ระหว่างทางกลับ ถาวจวินหลันก็หันไปพูดกับหลี่เย่ว่า “เกรงว่าวันนี้คงเป็นปฏิปักษ์กับฮองเฮาอย่างถึงที่สุดแล้ว” ทำให้ฮองเฮาเสียหน้าต่อคนมากมายเช่นนั้น ต่อจากนี้ไปเกรงว่าฮองเฮาคงไม่อยากมองหน้พวกนางอีกแล้ว
หลี่เย่กลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เพียงแค่ตั้งสมาธิดึงถาวจวินหลันให้เดินช้าๆ ตอนนี้ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว หิมะละลายทำให้พื้นเริ่มเปียกแฉะ ถ้าไม่ระวังก็จะลื่นได้ง่าย
พอเห็นถาวจวินหลันป็นกังวล เขาก็พูดว่า “วันนี้แต่เดิมฮองเฮาก็ตั้งใจจะลองเชิงดูท่าทีของพวกเราอยู่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม”
“ลองเชิง?” ถาวจวินหลันขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่รู้สึกว่านั่นเป็นแค่การลองเชิงเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นการกดดัน ฮองเฮายังคงใช้ฐานะมากดหัวหลี่เย่เหมือนแต่ก่อน
“ฮองเฮาดื้อดึงจะยัดคนเข้ามาในจวนตวนชินอ๋อง แต่เดิมนั้นก็เป็นการลองเชิง หากข้ารับปาก ข้าก็อาจจะได้รับการสนับสนุนจากฮองเฮา อย่างไรตอนนี้องค์รัชทายาทก็สวรรคตไปแล้ว คิดจะปกป้องฐานะของตระกูลหวังเอาไว้ ฮองเฮาก็จะต้องสนับสนุนองค์ชายสักคนหนึ่ง” หลี่เย่ยิ้มกว้าง มีท่าทีเย้ยหยันอยู่บางๆ “อย่างไรข้าก็เป็นคนมีคุณสมบัติพร้อมขึ้นตำแหน่งนั้นมากที่สุด หากฮองเฮาคิดจะสนับสนุนคนอื่น นางก็ยังต้องลงแรงอีกมาก อีกทั้งโอกาสสำเร็จก็ยังน้อย”
ดังนั้นฮองเฮาจึงอยากใช้เขาอยู่บ้าง แต่เงื่อนไขแรกคือเขาเชื่อฟังถาวจวินหลันยอดดวงใจของเขา เรื่องนี้คนทั้งเมืองหลวงรู้กันทั่ว นางหาเรื่องถาวจวินหลัน ก็เพราะคิดจะลองเชิงท่าทีของเขาเท่านั้นเอง
หากเขามีใจจะร่วมมือกับฮองเฮา เช่นนั้นย่อมต้องพร้อมเสียสละถาวจวินหลัน หากยอมเสียสละยอดดวงใจของตนเองได้ ฮองเฮาย่อมไว้ใจเขาเป็นแน่
พอเขาพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็เข้าใจทันที ฉับพลันก็เริ่มหวาดกลัวเล็กน้อย แต่จากนั้นก็หัวเราะออกมา “ไม่ว่าอย่างไร ในตอนนี้พวกเรามีสิทธิ์นั้นอยู่ในมือ วิธีของฮองเฮาคงใช้ได้ไม่ค่อยดีนัก”
หากเป็นนาง นางไม่มีทางลองเชิงด้วยท่าทีก้าวร้าวอย่างนี้แน่นอน เพราะว่าอย่างไรผลลัพธ์ก็ตรงกันข้ามกับที่คาดหวังเอาไว้อยู่ดี
อีกทั้งพูดตามความจริงแล้วความแค้นที่สั่งสมกันมาหลายปีนี้ จะใช้เพียงแค่สองสามคำสั้นๆ มาลบล้างได้อย่างไร? ไม่ว่าเป็นใครก็คงไม่คิดว่าหลี่เย่จะยอมร่วมมือกับฮองเฮากระมัง?
“ในเมื่อพูดไม่สำเร็จ เกรงว่าฮองเฮาคงใช้วิธีโหดแล้วเพคะ” ถาวจวินหลันไม่วางใจนัก จึงอดกำชับหลี่เย่ไม่ได้ “ท่านเข้าออกจะต้องระวังด้วยนะเพคะ”
หลี่เย่หัวเราะ บีบมือของนางเบาๆ “ข้ากลับไม่กลัว แต่เป็นเจ้าที่อยู่บ้านทั้งวันจะต้องระวังเสียหน่อยถึงจะถูก ภายในจวนจะต้องมีคนของฮองเฮาแน่นอน เจ้าจับตาดูให้มากเสียหน่อย”
“เพคะ” เรื่องนี้ฮองเฮาย่อมรู้ดี พูดตามจริงแล้วจวนใหญ่เกินไป คนก็เยอะเกินไป นางไม่เชื่อว่าทุกในจวนซื่อสัตย์จงรักภักดีกันทั้งหมด
ก็เหมือนกับจวนจวงอ๋องและจวนอู่อ๋อง ล้วนมีเส้นสายของจวนตวนอ๋องอยู่เหมือนกัน เรื่องเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรับประกันได้
“ท่านว่าครั้งนี้ท่านไม่ยอมร่วมมือกับฮองเฮาเช่นนี้ แล้วฮองเฮาจะเลือกใครเพคะ?” ถาวจวินหลันกังวลเรื่องนี้อย่างมาก ไม่ว่าฮองเฮาจะสนับสนุนใคร คนๆ นั้นล้วนเป็นศัตรูกับหลี่เย่ นางคิดว่าควรทำใจเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนถึงจะดี
หลี่เย่ตบบ่านางเบาๆ มีความหมายกล่าวโทษอยู่เล็กน้อย “เรื่องเหล่านี้ควรเป็นข้าที่คิดมาก เจ้าอย่ามัวแต่คิดอีกเลย ดูแลรักษาร่างกายให้ดี พวกเราควรจะมีลูกชายอีกสักคน”
มีลูกชายอีกคนหนึ่ง ก็จะมีประโยชน์ต่อการยกฐานะของถาวจวินหลันเป็นอย่างมาก แต่ถาวจวินหลันจะต้องมีร่างกายที่รับไหวเสียก่อน ดังนั้นการบำรุงจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน ต่อให้ไม่ได้ทำเพื่อยกฐานะ จะคลอดลูกชายอีกคนหนึ่งก็ถือว่าเสี่ยงอันตรายอยู่ดี
ต่อไปคนที่จะรับเกียติศักดิ์ต่อจากตนเอง ในใจของหลี่เย่นั้นมีเพียงแค่ลูกของตนและถาวจวินหลันเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่อาจมีแค่ซวนเอ๋อร์เพียงคนเดียว อีกอย่างในอนาคตซวนเอ๋อร์ก็ควรมีพี่น้องบ้างจะได้ช่วยเหลือกัน
ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ หลี่เย่จะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ฉับพลันก็เริ่มเขินอาย กลอกตามองหลี่เย่ทีหนึ่ง นางตั้งใจไม่สนใจหลี่เย่ แต่ในใจนั้นครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง นางยินดีคลอดลูกให้หลี่เย่ นางเองรู้ดีว่าทายาทของหลี่เย่ยังน้อยเกินไป หากไม่คิดจะเพิ่มสตรีให้หลี่เย่แล้วจริงๆ เช่นนั้นนางเองก็ต้องพยายามให้มากขึ้น
พอส่งถาวจวินหลันกลับเข้าจวนไป หลี่เย่ก็ไม่ได้แม้แต่จะเข้าประตูก็ตรงไปยังศาลาว่าการ ในตอนนี้เขายุ่งมาก หาเวลาออกมาส่งถาวจวินหลันกลับจวนไม่ได้ง่ายนัก
ถาวจวินหลันถอนหายใจ รู้สึกสงสารหลี่เย่เล็กน้อย แต่ก็รู้ดี ลำบากในเวลานี้ ก็ถือว่าเป็นการสร้างรากฐานในอนาคต อาศัยเพียงสิทธิ์ตรวจตราแคว้นของเขายามนี้ ในอนาคตหลี่เย่จะต้องนำหน้าพี่น้องคนอื่นอย่างแน่นอน
คิดไปมาถาวจวินหลันก็ส่งคนไปยังตระกูลเฉินรอบหนึ่ง เพื่อส่งข่าวให้ถามซินหลันเรื่องตนเองถูกเรียกพบ นางคิดว่าเรื่องนี้ถูกวางแผนมาเป็นอย่างดี มิเช่นนั้นสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินจะหาเรื่องตอนไหนไม่หา ทำไมจะต้องมาหาเรื่องตอนนี้ด้วย?
หากถูกวางแผนเอาไว้นานแล้วจริง เช่นนั้นต่อจากนี้ถาวซินหลันจะต้องระวังให้มากกว่าเดิม อย่างไรก็ยังไม่มั่นใจว่าสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินจะไม่หาเรื่องอีก ถาวซินหลันตั้งครรภ์ คิดว่าป้องกันเอาไว้ก่อนดีกว่า
จากนั้นถาวจวินหลันก็ไปพบเจียงอวี้เหลียน เจียงอวี้เหลียนในตอนนี้เหมือนว่าปลงต่อโลกแล้ว สวดมนต์ขอพรอยู่ทุกวัน ดูสงบนิ่งอย่างที่สุด
ถาวจวินหลันมาเพื่อที่จะพูดกับเจียงอวี้เหลียนเรื่องให้นางเข้าวังหลวงไปปรนนิบัติฮองเฮา ในเมื่อฮองเฮาเอ่ยปากแล้ว พวกนางย่อมไม่อาจปฏิเสธได้
และหลี่เย่ก็พูดแล้วว่าให้เจียงอวี้เหลียนไปแทน
เจียงอวี้เหลียนกลับหัวเราะเยาะ “ชายารองถาวผู้สูงส่งมาเหยียบที่ต่ำต้อย ถือว่าหาได้ยากนัก ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ? คงไม่ใช่ว่ามาเพื่อเยี่ยมข้ากระมัง?”
ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย “ย่อมไม่ได้มาเยี่ยมเจ้า ถือว่ารู้จักตนเองดี”
เจียงอวี้เหลียนไม่เกรงใจ นางย่อมไม่จำเป็นต้องเกรงใจ
ทันใดนั้นเจียงอวี้เหลียนก็โมโหจนกำไข่มุกสวดมนต์ในมือแน่น ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้พูดขอไปที “ในเมื่อมีธุระ เช่นนั้นก็รีบพูดเถิด หากชายารองถาวเป็นอะไรที่นี่ ข้าก็คงแย่แน่”
ไม่ว่าจะนอกจะใน ล้วนเป็นการสาปแช่งถาวจวินหลันทั้งนั้น แต่ถาวจวินหลันไม่ได้ใส่ใจ เจียงอวี้เหลียนในตอนนี้ก็ทำได้เพียงทำร้ายทางวาจาเท่านั้น
“พระวรกายของฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่ค่อยดี จวนของพวกเราจะต้องเข้าไปดูแลปรนนิบัติยามป่วย ความหมายของท่านอ๋องคือให้เจ้าเข้าไปเป็นตัวแทนดูแลปรนนิบัติ” ถาวจวินหลันย่อมไม่พูดอ้อมค้อมไปมา พูดออกมาตรงๆ มองเจียงอวี้เหลียนอย่างเปิดเผย ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง
เจียงอวี้เหลียนขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ถามกลับว่า “เรื่องนี้คิดว่าควรเป็นชายารองถาวไปแทนถึงจะถูก ข้ามีบุญวาสนาที่ไหนถึงได้เป็นตัวแทนจวนตวนชินอ๋อง?”
พอพูดเช่นนี้ก็เห็นได้ว่าเจียงอวี้เหลียนไม่ยินยอม ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย “นี่เป็นความคิดของท่านอ๋อง ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้แล้ว ก็หมายความว่าชายารองเจียงย่อมต้องเป็นตัวแทนได้ ชายารองเจียงจะต้องปฏิเสธอีกทำไม”
เจียงอวี้เหลียนนิ่งไปครู่ใหญ่ ยิ้มอย่างมุ่งร้าย “แต่บังเอิญว่าร่างกายของข้าก็ไม่ดีเช่นกัน เกรงว่าคงไม่อาจเข้าวังหลวงไปดูแลรับใช้ได้”
พูดไปพูดมาก็คือเจียงอวี้เหลียนไม่ยอมเข้าวังหลวง
ถาวจวินหลันก็ไม่ดึงดัน ลุกขึ้นยิ้มและพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่บังคับเจ้า แต่ข้าคิดว่าเซิ่นเอ๋อร์เองก็อยู่ในวังหลวง เจ้าสามารถฉวยโอกาสเข้าไปดูเซิ่นเอ๋อร์ได้บ่อยครั้ง”
ยกเซิ่นเอ๋อร์ขึ้นมาพูด สีหน้าก็เจียงอวี้เหลียนก็เปลี่ยนไปในทันใด ท่าทีไม่ยินยอมอย่างเด็ดขาดเมื่อครู่นี้ก็ดูคล้อยตามขึ้นมา
ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มบางๆ เล่นกำไลบนข้อมือ รอเจียงอวี้เหลียนพูดเอง ใครใช้ให้นางถือจุดอ่อนของเจียงอวี้เหลียนเอาไว้? แม้จะบอกว่าเอาเด็กมาข่มขู่จะเป็นเรื่องน่าไม่อาย แต่สำหรับคนอย่างเจียงอวี้เหลียนแล้ว นางคงไม่ต้องรู้สึกผิด
ที่เจียงอวี้เหลียนมีวันนี้ ล้วนเป็นเพราะหาเรื่องใส่ตัว
เป็นไปตามที่คาดไว้ สุดท้ายเจียงอวี้เหลียนก็ยอมผ่อนลง ถาวจวินหลันได้รับคำตอบที่พอใจ จึงกลับออกไปพร้อมรอยยิ้ม
ทางด้านเจียงอวี้เหลียนก็ทุบหมอนอย่างแรงด้วยความอึดอัดใจ ถึงได้รู้สึกว่าสงบใจได้เล็กน้อย
ถาวจวินหลันไม่สนใจท่าทีเช่นนี้ของเจียงอวี้เหลียน จัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จ นางก็ไปหยอกล้อซวนเอ๋อร์และหมิงจู อยู่เล่นกับพวกเขาเป็นการฆ่าเวลา
วันนี้ถาวจวินหลันกำลังเล่นตะกร้อเป็นเพื่อนซวนเอ๋อร์ ด้านนอกก็มีแขกมา
ถามดูแล้วนางก็ตะลึงไปในทันใด คนที่มาคือข่งฮูหยิน มารดาของข่งอวี้ฮุย คนที่เกือบได้เป็นแม่สามีของนาง
ถาวจวินหลันนิ่งไปครู่หนึ่งถึงได้สติกลับมา แต่ต้องเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่ออีกรอบว่า “ข่งฮูหยินอย่างนั้นหรือ? ข่งฮูหยินคนไหน?” ข่งฮูหยินจะมาหานางได้อย่างไร?
พูดตามหลักการแล้ว หลังจากเกิดเรื่องมากมายเช่นนี้ขึ้น ไม่ว่าอย่างไรข่งฮูหยินก็ไม่มีทางมาหานางเป็นแน่ อย่างแรกเพราะระอาแก่ใจ อย่างที่สองก็ควรจะรู้ดีว่ามาหานางก็ไร้ประโยชน์ นางไม่เอาเรื่องก็ถือว่าดีเท่าไรแล้ว
ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ให้คนเชิญข่งฮูหยินกลับไป แต่ให้คนไปเชิญเข้ามา นางอยากจะรู้ว่าแท้จริงแล้วข่งฮูหยินมาด้วยเรื่องอะไร
เพราะไม่ใช่แขกสูงค่าอะไร ดังนั้นถาวจวินหลันจึงไม่คิดเปลี่ยนชุด สวมเสื้อผ้าอยู่เรือนธรรมดาออกไป กระโปรงปลายบานสีรากบัว เสื้อคลุมตัวในสีเขียวปักลายดอกไม้ ดูสบายแต่ก็ไม่ขาดความสูงศักดิ์ ยิ่งบวกกับเครื่องประดับที่เรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา ดูแล้วไม่อาจหาข้อตำหนิได้
ถาวจวินหลันพบข่งฮูหยินที่โถงดอกไม้โรย ไม่ได้พาข่งฮูหยินมาทีเรือนหลัง
ไม่ได้เจอกันหลายปี ที่จริงแล้วถาวจวินหลันจำลักษณะของข่งฮูหยินไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังมองออกภายในแวบเดียว ข่งฮูหยินแก่ลงไปมาก ไม่ได้มีทีท่าฮูหยินสูงส่งเหมือนแต่ก่อน พยายามถ่อมตัวทำตัวธรรมดา ดูแล้วก็เหมือนกับฮูหยินในตระกูลที่พอมีฐานะเท่านั้นเอง
วินาทีที่เห็นนาง ข่งฮูหยินก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพด้วยท่าทีระมัดระวังอย่างยิ่ง
ถาวจวินหลันมองข่งฮูหยินอย่างทอดถอนใจ แล้วถึงพูดเรียบๆ ว่า “ข่งฮูหยินละมารยาทเถิด”
ข่งฮูหยินยังพาคนมาอีกสองคน ดูแล้วเหมือนคู่แม่ลูก ในตอนนั้นทั้งสองคนกำลังมองพิจารณานางอย่างขลาดกลัว
ถาวจวินหลันก็พิจารณาอย่างไม่กระโตกกระตากเช่นเดียวกัน นางไม่มีเวลาว่างมาคาดเดา จึงถามข่งฮูหยินตรงๆ “วันนี้ข่งฮูหยินมาด้วยเรื่องอะไรหรือ?”