห่งนี้
ภายใต้การทำงานที่แสนหนักหนาสาหัสของเธอ ร้านอาหารของเธอก็เริ่มขยายตัวเป็นภัตตาคาร แต่เธอนั้นก็ยังรู้สึกขอบคุณและเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าใครเป็นผู้มอบสิ่งเหล่านี้ให้แก่เธอ หากไม่ใช่เพราะเย่เชียนในวันนั้น เธอก็คงจะไม่ได้มีชีวิตแบบนี้ในวันนี้ เธอคงจะต้องตายในดินแดนต่างประเทศและลูกสาวของเธอก็จะกลายเป็นเด็กกำพร้าในที่สุด
“อ๋อ… ผมจำคุณได้แล้ว แต่คุณอย่าเรียกผมว่าผู้มีพระคุณเลยครับ ได้ยินแล้วมันอึดอัดใจน่ะ เรียกผมเย่เชียนดีกว่า” เย่เชียนพูดพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
“คุณคะ… พอฉันกลับมาถึงจีน ฉันก็ตามหาข่าวคุณมาตลอดเพราะฉันยังรู้สึกติดหนี้บุณคุณคุณอยู่ แต่มันก็ไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับคุณเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากวันนี้ฉันไม่บังเอิญเจอคุณ ฉันก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ฉันจะสามารถตอบแทนให้คุณได้” จีเมิงฉิงพูดอย่างจริงใจ
เย่เชียนคิดในใจว่าถ้าเธอสามารถหาข่าวเกี่ยวกับตัวเขาได้มันก็น่าแปลกอย่างยิ่ง เพราะขนาดผู้นำประเทศหลาย ๆ ประเทศพยายามหาเขาก็ยังหาเขาไม่พบ เขายิ้มเล็กยิ้มน้อยและบอกเธอไปว่า
“ไม่เป็นไรหรอกครับ… ถือซะว่าเป็นโชคดีของคุณก็แล้วกันที่เจอผมวันนั้น”
“ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่ความโชคดีหรืออะไรก็ตาม แต่ชีวิตของฉันก็ได้รับการช่วยจากคุณอยู่ดีค่ะ มันไม่มีอะไรมาเปลี่ยนความจริงตรงนี้ได้หรอกนะคะ ถ้าไม่รังเกียจ ขอให้ฉันได้เลี้ยงอาหารคุณเพื่อตอบแทนคุณที่ช่วยฉันในวันนั้นเถอะนะ ได้โปรด… ฉันขอร้องล่ะ ถ้าคุณปฏิเสธ ฉันจะรู้สึกไม่สบายใจไปตลอดชั่วชีวิตของฉันเลยค่ะ” จีเมิงฉิงพูดอย่างกระวนกระวาย
ในเมื่อเธอพูดมาขนาดนี้ เย่เชียนจึงตอบไปว่า
“ได้ครับ… ถ้าผมว่างเมื่อไหร่ ผมจะไปให้คุณเลี้ยงข้าวอย่างแน่นอน”
“ค่ะ… แล้วฉันจะติดต่อคุณได้ทางไหนบ้างคะ ?” จีเมิงฉิงถามอย่างคาดหวัง
เย่เชียนพึมพำสักพักหนึ่งแล้วตอบเธอว่า
“นี่เบอร์ผมนะ เมื่อถึงเวลานั้นคุณก็โทรหาผมละกันครับ”
เย่เชียนให้เบอร์โทรศัพท์มือถือกับจีเมิงฉิงซึ่งยื่นมือมารับมันด้วยความรู้สึกมากมายที่ผุดขึ้นมาจากใจของเธอ จากนั้น เขาก็พูดว่า
“คุณครับ พอดีว่าผมกับเพื่อนมีธุระกันต่อในคืนนี้ ไว้คราวหน้าค่อยเจอกันใหม่นะครับ… บริกร!” พูดจบ เย่เชียนก็เรียกบริกรให้มาเก็บเงิน
“คุณคะ ไม่จำเป็นเลยค่ะ! นี่เป็นการรักษาสัญญาของดิฉันนะคะ ดิฉันขอเลี้ยงคุณในมื้อนี้ด้วยนะคะ” จีเมิงฉิงพูดอย่างรีบร้อน
“ห๊ะ?!” เย่เชียนจ้องมองเธอด้วยความตกใจ “นี่มันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอครับ ? ผมเกรงใจมาก ๆ ทั้งหมดนี้คงมีราคาไม่น้อยเลยครับ”
เย่เชียนคิดว่ามื้อนี้ทั้งหมดน่าจะมีราคาสูงถึงสามหมื่นหรือสี่หมื่นหยวน เขาจำได้ว่าจีเมิงฉิงไม่ใช่คนที่ร่ำรวยอะไร ดังนั้นเขาจึงต้องการที่จะปฏิเสธเธอ
จีเมิงฉิงนั้นมีความฝันอยากเปิดร้านอาหารสไตล์ตะวันตกมานาน เมื่อสองปีก่อนเธอจึงตัดสินใจไปที่ประเทศฝรั่งเศสเพื่อศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมและสไตล์ของร้านอาหารตะวันตกที่นั่น แต่ด้วยความโชคร้าย เธอถูกจับไปโดยพวกค้าอาวุธโดยไม่ตั้งใจ เธอคิดว่าตัวเองต้องตายอย่างแน่นอนแต่ใครจะรู้ว่าเธอจะมาพบกับเย่เชียนผู้ซึ่งช่วยเธอไว้
เขาเป็นเหมือนพระเอกขี่ม้าขาวสำหรับเธอ…
ในตอนนั้นเธอเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องทำงานและเลี้ยงดูลูกสาวตัวน้อยด้วยตัวคนเดียว พอเย่เชียนรู้เข้า เขาจึงมอบบัตรเอทีเอ็มให้กับเธอ และเมื่อเธอได้ไปเบิกเงินในภายหลัง เธอก็พบว่าภายในบัญชีนั้นมันมีเงินมากกว่าห้าหมื่นดอลลาร์!
จีเมิงฉิงยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า
“ภัตตาคารนี้เป็นของฉันเองค่ะ เรื่องค่าใช้จ่ายนั่นไม่มีปัญหาเลย ได้โปรดอย่าปฏิเสธฉันเลยนะคะ”
เย่เชียนจ้องมองเธออย่างว่างเปล่า แต่จากนั้นเขาก็หัวเราะ
“ถ้าอย่างงั้น ผมก็ขอบคุณมากครับ”
ในเมื่อจีเมิงฉิงต้องการเลี้ยงอาหารมื้อนี้แก่พวกเขา แม้เย่เชียนต้องการที่จะปฏิเสธแต่เพราะเธอขอร้องเขาขนาดนี้ และอีกอย่าง เขาก็เห็นว่าจีเมิงฉิงมีสถานะทางการเงินที่ดีขึ้นมาก เขาจึงจำใจยอมรับเพื่อให้เธอสบายใจ
หลังจากที่พวกเขากล่าวคำอำลาจีเมิงฉิงเรียบร้อยแล้ว เย่เชียนก็จับมือหลินโรโร่วขณะที่พวกเขาเดินออกไป จีเมิงฉิงมองตามหลังทั้งคู่อย่างสิ้นหวังเล็กน้อย ในใจก็คิดว่า ‘นั่นคงเป็นแฟนของเขาสินะ’
หลังจากที่เย่เชียนเดินออกไป จีเมิงฉิงก็พึมพำอยู่กับตัวเอง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเย่เชียนถึงแต่งตัวเรียบ ๆ และขับรถธรรมดา ๆ ทั้ง ๆ ที่ฐานะเขาน่าจะดีมาก แต่เธอก็สรุปเอาเองว่าเย่เชียนคงจะต้องเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ ที่อ่อนน้อมถ่อมตนไม่อวดร่ำอวดรวย
ท้ายที่สุดแล้วเธอก็คิดว่าคนที่มอบเงินให้เธออย่างง่ายดายมาตั้งห้าหมื่นดอลลาร์ในตอนนั้น เขาจะเป็นคนยากจนได้อย่างไร ?
จีเมิงฉิงยิ้มอย่างมีความสุขขณะที่เธอเดินกลับเข้าไปหาลูกสาวของเธอ