ณ วังหย่งโซ่ว
ไทเฮาเล็มต้นมะลิที่กำลังออกดอกบานสวยงาม พลางยิ้มถามถาวจวินหลัน “รีบร้อนมาเช่นนี้มีเรื่องอะไรหรือ?”
ถาวจวินหลันลังเลครู่หนึ่ง ก็พูดความคิดของตนอย่างตรงประเด็น “หม่อมฉันต้องการสิทธิดูแลวังเพคะ”
ไทเฮาตกใจเล็กน้อย วางกรรไกรไม้ไผ่ในมือลง มองถาวจวินหลันด้วยท่าทางจริงจัง “อยู่ดีๆ ทำไมถึงอยากได้?”
“มีเพียงได้มา ถึงจะสบายใจและรู้สึกปลอดภัยที่สุดเพคะ หลังจากถูกตลบหลังคราวที่แล้ว หม่อมฉันคิดอยู่นาน คิดว่าสุดท้ายแล้วเป็นเพราะหม่อมฉันไม่มีสิทธิอำนาจ หากได้สิทธิจัดการวังหลังมา หม่อมฉันคงไม่รู้สึกตัวช้าไปเช่นนี้” ถาวจวินหลันก้มหน้าถอนหายใจ บอกความคิดในใจของตนเองอย่างตรงไปตรงมา
“แต่เจ้าเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ไม่ใช่ฮองเฮา” ไทเฮาถอนหายใจ คิ้วขมวดมุ่น มีท่าทีไม่ค่อยเห็นด้วย “เจ้ายังไม่เหมาะ”
มีที่ไหนให้ลูกสะใภ้มาข้ามหน้าข้ามตาพ่อแม่สามี? ไม่เพียงไม่เหมาะสม ไม่ถูกขนบธรรมเนียม แล้วยิ่งน่าขบขัน ไทเฮาจึงไม่เห็นด้วย
ถาวจวินหลันถอนหายใจ แต่นางก็เดาได้อยู่แล้ว ว่าไทเฮาต้องไม่เห็นด้วยเป็นแน่ จึงไม่ค่อยผิดหวังนัก เพียงแค่พูดว่า “หม่อมฉันเข้าใจไทเฮาเพคะ แต่หม่อมฉันยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ขอไทเฮาโปรดรับฟัง หากทรงฟังแล้วคิดว่าไม่เหมาะสม ก็ถือว่าหม่อมฉันไม่ได้พูดแล้วกันเพคะ”
ไทเฮาเห็นถาวจวินหลันจริงใจเช่นนี้ จึงไม่อาจจะจับให้มั่นคั้นให้ตายไปเลย จึงพยักหน้าตอบตกลง แล้วหยิบกรรไกรขึ้นมาเล็มกิ่งต้นไม้ต่อ
ถาวจวินหลันกลับหยิบกิ่งไม้ที่ถูกตัดขึ้นมา สูดดมกลิ่นดอกมะลิเบาๆ แล้วถึงพูดเนิบช้าว่า “หม่อมฉันไม่ได้ดูแลวังอย่างออกหน้าเพคะ หม่อมฉันรู้ดีแก่ใจ อย่างไรคำพูดของคนก็น่ากลัว อีกทั้งยังไม่เหมาะสม แต่หม่อมฉันคิดว่าสิทธิดูแลนั้น ไม่ใช่การลงไปดูแลวังหลังด้วยตนเอง แต่สามารถหาและปลูกฝังหุ่นเชิดได้เพคะ”
พอคำพูดนี้ดังออกไป กรรไกรในมือของไทเอาก็สั่นทันที กิ่งไม้ที่เต็มไปด้วยดอกตูมถูกตัดลงมาทันที ต้นมะลิกระถางนี้ถูกตัดแต่งอยู่กว่าค่อนวัน ตอนนี้กลับเสียเปล่าแล้ว
ไทเฮาคล้ายไม่มีอารมณ์อีก วางกรรไกรไว้บนโต๊ะ จ้องถาวจวินหลันนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงเอ่ย “เจ้าคิดจะปลูกฝังใครเป็นหุ่นเชิด? กู้ซีหรือ? หรืออิงผิน?”
ถาวจวินหลันส่ายหน้า มองไปยังกิ่งไม้ที่ถูกตัดเล็มจนเสียหายอย่างนึกเสียดาย พูดช้าๆ ว่า “กู้ซีไม่ซื่อตรงกับเรา หม่อมฉันไม่อยากร่วมมือกับนางเพคะ ส่วนอิงผิน แม้มีฐานะอยู่บ้างแต่ก็ยังต่ำเกินไป อีกทั้งไม่เห็นว่านางจะยอมเข้ามาในวังวนน้ำขุ่นนี้เพคะ”
ได้ยินถาวจวินหลันพิจารณาเป็นฉาก ไทเฮาก็หัวเราะ “เช่นนั้นเจ้าจ้องใครเอาไว้?” ไทเฮารู้ดีว่า ถาวจวินหลันต้องทำได้ มิเช่นนั้นคงไม่คิดเรื่องเหล่านี้
ต้องรู้ว่ากู้ซีกับพวกนางเกี่ยวข้องกัน แล้วยังได้รับความโปรดปราน ที่จริงแล้วเหมาะสมที่สุด แต่ถาวจวินหลันกลับปฏิเสธ แม้แต่อิงผิน มารดาขององค์หญิงแปดก็ถูกถาวจวินหลันปัดตกไป จะต้องรู้ว่าอิงผินนั้นถือว่าเป็นพระสนมในวังหลังที่เข้ากับถาวจวินหลันได้มากที่สุดแล้ว
ไทเฮาต้องยอมรับว่านางเริ่มแปลกใจบ้างแล้ว สงสัยว่าตัวเลือกหุ่นเชิดที่ถาวจวินหลันพูดเป็นใคร ถาวจวินหลันครุ่นคิดมารอบคอบเช่นนี้ คนที่ถูกเลือกต้องเป็นคนที่ถาวจวินหลันคิดว่าเหมาะสมที่สุดเป็นแน่
นางอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วถาวจวินหลันจะทำเช่นไร นี่ถือเป็นบททดสอบหลังจากนางแนะนำสั่งสอนถาวจวินหลันมาระยะหนึ่ง ดูสิว่าได้ผลบ้างหรือไม่
ถาวจวินหลันมองไทเฮาพลางหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดชื่อสองคำ “อี้เฟยเพคะ”
ไทเฮาเลิกคิ้ว หลังจากเก็บมาครุ่นคิดในใจ ก็ต้องยอมรับว่าอี้เฟยเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ยิ่ง อย่างแรก อี้เฟยมีบุตรชาย อีกทั้งยังจะได้เป็นกุ้ยเฟย อยู่ในฐานะเท่าเทียมและประจันหน้สกับฮองเฮาได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือองค์ชายเจ็ดสนับสนุนหลี่เย่มาตลอด แล้วยังไม่สนใจตำแหน่งนั้นอีกด้วย
องค์ชายเจ็ดไม่ได้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูง อี้เฟยย่อมไม่เหิมเกริมเช่นกัน ในทางกลับกัน เพื่อองค์ชายเจ็ดแล้ว อี๋เฟยทำได้แค่ประจบเอาใจและลงเรือลำเดียวกับหลี่เย่เท่านั้น ถาวจวินหลันให้อี้เฟยช่วยจัดการกิจในวังก็เท่ากับรู้ความเคลื่อนไหวภายในวังหลวง ต่อให้อี้เฟยรู้ว่าตนเองเป็นเพียงหุ่นเชิด แต่ก็คงเต็มใจทำต่อไป
ถาวจวินหลันคิดแผนการได้อย่างแยบยล
แต่ก็ยังมีปัญหาใหญ่อีกเรื่อง ไทเฮามองถาวจวินหลัน พูดยิ้มๆ ว่า “ฮองเฮาไม่มีทางปล่อยอำนาจหลุดมือง่ายๆ เป็นแน่” เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่ฮองเฮายังเหลือ แม้ต้องมอบให้จริง ฮองเฮาก็ไม่มีทางยินยอมมอบให้ในสถานการณ์เช่นนี้ ฮองเฮาคงต้องเอาสิ่งนี้มาแลกกับผลประโยชน์บางอย่างเป็นแน่
ในเมื่อถาวจวินหลันมาหาไทเฮา แล้วพูดแผนการอย่างมั่นอกมั่นใจ นางย่อมไตร่ตรองเรื่องนี้มาแล้ว จึงพูดว่า “ฮองเฮาไม่เคยจัดการดูวังให้ดีเพคะ เมื่อครู่นี้หม่อมฉันไปที่หน่วยซักล้าง สถานการณ์ในนั้นย่ำแย่ยิ่งนัก บรรดานางกำนัลทำงานเหน็ดเหนื่อยไม่พอ พอป่วยแล้วยังถูกโยนไว้ในห้องปิดผุพังเสื่อมโทรม ได้แต่นอนรอความตาย อีกทั้งฮองเฮายังไม่มีทางเลือกอื่น ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับนางแล้ว สุขภาพของฮองเฮาก็ไม่ค่อยดี ไม่มีเรี่ยวแรงมาจัดการเรื่องเหล่านี้เพคะ”
ไทเฮามองถาวจวินหลันนิ่งครู่ใหญ่ ผ่านไปนานถึงพยักหน้าพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่เลวนัก แต่ก็ใช่ว่าอี้เฟยจะยอมร่วมมือ นางเป็นคนหยิ่งทะนง…”
“หม่อมฉันถึงต้องขอไทเฮาไปเชิญอี้เฟยมา เพื่อปรึกษาพูดคุยเรื่องนี้กันต่อหน้าเพคะ” ถาวจวินหลันอมยิ้มพูด เด็ดดอกตูมของมะลิบนกิ่งที่ถูกตัดลงมาออก แล้วเก็บไว้ในถุงหอม ส่งให้ไทเฮา “ไทเฮาวางถุงหอมนี้ไว้ในมุ้ง เวลานอนกลางวันก็จะได้กลิ่นหอมตลอดเวลา ชวนให้ฝันดีเพคะ”
ไทเฮายิ้มพลางรับไป “มีแต่เด็กอายุน้อยที่ชอบกัน ข้าแก่แล้ว ลืมลูกเล่นสมัยสาวๆ ไปหมดแล้ว ตอนที่ข้าเพิ่งเข้าวังมายังชอบเอาดอกมะลิมาทัดไว้ผมตอนนอนกลางวัน พอตื่นขึ้นมาก็จะอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมดอกไม้ทั้งมุ้ง ฮ่องเต้องค์ก่อนชอบกลิ่นนี้ บอกว่าหอมกว่าแป้งกลิ่นชาดมากนัก”
ได้ยินไทเฮาพูดถึงเรื่องในอดีต ถาวจวินกลันก็ยังคิดถึงตอนที่ไทเฮายังเป็นฮองเฮา คนต่างพากันพูดว่าฮ่องเต้กับฮองเฮานั้นสามัคคีรักใคร่ ดูท่าทางคงไม่ใช่เรื่องโกหก
เพียงไม่นาน ไทเฮาก็ให้คนไปเชิญอี้เฟยมา แล้วส่งกรรไกรให้ถาวจวินหลัน “เอ้า เจ้าลองมาทำดู” พูดจบก็ให้คนถืมกระถางต้นไม้เข้ามาสองกระถาง
ดอกไม้เหล่านี้ไทเฮาปลูกเล่นยามว่าง ไม่ได้ให้คนสวนในวังมาตัดแต่งให้สวยงาม ตอนนี้พอย้ายเข้ามาวาง ถาวจวินหลันก็ไม่กล้าลงมือ อย่างแรกเพราะหนาแน่นเกินไปจนไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหน สองเพราะกลัวว่าทำพังแล้วไทเฮาจะเจ็บปวดใจ
แต่พอเห็นไทเฮายังยิ้มแย้ม สุดท้ายนางก็สูดหายใจเข้าลึกลงมือตัดไปครั้งหนึ่ง ในเมื่อไทเฮาตัดใจเอาออกมาแล้ว ทำไมนางต้องอิดออดไปมาด้วยเล่า? ทำไม่เป็นก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ ทำไปก็พอ
แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ใช่ว่าจะทำไม่เป็นเสียทีเดียว แม้ไม่เคยทำจริงจัง แต่ก็เคยเรียนรู้มาก่อน
ไทเฮาเองก็คอยแนะนำ ถาวจวินหลันย่อมชำนาญคล่องแคล่วมากขึ้น ทั้งสองคนตัดแต่งต้นไม้ไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง แล้วไทเฮาก็เอ่ยปากถามว่า “เหตุใดวันนี้ถึงคิดเรื่องนี้ได้? หรือไปเจอเรื่องอะไรมา?”
ถาวจวินหลันถอนหายใจ ไม่ได้ปิดบังไทเฮา “เมื่อวานนี้วังจวงผินส่งคนไปประจำหน่วยซักล้าง คนพวกนั้นล้วนเป็นคนขององค์ชายเก้ามาก่อน เรื่องนั้นหม่อมฉันยังไม่ได้สืบชัด ย่อมอยากไปถามพวกเขาเหล่านั้น จึงให้คนไปถ่ายทอดคำพูดที่หน่วยซักล้าง ห้ามทำอะไรคนเหล่านั้น แต่วันนี้พอไปดูคนเหล่านั้น ทุกคนใกล้ตายแล้วเพคะ! คนดูแลในหน่วยซักล้างยังมาพูดเรื่องน่าขันกับหม่อมฉัน บอกว่าถูกส่งมาก็เป็นเช่นนี้แล้วเพคะ”
“พวกนกสองหัวภายในวังนั้นมีไม่น้อย” ไทเฮาเข้าใจอย่างดี จึงยิ้มพูดเรียบๆ เช่นนี้
“จะไม่ใช่ได้อย่างไรเพคะ” ถาวจวินหลันตั้งใจมองกิ่งไม้ ลังเลครู่หนึ่งถึงได้ตัดทิ้ง “แต่หม่อมฉันคิดว่าดูแลกิจในวังหลังก็เหมือนตัดแต่งกิ่งไม้ ไม่เล็มก็จะไม่เข้ารูปเข้ารอย ดังนั้นหม่อมฉันคิดว่า หากกรรไกรอยู่ในมือหม่อมฉัน พวกนางต้องเชื่อฟังเพคะ”
ไทเฮาแค่นหัวเราะ ตบมือเบาๆ “เจ้าพูดถูก” การเปรียบเทียบของถาวจวินหลันถูกต้องอย่างมาก แน่นอนว่านางเองก็ชอบความใจกล้าบ้าบิ่นและทะนงตนของถาวจวินหลัน ในเมื่อเข้าวังหลวงมา ได้เป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท หากไม่บ้าบิ่นหรือทะนงตนเลย แล้วจะรับหน้าที่ใหญ่หลวงได้อย่างไร?
ไม่นานอี้เฟยก็มาถึง พอเห็นถาวจวินหลันก็ชะงักไป หลังจากทำความเคารพไทเฮาแล้วจึงเอ่ยทักทายถาวจวินหลัน “พระชายาองค์รัชทายาทก็อยู่หรือ?”
“ระยะนี้อี้เฟยสบายดีหรือไม่เพคะ? จริงสิ ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับอี้เฟยเหนียงเหนียงเลย ยินดีกับตำแหน่งกุ้ยเฟยด้วยเพคะ” ถาวจวินหลันยิ้มพลางลุกขึ้นคำนับ แสดงความเคารพของตนออกมา
อี้เฟยทำตัวไม่ถูกทันที นางยังไม่ลืมว่าตอนแรกตนเองเย้ยหยันถาวจวินหลันไว้อย่างไร
ถาวจวินหลันยังไม่ลืมเช่นกัน แต่ตอนนี้ไม่ใช้เวลาคิดเอาความเรื่องเหล่านี้ อีกทั้งเพื่อไว้หน้าองค์ชายเจ็ด จึงเอาความจริงจัง
“อี้เฟย วันนี้เชิญเจ้ามาก็ด้วยมีเรื่องอยากถามเจ้า” ไทเฮารู้ว่าอี้เฟยอึดอัด จึงยิ้มพูดต่อ “ข้ามีเรื่องดีอยากมอบให้เจ้า ไม่รู้ว่าเจ้าจะยอมรับหรือไม่”
อี้เฟยมองไปทางฮองเฮาด้วยใบหน้าสงสัย แต่เห็นไทเฮามีท่าทีจริงจัง ใจก็เต้นแรง แม้จะบอกว่ายังรักษาอาการสงบนิ่งไว้ได้ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความตื่นเต้นดีใจ “เรื่องอะไรหรือเพคะ?”
“จัดการดูแลกิจในวัง” น้ำเสียงของไทเฮาเรียบนิ่ง พูดเรื่องนี้ออกมาอย่างง่ายดาย
อี้เฟยนิ่งอึ้งไปในทันใด จากนั้นพออี้เฟยได้สติกลับคืนมาก็ถามทันที “เช่นนั้นไทเฮาอยากให้หม่อมฉันทำอะไรเพคะ?”
“พระชายาองค์รัชทายาทเป็นนายคนของวังหลังในอนาคต เจ้านำนางก็ถือเป็นเรื่องถูกต้อง” ไทเฮายิ้มบางๆ ให้อี้เฟย “ไม่รู้ว่าอี้เฟยทำเรื่องนี้ได้หรือไม่?”
อี้เฟยเข้าใจความหมายของไทเฮาในทันใด ต่อหน้าพูดว่าเพียงแค่นำถาวจวินหลัน แต่ในความเป็นจริงแล้วเกรงว่าถาวจวินหลันจะเป็นคนที่เดินนำมากกว่า นางเพียงแค่เครื่องประดับเท่านั้น เหมือนจะเสียเปรียบไปหน่อยมิใช่หรือ?