หลังจากออกมาจากวังฮองเฮา ถาวจวินหลันก็ไปเดินเล่นที่สวนหลวงครู่หนึ่ง ตลอดทางไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่ครุ่นคิดพิจารณาอยู่ในใจเท่านั้น
ฮองเฮาไม่มีเหตุผลต้องโกหก อีกทั้งตอนนี้พอมาคิดดูให้ดีแล้ว นางกับหลี่เย่มีจุดสงสัยเหมือนกันหลายจุดทีเดียว
ส่วนคำถามของฮองเฮา นางย่อมไม่บอกความจริงแก่ฮองเฮา อย่างเช่นจวงอ๋องลงมือกับองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ หรือเรื่องที่นางรู้ความสัมพันธ์ขององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อกับอี๋เฟยด้วยตัวเอง แน่นอนว่าการตอบเช่นนี้ก็เพราะมีแผนในใจอยู่บ้าง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจขายหยวนฉงหวาได้ แต่ตอนแรกนางก็บังเอิญเห็นเรื่องงระหว่างองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อและอี๋เฟยจริง ดังนั้นจึงไม่ถือว่าโกหก
และการที่บอกฮองเฮาว่าจวงอ๋องเป็นคนลงมือกับองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ อย่างแรกก็ด้วยสงสารต่อองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ อย่างที่สองก็คิดยืมมือของฮองเฮาจัดการจวงอ๋อง
ครั้งนี้คงรักษาตระกูลหวังเอาไว้ไม่ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นฮองเฮาหรือไม่ การฟื้นฟูของตระกูลถาวก็เป็นเรื่องต้องกระทำ ด้วยถูกทำลายพังพินาศย่อยยับ ตระกูลหวังจึงคล้ายต้นไม้ใหญ่ที่ถูกแมลงกัดเซาะกลายเป็นโพรงกลวงมานานแล้ว เพียงแค่ผลักก็ล้มได้ทุกเมื่อ
ก่อนที่ตระกูลหวังจะล่มสลาย สามารถยืมมือของฮองเฮาจัดการจวงอ๋องได้บ้าง ถือว่าเหมาะสมเป็นยิ่ง ถือว่าตอบแทนที่นางบอกตัวคนฆ่าบุตรชายของฮองเฮาก็แล้วกัน
แม้อาการทองไม่รู้ร้อนของฮ่องเต้ให้คนหนาวเหน็บใจ แต่พอสืบสาวไต่ความถึงแก่นแท้ก็ยังเป็นจวงอ๋องที่ลงมือจัดการรัชทายาทฮุ่ยเต๋อ
และที่นางต้องการลงมือกับจวงอ๋องนั้น ก็ด้วยไม่อยากให้จวงอ๋องทำแผนการเล็กๆ น้อยๆ อีกต่อไป นางไม่ปล่อยให้จวงอ๋องมีโอกาสข่มขู่หลี่เย่ และไม่อาจปล่อยให้จวงอ๋องมีโอกาสไต่เต้าได้อีก ดังนั้นลงมือตอนนี้ถือว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง
ต่อให้จวงอ๋องต้องสิ้นพระชนม์ ก็นับว่าจวงอ๋องหาเรื่องเอง ไม่เกี่ยวข้องกับนาง เพราะอย่างไรหากจวงอ๋องไม่ได้ทำเรื่องเหล่านี้ แล้วฮองเฮาจะแค้นได้อย่างไร? หาว่านางสกปรกก็ดี หรืออย่างอื่นก็ดี แต่อย่างไรถาวจวินหลันก็คิดว่าตนเองไม่ได้ทำเรื่องน่าละอายใจ
ส่วนใครลักพาตัวองค์หญิงเก้ากันแน่ ถึงนางอยากรู้ แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนขนาดนั้น เพราะอย่างไรหลี่เย่ก็พูดแล้วว่าน่าจะตามหาองค์หญิงเก้ากลับมาได้โดยไว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนี้นางก็ยังไม่ต้องใจร้อนมากนัก สามารถรอได้อีกสักพักหนึ่ง บางทีอีกครู่หลี่เย่อาจจะมาบอกนางว่าหาองค์หญิงเก้าเจอแล้วก็ได้
พอเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้ว ถาวจวินหลันก็ตั้งสติใหม่อีกครั้ง ไปยังวังหย่งโซ่วเพื่อรับสองพี่น้อง และไปทำความเคารพไทเฮาด้วย
เพราะชั่วยามพอดีกับที่ไทเฮาออกมาเดินเล่น ดังนั้นหลังจากถาวจวินหลันไปวังหย่งโซ่วแล้วก็เห็นภาพนางกำนัลกำลังเข็นรถเข็นพาไทเฮาออกมาเดินเล่น รับแสงแดดพร้อมกับซวนเอ๋อร์และหมิงจู
ซวนเอ๋อร์กำลังเล่นเตะตะกร้อ ใบหน้าแดงระเรื่อเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ แต่กลับดูไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ท่าทางสนใจใคร่รู้ คนที่หอบหายใจเหนื่อยก็กลายเป็นนางกำนัลเล็กๆ ที่เล่นเป็นเพื่อนเขาแทน
หมิงจูกำลังเล่นกระดานกล เซิ่นเอ๋อร์ก็อยู่ข้างๆ ถือว่าทั้งสองคนนั้นเล่นอยู่ด้วยกัน
แต่ก็เห็นชัดว่าทั้งหมิงจูและเซิ่นเอ๋อร์เล่นด้วยกันไม่ได้ เซิ่นเอ๋อร์ไม่ค่อยสนใจหมิงจูนัก กลับเป็นหมิงจูที่ไปหาเรื่องเซิ่นเอ๋อร์อยู่บ่อยครั้ง
ถาวจวินหลันมองเหม่อครู่หนึ่ง ถึงได้ก้าวขึ้นไปทำความเคารพไทเฮา “ไทเฮาเพคะ”
ไทเฮากำลังอารมณ์ดีไม่น้อย พูดยิ้มๆ ว่า “เจ้ามาพอดีเลย วันนี้อากาศดี แดดไม่แรงมากนัก เด็กๆ ก็เล่นกันสนุกสนานทีเดียว”
ถาวจวินหลันยิ้ม “จะไม่ใช่ได้อย่างไรเพคะ แต่ซวนเอ๋อร์ดื้อเกินไป นางกำนัลเล็กๆ คนเดียวไม่อาจเล่นเป็นเพื่อนเขาได้ ครั้งต่อไปต้องให้คนมาอยู่ด้วยมากเสียหน่อยเพคะ”
“ซวนเอ๋อร์ก็ควรหาเพื่อนร่วมวัยบ้างแล้ว ตามตั้งแต่ยังเด็ก ในอนาคตจะได้ซื่อสัตย์กับเขา เจ้าค่อยๆ เลือกให้เขาก็แล้วกัน” ไทเฮาพูดแนะนำถาวจวินหลัน ทั้งหมดนั้นล้วนมาจากประสบการณ์ “อย่าคิดว่าเร็วเกินไป อายุหกปีก็ควรต้องเริ่มเรียนหนังสือแล้ว มีเด็กๆ หลายคนเรียนไปด้วยกัน เขาจะได้เข้าใจง่ายขึ้นเสียหน่อย แต่เด็กจากตระกูลไหนที่ร่วมเรียนได้บ้าง เจ้าก็ต้องรู้ผลประโยชน์ที่แฝงไว้ด้วย เมื่อเลือกเช่นนี้ รอจนกว่าเจ้าจะเลือกเสร็จเวลาก็ผ่านไปพอสมควรแล้ว”
ถาวจวินหลันกลับไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้จริงๆ หลังจากได้ฟังแล้วก็คิดว่าถูกตามที่ไทเฮาพูด ควรต้องไตร่ตรองเรื่องนี้ให้ดีแล้ว จึงรีบพยักหน้ารับคำ พลางถอนหายใจอีกครั้ง “หม่อมฉันสะเพร่าแล้วเพคะ หากไม่ทรงเตือนหม่อมฉัน หม่อมฉันก็คงลืมไปแล้วเพคะ”
ไทเฮายิ้ม “เจ้าก็ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ย่อมไม่เข้าใจรายละเอียด ข้าพูดให้เจ้าฟัง เจ้าย่อมเข้าใจ”
ถาวจวินหลันพยักหน้าพูดยิ้มๆ ว่า “ขอไทเฮาโปรดชี้แนะหม่อมฉันด้วยเพคะ”
ไทเฮาหันไปเตือนถาวจวินหลันอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ถามถึงเรื่องอื่น “ได้ยินว่าองค์ชายเก้าป่วยอย่างนั้นหรือ? ร้ายแรงหรือไม่?”
ถาวจวินหลันเห็นไทเฮามีท่าทีเช่นนี้ คิดว่าคงไม่รู้เรื่องของกู้ซี จึงไม่คิดปิดบัง พูดอธิบายอย่างละเอียด “ไม่ร้ายแรงเพคะ หมอหลวงบอกว่าทานของผิดจนเสาะท้อง แต่ตอนนี้ไม่อยู่ที่วังตวนเปิ่นแล้ว ฮ่องเต้ตัดสินให้จวงผินไปเลี้ยงดูเพคะ”
“ให้จวงผินไปเลี้ยงดูอย่างนั้นหรือ?” ไทเฮาเลิกคิ้วอย่างตื่นตกใจ “เจ้าบอกว่า หลังจากนี้จวงผินจะเลี้ยงองค์ชายเก้าอย่างนั้นหรือ?”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ไม่เพียงเท่านั้น ยังเลื่อนตำแหน่งของจวนผินตอนนั้นด้วยเพคะ เพื่อทดแทนตำแหน่งอี๋เฟยที่เพิ่งว่าง”
ไทเฮาทำหน้าประหลาดใจชัดกว่าเดิม “เป็นเช่นนั้นหรือ?”
ถาวจวินหลันรับคำด้วยท่าทีสบาย พยายามไม่ให้ตนเองแสดงท่าทีผิดปกติออกมา อย่างไรนางก็ไม่อยากพูดโพล่งให้คนอื่นรู้ว่า นางถูกกู้ซีตลบหลัง
แน่นอนว่าหากไทเฮาเดาได้ นั่นถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่นางประเมินท่าทีของไทเฮาต่ำเกินไป ไทเฮาถามอออกมาโดยพลัน “ทำไมจู่ๆ ถึงบอกให้นางเอาไปเลี้ยงเล่า? วังหลังมีพระสนมมากมาย ทำไมถึงเป็นนาง? นางไม่เคยมีลูก ตำแหน่งก็ไม่ได้ดี” อาจด้วยไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย ไทเฮาถึงพูดสบายๆ ไม่ได้วางท่าทีเคร่งขรึม เข้มงวดเหมือนปกติ เห็นชัดว่าดูน่าสนิทสนม เป็นมิตรเสียมากกว่า
ถาวจวินหลันเห็นไทเฮาผ่อนคลายและท่าทางสนิทสนมกับนาง ก็ให้นางทั้งตกใจทั้งยินดีอยู่เล็กน้อย
แม้นางไม่อยากตอบคำถามของไทเฮา แต่ก็ไม่อาจพูดโกหกได้ ดังนั้นจึงได้พูดออกมาตามจริง “เพราะหม่อมฉันดูแลองค์ชายเก้าไม่ดีเพคะ ฮ่องเต้ถึงทรงตำหนิ ที่สำคัญที่สุดคือกู่อวี้จือทำตัวน่าผิดหวัง หลังจากนางป้อนของว่างให้องค์ชายเก้าแล้ว องค์ชายเก้าก็เริ่มไม่สบาย นางกลัวต้องแบกความรับผิดชอบ และถูกลงโทษ ถึงได้รวมหัวกับแม่นมปิดบังเรื่องนี้ จนอาการป่วยขององค์ชายเก้าหนักมากขึ้น จนเริ่มอันตรายมากเพคะ”
“กู่ซื่อไม่รู้เรื่องเช่นนี้เลยหรือ?” ไทเฮาสีหน้าตื่นตกใจ ไม่อยากเชื่อนัก
ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น “นางเองก็เลอะเลือน ปล่อยให้คนอื่นล่อลวงเพคะ”
ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ตกกอยู่ในภวังค์นิ่งอีกครั้ง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้เงยหน้ามองถาวจวินหลัน ถามกลับไปว่า “เจ้าถูกคนตลบหลังอย่างนั้นหรือ?”
ในเมื่อปิดบังไทเฮาไม่ได้ ถาวจวินหลันก็ทำได้แค่พยักหน้า ลูบจมูกยอมรับด้วยท่าทีประหม่า พูดตามจริงแล้ว นางรู้สึกหวั่นไหวและพ่ายแพ้ กลัวไทเฮาจะคิดว่านางไร้ประโยชน์ ถูกคนตลบหลังจนถึงขั้นนี้
แม้บอกว่ากู้ซีมาจากตระกูลกู้ และค่อนข้างสนิมสนมกับไทเฮา แต่ก็ยังไม่เห็นไทเฮากริ้วจริงเลยสักครั้ง
ไทเฮาขมวดคิ้วเข้าหากัน “กู้ซีชักจะได้ใจเกินไปเสียแล้ว แม้แต่แผนการก็ยังแยบยล” กลับไม่ได้มีความหมายกล่าวโทษถาวจวินหลันเลย
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ลอบถอนหายใจ พูดเสียงเบา “นางทำเพื่อตัวนางเองเพคะ อย่างไรคนก็เดินขึ้นที่สูง น้ำไหลลงที่ต่ำ ไทเฮาอย่าใส่ใจมากเกินไปเลยเพคะ สำหรับหม่อมฉันแล้ว บทเรียนสอนให้คนเราฉลาดขึ้นเพคะ ครั้งนี้ถือว่าได้รับบทเรียนแล้ว อีกอย่างหม่อมฉันสะเพร่าเกินไปถึงได้ถูกตลบหลังเช่นนี้ ไม่อาจโทษคนอื่นได้”
นางไม่ได้พูดเพียงต้องการกล่อมให้ไทเฮาดีใจเท่านั้น นี่ก็เป็นความในใจของนางเช่นเดียวกัน สำหรับกู้ซีแล้ว นางไม่ได้คิดแค้นเคืองนัก เพียงคิดว่าเหตุผลหลักเกิดจากตนเองสะเพร่า คนอื่นถึงฉวยโอกาสเล่นงานเท่านั้นเอง
อีกทั้งเรื่องนี้ก็เป็นการเตือนนาง ไม่ว่าตอนไหนก็ไม่ควรสะเพร่า มิเช่นนั้นแล้วจะเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นมาเล่นงานตนเอง
ใครจะมานึกถึงอารมณ์ของตน เพียงแค่คิดว่านี่เป็นโอกาสดีงามอันหาได้ยากยิ่งเท่านั้น
“ทำไมข้าต้องโมโหด้วย?” ไทเฮาหัวเราะเสียงเย็น “นางเก่งเช่นนี้ ไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากข้าเลยแม้แต่น้อย หลังจากนี้ข้าก็สบายใจได้แล้ว”
ไทเฮาเหมือนจะพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองเล็กน้อย ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความประชดประชัน
หยุดไปครู่หนึ่ง ไทเฮาก็พูดอีกว่า “ให้นางเลี้ยงองค์ชายเก้าไปก็ดี นางทำทุกวิถีทางที่จะแย่งไปเช่นนี้ คิดว่าคงเห็นเด็กนั่นเป็นของล้ำค่า องค์ชายเก้าคงไม่ลำบากเกินไปนัก”
ถาวจวินหลันรับคำ สายตานั้นทอดมองไปที่ซวนเอ๋อร์ พลางกวักมือส่งเสียงเรียก “ซวนเอ๋อร์ เจ้ามานี่เร็ว”
ซวนเอ๋อร์ได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมา ถึงได้สังเกตเห็นนาง ส่งเสียงร้องดีใจทันที ไม่เตะตะกร้อต่อ พุ่งตรงมาหานาง “ท่านแม่!”
ซวนเอ๋อร์แทบจะทิ้งตัวพุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของถาวจวินหลัน ถาวจวินหลันถูกชนจนเกือบเซล้มไป แต่นางก็ทำใจตำหนิซวนเอ๋อร์ไม่ได้ เพียงแค่หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อให้ซวนเอ๋อร์อย่างรักใคร่ “ดูเจ้าสิ เล่นหนักไปแล้ว”
หมิงจูก็เห็นถาวจวินหลัน ส่งเสียงเรียกร้องแย่งมาอยู่ตรงหน้าถาวจวินหลัน
ไทเฮาเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะ พูดว่า “นี่เพิ่งห่างกันนานเท่าไรเชียว? ไม่ทันไรก็เป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว เอาเถิดๆ เจ้ารีบพากลับไปได้แล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะวุ่นวายอีก”
ถาวจวินหลันอุ้มหมิงจู หอมแก้มนุ่มนิ่มของนาง พลางจูงมือของซวนเอ๋อร์ หัวเราะและพูดว่า “องค์รัชทายาทไม่ได้เจอพวกเขาหลายวัน วันนี้พาพวกเขากลับไปหาองค์รัชทายาทเสียหน่อย พรุ่งนี้หม่อมฉันจะพาพวกเขามาทำความเคารพแต่เช้าเพคะ”
ไทเฮาสะบัดมือ “เช้าเกินไป พวกเขาตื่นไม่ไหว ไม่จำเป็นหรอก ต่อจากนี้ให้แก้เวลาเป็นตอนหัวค่ำของทุกวันเถิด ตอนนั้นแสงแดดไม่แรงแล้ว พอดีกับเวลาทานอาหารเย็นด้วย พาองค์รัชทายาทมาด้วยกันเถิด”
ถาวจวินหลันรีบรับคำ ลอบคิดในใจว่าไทเฮาคงเหงาและโดดเดี่ยว จึงตัดสินใจเตือนหลี่เย่โดยพลการ ให้เขามาเยี่ยมไทเฮาบ่อยครั้ง
พอถาวจวนหลันพาซวนเอ๋อร์กับหมิงจูกลับวังตวนเปิ่น เซิ่นเอ๋อร์ก็มองถาวจวินหลันนิ่ง ดวงตากลมโตเปี่ยมด้วยความคาดหวังจนคนมองอดสงสารไม่ได้ ไทเฮาเรียกให้คนไปอุ้มเซิ่นเอ๋อร์มา แต่ไม่ได้เรียกให้ถาวจวินหลันมอง
ถาวจวินหลันก็รู้สึกไม่ดี แต่นางก็จนปัญญา ทำได้แค่โยนความรู้สึกทิ้งไป มิเช่นนั้นจะทำอย่างไร? คงไม่อาจให้เซิ่นเอ๋อร์กลับไปอยู่ข้างกายเจียงอวี้เหลียนได้