บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 518 ต้องสังหาร

       เหมือนที่ถาวจวินหลันคาดการณ์เอาไว้ สุดท้ายโจรลอบสังหารก็ไม่ได้ไล่ตามมา สภาพน่าสังเวชของพวกนางส่วนใหญ่เพราะตกใจไปเองเท่านั้น  

 

 

           แต่พอถาวจวินหลันเห็นสภาพรถม้าที่ตนเองต้องนั่งแล้ว ความคิดเช่นนี้ก็หายไปทันที แล้วมีความกลัวจากก้นบึ้งหัวเข้ามาแทน  

 

 

           หากไม่ใช่เพราะนั่งอยู่บนรถม้าขององค์หญิงเก้า ตอนนี้คงจะตายไปนานแล้ว ไม่เพียงแค่ตาย อีกทั้งจะต้องตายอย่างน่าเวทนาและเจ็บปวดอีกด้วย ไม่ว่าอย่างไรรถม้าที่ทำมาจากไม้ก็เต็มไปด้วยรอยมีดและขวานหลากชนิดชวนให้หวาดกลัว และยังมีลูกธนูจำนวนปักลึกเข้าไปในผนังของรถม้า แม้แต่ช่องว่างตรงหน้าต่างไม้สลักดอกไม้ ก็มีลูกธนูปักอยู่จำนวนมาก  

 

 

           ประตูรถม้าถูกผ่าออกทั้งหมด สภาพน่าเวทนา เห็นภายในรถม้าได้อย่างชัดเจน ภายในนั้นมีลูกธนูแหลมคมหล่นกระจายอยู่ไม่น้อย แทบจะไม่มีตรงไหนหลบพ้นไปได้ วิธีการยิงธนูทั่วทั้งคันรถม้าแบบนี้ วิธีที่นางดึงองค์หญิงเก้าหลบก่อนหน้านี้ก็ไม่มีประโยชน์เลย  

 

 

           ไม่รู้ว่าเพราะอากาศหนาวและไม่รู้ว่าเตาผิงเล็กหายไปไหน หรือเพราะกลัวมากเกินไป นางรู้สึกว่าทั้งร่างเย็นเยียบเป็นที่ยิ่ง เหมือนว่าถูกคนจับกดเข้าไปภายในน้ำที่เย็นจนจับตัวเป็นน้ำแข็ง  

 

 

           ถาวจวินหลันตัวสั่นเล็กน้อย  

 

 

           แน่นอนว่าไม่เพียงแค่นางเท่านั้น องค์หญิงเก้าก็สั่นสะท้านเช่นเดียวกัน มีชีวิตมานานขนาดนี้นางไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน ถือว่านางเข้าใจเรื่องหนึ่ง เรื่องลอบสังหารในวันแต่งงาน เมื่อเทียบกับเรื่องนี้ก็เหมือนเพียงเด็กหยอกเล่นเท่านั้นเอง  

 

 

           นั่นถือว่าเป็นการลอบสังหารอย่างนั้นหรือ? นี่ถึงเรียกว่าการลอบสังหารที่แท้จริง ลอบสังหารต้องคิดเอาถึงตาย ไม่เหลือโอกาสให้รอดชีวิตอยู่ได้ พอเบนหน้าไปมองถาวจวินหลัน ฉับพลันองค์หญิงเก้าก็รู้สึกว่าถาวจวินหลันโชคดีมากจริงๆ  

 

 

           ไม่ ไม่ใช่แค่ถาวจวินหลันโชคดี ที่จริงแล้วนางเองก็โชคดีมาก องค์หญิงเก้าพลันรู้สึกโชคดีที่ขึ้นรถม้าของตนเอง ไม่ได้ขึ้นรถม้าของถาวจวินหลัน เพราะการตัดสินใจนี้ ทำให้พวกนางทั้งคู่ยังรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้ได้  

 

 

           ถาวจวินหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตราบจนหงหลัวที่ตกใจหน้าซีดเผือดเข้ามาเตือนถึงได้สติกลับมา   

 

 

           ด้วยหงหลัวนั่งอยู่ด้านหน้าของรถม้า เกือบโดนพรากชีวิตไปเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะคนบังคับรถม้าผลักนางลงไปจากรถม้าทันท่วงที เกรงว่าตอนนี้ตัวนางก็คงตายไปแล้ว  

 

 

           แม้จะบออกว่ารักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่นางก็กระดูกข้อศอกหลุด ใบหน้าก็มีบาดแผลมากมาย หน้าปากก็เป็นรอยบวมช้ำ ที่สำคัญที่สุดก็คือนางตกใจจนสิ้นสติ เรื่องนี้เห็นชัดจากริมฝีปากไร้สีเลือดและร่างกายสั่นระริกของหงหลัว  

 

 

           แน่นอนว่าถาวจวินหลันเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าหงหลัว แต่ตัวนางไม่รู้เท่านั้นเอง นางเม้มปากพยายามทำเป็นแข็งแกร่ง บังคับให้สายตาของตนเองย้ายออกมาจากรถม้าที่มีสภาพน่าเวทนา แต่ใครจะรู้ว่าเพิ่งจะเบนสายตามาก็เห็นสีแดงคล้ำเต็มถนน ในใจก็ยิ่งสะท้าน รีบทอดสายตากลับไป  

 

 

           นางรู้ว่าสีแดงคล้ำนั้นคืออะไร เป็นเลือดคน เมื่อครู่นี้มีคนมารายงานนางแล้วว่า คนบังคับรถม้าถูกตัดแขนขาดไปข้างหนึ่ง ขาก็ถูกลูกธนูปักเข้าไป และคนคุ้มกันที่นางพามาพอเป็นพิธีทั้งหมดหกมีคนตายไปแล้วสอง แล้วยังมีสามคนที่เจ็บหนัก มีเพียงคนเดียวที่ยังดีอยู่บ้าง เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บเบาๆ เท่านั้น  

 

 

           ทว่าโจรลอบสังหารตายมากกว่า คนที่ลอบยิงธนูจากทางไกลก็แล้วไป คนลอบสังหารที่พุ่งเข้ามามีทั้งหมดเจ็ดคน มีหกคนที่เสียชีวิตไป ส่วนคนที่ยังมีชีวิตรอดก็ถูกจับให้กัดลิ้นตายไปแล้ว  

 

 

           เหตุการณ์นี้มีคนตายทั้งหมดเก้าคน เพื่อสังหารนาง ฝ่ายตรงข้ามยอมแลกกับชีวิตคนเจ็ดคน ส่วนฝั่งของนางก็ยอมเสียหายเจ็บหนัก เพื่อปกป้องชีวิตตนเองเช่นกัน  

 

 

           นี่เป็นเพราะว่าบรรดาคนคุ้มกันล้วนรู้ว่านางไม่อยู่บนรถม้า เพียงขอแค่ปกป้องรักษาชีวิตตนเองเท่านั้น ไม่ได้ป้องกันขัดขวางอะไรขนาดนั้น  

 

 

           หากนางอยู่บนรถม้าจริง เกรงว่าคนคุ้มกันหกคนและคนบังคับรถม้าคนเดียวคงปกป้องนางจนชีวิตหาไม่กันทั้งหมด  

 

 

           ถาวจวินหลันแค่นหัวเราะทีหนึ่ง “ลงทุนลงแรงกับข้าเสียจริง” ส่งคนมาเจ็ดคน เกรงว่าคงเป็นทหารพลีชีพทั้งสิ้น ทหารพลีชีพพวกนั้นมีฝีมือทั้งหมด ส่งออกมาเจ็ดคนภายในครั้งเดียว นางคิดว่าตระกูลคนที่อยู่เบื้องหลังคงต้องใหญ่จนไม่สนใจอะไรแล้ว หรือควรพูดว่านางทำให้คนโกรธแค้นจนไม่ต้องเสียดายอะไรแล้ว ยินยอมพร้อมใจแลกทุกอย่างเพื่อสังหารนางอย่างนั้นหรือ?  

 

 

           แน่นอนว่าต้องมีคนไปรายงานผู้ดูแลเมืองนานแล้ว ถาวจวินหลันเบนหน้าไปกำชับคนคุ้มกันขององค์หญิงเก้าคนหนึ่ง “เจ้าอยู่ที่นี่ อย่าให้ใครเข้ามายุ่ง รอจนผู้ดูแลเมืองรับไปดูเองแล้ว เจ้าก็ค่อยกลับไป”  

 

 

           หลังจากกำชับเสร็จแล้ว นางและองค์หญิงเก้าก็รีบจากไป ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน ใครจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามทำครั้งแรกไม่สำเร็จ แล้วจะย้อนกลับมาอีกหรือไม่?  

 

 

           นางยังไม่กล้าแม้แต่ให้หงหลัวไปหาหมอ ถาวจวินหลันรีบกลับมาที่จวนตวนชินอ๋อง พอเข้าไปในประตูเรือนเฉินเซียงแล้ว นางถึงได้รู้สึกสงบขึ้นมาเล็กน้อย สุดท้ายแล้วก็เบาใจลงหลายส่วน  

 

 

           แต่เพราะเครียดมานาน เมื่อได้ผ่อนคลายเช่นนี้ นางก็รู้สึกเหมือนถูกสูบเรี่ยวแรงออกไปจากทั้งร่าง เท้าจึงรู้สึกอ่อนแรงจนแทบยืนไม่อยู่   

 

 

           ด้วยจวนตวนชินอ๋องอยู่ใกล้กว่า องค์หญิงเก้าถึงได้ตามมาด้วย เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางก็ไม่กล้านั่งรถม้าอีก อีกทั้งถาวจวินหลันเองก็กังวลใจ ตัดสินใจพามาด้วยกันก่อนเลยจะดีกว่า  

 

 

           ท่าทางขององค์หญิงเก้าก็ไม่ได้ดีไปกว่านางเท่าไรนัก  

 

 

           พอเข้าไปนั่งในห้องแล้ว ถาวจวินหลันก็รับชาร้อนที่บ่าวรับใช้ยกมาให้ อุณหภูมิที่ร้อนจัดจากปลายนิ้วมือค่อยๆ กระจายมาตามร่องนิ้ว นางถึงถอนหายใจ “ปลอดภัยแล้ว”  

 

 

           องค์หญิงเก้าออกแรงจับจอกชา หลังจากจิบไปอึกหนึ่งแล้วถึงเรียกเสียงของตนเองกลับมาได้ “ถือว่าสบายใจได้แล้ว” เกิดเรื่องอย่างเมื่อครู่นี้ขึ้น นางคงหวั่นใจเวลานั่งบนรถม้าไปอีกนาน  

 

 

           “เชิญหมอมาดูอาการหงหลัวเถิด” หลังจากถาวจวินหลันได้สติกลับมาก็รีบสั่ง  

 

 

           ปี้เจียวพยักหน้าด้วยความสงสาร “ให้คนไปเรียกนานแล้วเจ้าค่ะ นายหญิงอย่าคิดมากอีกเลย ท่านน่าเป็นห่วงกว่าหงหลัวยิ่งนักเจ้าค่ะ”  

 

 

           จากนั้นปี้เจียวก็สังเกตเห็นรอยเลือดที่นิ้วของถาวจวินหลัน ก็ให้ตกใจทันที รีบก้าวเท้าเข้าไปดูอาการ พอเห็นบาดแผลตรงข้อมือที่เลือดแห้งไปแล้ว ก็อดสูดลมเย็นเข้าลึกๆ ไม่ได้  

 

 

           ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ก้มหน้าไป แล้วถึงได้รู้สึกว่าตนเองได้รับบาดเจ็บ และถึงเริ่มเจ็บบนข้อมือ แต่ด้วยเลือดแห้งแล้ว จึงไม่ได้ไหลออกมาอีก และไม่ได้เจ็บมากนัก เพียงแค่รอยเลือดเต็มมือจนน่าตกใจเท่านั้นเอง  

 

 

           แขนเสื้อของนางก็โดนย้อมไปด้วยเลือดจำนวนมาก เสื้อผ้าดีๆ ชุดหนึ่งจึงเสียหายไปเช่นนี้  

 

 

           องค์หญิงเก้าอยากถามว่าถาวจวินหลันได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร พอกำลังจะพูดก็รู้สึกเจ็บลิ้นเป็นอย่างมาก จึงอดหัวเราะขมขื่นไม่ได้ เมื่อครู่นี้นางพูดยังไม่รู้สึกเจ็บ เพราะตกใจมากเกินไป  

 

 

           ตอนที่ทำความสะอาดแผลนั้นถาวจวินหลันเจ็บไม่น้อย ปากแผลที่ตกสะเก็ดแล้วในตอนนี้ถูกผ้าฝ้ายนุ่มสะอาดเช็ดคราบเลือดออกไป จากนั้นก็เปิดปากแผลเล็กน้อย เพราะกลัวว่าข้างในจะยังมีสิ่งสกปรกหรือว่าของแปลกอีก  

 

 

           ถาวจวินหลันเองไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ปี้เจียวกลับคีบเศษหยกที่แตกละเอียดเหมือนเมล็ดงาออกมาจากแผลได้จริงๆ คิดว่าหากไม่เอาออกมา เกรงว่าต่อจากนี้ไปยังจะต้องลำบากอีก  

 

 

           พอทำความสะอาดบาดแผลพร้อมใส่ยา และพันแผลเรียบร้อยแล้ว ถาวจวินหลันก็เหลือบมองครั้งหนึ่ง ก่อนหัวเราะออกมา “ดูเหมือนว่าข้าเจ็บหนักอย่างนั้น”  

 

 

           องค์หญิงเก้าหัวเราะขมขื่น คิดจะพูดอะไรสักเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าเปิดปากพูด ที่จริงแล้วนางยอมเจ็บที่อื่นไม่ใช่บนลิ้นของตน ไม่ว่าจะกินข้าวหรือพูดคุยก็ส่งผลกระทบไม่น้อย  

 

 

           คางขององค์หญิงเก้าก็ถลอกเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้รุนแรงมากนัก ทายาเสร็จก็ไม่ต้องสนใจอีก บาดแผลเล็กเช่นนี้ ไม่มีแม้แต่รอยแผลเหลือเอาไว้  

 

 

           พอจัดการบาดแผลของทั้งสองคนเรียบร้อยแล้ว หลี่เย่และถาวจิ้งผิงก็รีบพุ่งเข้ามา เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่เร่งเดินทางมา วันที่อากาศหนาวขนาดนี้ยังมีเหงื่อออกตรงหน้าผาก เสียงหายใจหนักหน่วง  

 

 

           ทั้งสองคนเข้าไปในห้อง พลางมองหาภรรยาของตนเองและพิจารณาอย่างละเอียดตามสัญชาตญาณ แล้วถึงได้สังเกตมองคนอื่น  

 

 

           ตอนแรกหลี่เย่ยังไม่ทันเห็นบาดแผลตรงข้อมือของถาวจวินหลัน อย่างไรก็มีแขนเสื้อบังเอาไว้ ไฉนเลยจะสังเกตเห็นในทันที?  

 

 

           นอกจากทั้งสองคนมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นกังวลอีก ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองถอนใจโล่งอกพร้อมกันโดยไม่นัดหมาย  

 

 

           พูดตามจริงแล้วตอนที่มีคนมารายงานว่าถาวจวินหลันถูกลอบสังหาร หลี่เย่รู้สึกว่าใจของเขาหล่นวูบ และรู้สึกเจ็บเป็นอย่างมาก จากนั้นความหวาดกลัวก็ตามมา  

 

 

           แต่พอได้ยินว่าไม่สำเร็จ ก็แค่ตกใจเท่านั้น แต่สุดท้ายเขาก็ยังคงไม่วางใจ รีบกลับมาดูว่าแท้จริงแล้วสถานการณ์เป็นเช่นไรกันแน่  

 

 

           เขาบังเอิญพบถาวจิ้งผิงระหว่างทางที่มา ทั้งสองคนกระวนกระวายเร่งรีบ แม้แต่รถม้าก็ไม่นั่ง ขี่ม้าฝ่าลมหนาวกลับมายังจวนตวนชินอ๋อง  

 

 

           ที่จริงแล้วตอนที่เขาเจอถาวจิ้งผิง เขาแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง แต่ความเป็นจริงกลับกระวนกระวายจนแม้แต่มือเท้ายังขัดกันไปมาจนดูน่าขัน แต่เขาก็พบทันทีว่า ที่จริงแล้วเขากับถาวจิ้งผิงไม่ได้ต่างกันเลย จึงหัวเราะไม่ออก  

 

 

           ยังดีที่ถาวจิ้งผิงไม่ได้เป็นอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนนอกอยู่ หลี่เย่ก็อยากเข้าไปสำรวจดูอย่างละเอียดด้วยตนเองอีกสักที  

 

 

           ถาวจวินหลันเห็นหลี่เย่มีท่าทีเช่นนี้ ก็ยิ้มพลางชูมือที่ถูกพันผ้าแน่นขึ้นมาก่อน พูดว่า “พูดไปแล้ว โจรลอบสังหารก็ไม่ได้ทำอะไรข้า กลับเป็นกำไลหยกที่แตกแล้วทรมานข้าไม่เบา น่าเสียดายกำไลวงนั้น ข้าชอบมากจริงๆ”  

 

 

           หลี่เย่มีท่าทีเคร่งเครียด แล้วก็ผ่อนคลายลง พูดว่า “กำไลหยกวงเดียวมีอะไรสำคัญกัน? กลับไปข้าจะให้คนหาวัตถุดิบดีๆ มาทำให้ก็ได้แล้ว”  

 

 

           หยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ล้วนพูดว่าหยกมีชีวิต ไม่แน่ว่าวันนี้ที่หยกแตกก็ถือเป็นการป้องกันภัยให้เจ้าครั้งหนึ่ง” เรื่องเล่านี้มีมาตั้งแต่โบราณจริง ยิ่งเป็นหยกที่ดีเท่าไรก็ยิ่งมีชีวิตมากเท่านั้น  

 

 

           ถาวจิ้งผิงได้ยินบ่าวรับใช้ขององค์หญิงเก้าพูดว่าองค์หญิงเก้ากัดลิ้นจนเป็นแผล ไม่สะดวกพูด ฉับพลันก็รู้สึกสงสาร “ถ้าเช่นนั้นทานข้าวจะทำเช่นไร?”  

 

 

           คิดดูว่าหลังจากนี้หลายวันองค์หญิงเก้าต้องลำบาก ใบหน้าของถาวจิ้งผิงก็ประกายความโหดเ**้ยม “กู่ลิ่งจือใช้ไม่ได้จริงๆ เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นใต้จมูกเขาแท้ๆ” ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่นางคิดในตอนนี้ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นใครที่สั่งทำเรื่องนี้ เขาไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ อย่างแน่นอน!  

 

 

           แน่นอนว่าหลี่เย่ก็คิดเช่นเดียวกัน แล้วยังโหดเ**้ยมกว่าถาวจิ้งผิงมากนัก  

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ? นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset