พอพวกผู้ชายพูดคุยกันเสร็จแล้ว ก็แทบจะเป็นเวลาดึกมากแล้ว ตอนแรกถาวจวินหลันคิดจะรั้งให้พวกเขาอยู่ในจวนสักคืนหนึ่ง แต่ไม่มีใครยอม คิดไปคิดมาถาวจวินหลันจึงไม่ได้พูดรั้งอีก เพียงแค่เดินออกไปส่งพวกเขาพร้อมกับหลี่เย่
ท้องฟ้ามืดอากาศเย็น ถาวจวินหลันเอาผ้าคลุมมาคลุมตัวไว้ก็ยังทนไม่ไหว ต้องอุ้มเตาผิงอันเล็กเอาไว้ถึงจะรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย หลี่เย่กลัวนางจะล้ม จึงให้คนถือโคมไฟเดินตามมาทั้งสองข้างทาง แล้วใช้แขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บประคองถาวจวินหลันเอาไว้แน่น กลัวว่านางจะล้ม
เฉินฟู่ก็ทำคล้ายกัน กลับเป็นถาวจิ้งผิงและองค์หญิงเก้าที่ดูห่างเหินกัน
ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว แต่กลับไม่พูดเยอะ เพียงแค่หลังจากส่งคู่สามีภรรยาถาวซินหลันกลับไปแล้วถึงได้มองถาวจิ้งผิง
องค์หญิงเก้าขึ้นรถม้าไปแล้ว อย่างไรไม่มีถาวจิ้งผิงประคององค์หญิงเก้าขึ้นรถม้า ก็ยังมีบ่าวรับใช้อีกมากมายที่คอยช่วยอยู่
ถาวจวินหลันโมโหมาก ออกแรงดึงตัวถาวจิ้งผิงอย่างแรง กดเสียงลงต่ำพูดอย่างโมโหว่า “เจ้ามัวทำอะไรอยู่? นั่นเป็นภรรยาของเจ้านะ! เจ้าดูซิว่าเฉินฟู่ทำอย่างไร? แล้วเจ้าทำเช่นไร? องค์หญิงเก้าแต่งงานกับเจ้าก็ถือว่าลำบากแล้ว เจ้ายังมีท่าทีเช่นนี้อีก! ข้าถามเจ้าอีกครั้ง เมื่อไรตระกูลถาวของพวกเราจะลงหลักปักฐานมั่นคงเสียที?!”
แม้จะสั่งสอนถาวจิ้งผิงไปแล้ว และถาวจิ้งผิงขึ้นรถม้าคันเดียวกับองค์หญิงเก้าไป แต่ถาวจวินหลันก็ยังคงเป็นกังวล ยืนดูรถม้าที่วิ่งออกไปจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว นางถึงได้ขมวดคิ้วพูดกับหลี่เย่ว่า “ถ้ามีเวลาท่านต้องช่วยข้าเกลี้ยกล่อมเขานะเพคะ เขาเป็นเช่นนี้ต่อไปคนที่ไม่สบายใจก็เป็นเจ้าเก้า สองคนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ อยู่ดีๆ ทำไมถึงได้ทะเลาะกัน?”
ถาวจวินหลันไม่ได้คิดเรื่องที่ว่ายังไม่คืนดีกันตั้งแต่คราวก่อน เพียงแค่คิดว่าทั้งสองคนเพิ่งทะเลาะกันเท่านั้น
หลี่เย่รู้เรื่อง แต่เขากลัวว่าถาวจวินหลันจะเป็นห่วง จึงไม่กล้าบอกถาวจวินหลันว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพียงแค่ยิ้มและพูดว่า “เอาเถิด เรื่องของสามีภรรยา พวกเราเป็นคนนอกจะเข้าไปยุ่งได้อย่างไร?”
ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว “ข้าเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขา ทำไมจะเข้าไปยุ่งไม่ได้เล่า?”
หลี่เย่แค่นหัวเราะ ไม่กล้าอธิบายต่อไป บีบนิ้วที่เริ่มเย็นของถาวจวินหลันเบาๆ “เอาเถิด พวกเรารีบกลับไปนอนเถิด พรุ่งนี้ข้ายังต้องเข้าวังหลวงอีกรอบหนึ่ง ทั้งยังจะต้องไปทำงานที่ศาลาว่าการด้วย”
พรุ่งนี้ถาวจวินหลันก็ต้องเข้าวังหลวงเช่นเดียวกัน เมื่อคิดดูว่ายามนี้ก็ดึกแล้ว จึงไม่กล้าพูดอะไรมากอีก เพียงแค่ดึงหลี่เย่ให้รีบเดิน
แต่ที่นางไม่รู้ก็คือหลังจากถาวจิ้งผิงขึ้นรถม้าไปแล้ว เขาก็นั่งห่างจากองค์หญิงเก้าอยู่มาก หากพูดว่าเป็นสามีภรรยากัน ไม่สู้ว่าบอกเป็นคนแปลกหน้าสองคนเลยจะดีกว่า
องค์หญิงเก้ามองถาวจิ้งผิงนั่งอย่างสงบเสงี่ยม นางทั้งโกรธและโมโห แต่เดิมคิดจะทนเอาไว้ แต่ยิ่งดูก็ยิ่งโมโห สุดท้ายแล้วก็พูดอย่างทนไม่ไหว “ท่านจะเอาอย่างไรกันแน่?!”
น้ำเสียงขององค์หญิงเก้าแฝงไว้ด้วยความสะอึกสะอื้น และความจนปัญญา “ข้าทำไมหรือ? ทำไมท่านถึงได้ห่างเหินกับข้าถึงเพียงนี้? ท่านคิดว่าข้าเป็นอะไร?”
ถาวจิ้งผิงมององค์หญิงเก้าวูบหนึ่ง แล้วพูดเนิบๆ “เจ้าย่อมเป็นภรรยาของข้า เป็นนายหญิงของตระกูลถาว”
แต่กลับไม่รู้ว่าเขาไม่พูดยังจะดีกว่า พอพูดก็ยิ่งเหมือนจุดดินปืน ทำให้องค์หญิงเก้ายิ่งโมโหมากกว่าเดิม องค์หญิงเก้ารักษาสีหน้านิ่งเอาไว้ไม่ได้แล้ว หยิบหมอนอิงขึ้นมาเขวี้ยงออกไป พลางร้องสะอื้น “ท่านเห็นข้าเป็นภรรยาจริงๆ หรือ? เป็นนายหญิงของตระกูลถาว? ท่านหมายความว่าอย่างไร? หากท่านไม่อยากเห็นข้า ก็เพียงส่งข้ากลับวังหลวงไปเท่านั้น!”
องค์หญิงเก้าโมโหมากจริงๆ พูดคำเหล่านี้ออกมาอย่างไม่ยั้งปากเลยแม้แต่น้อย
สีหน้าของถาวจิ้งผิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย สุดท้ายแล้วก็กัดฟันกล้ำกลืนไฟโกรธ พูดเพียงแค่ว่า “อย่าพูดไร้สาระ” ลูกสาวที่ออกเรือนไปก็เหมือนน้ำที่โดนสาด ต่อให้เป็นองค์หญิงก็เป็นแบบเดียวกัน อย่างไรก็ไม่เคยมีองค์หญิงคนไหนออกเรือนไปแล้วกลับเข้ามาอาศัยในวังอีก แม้ว่าเขาและองค์หญิงเก้าจะทะเลาะกัน แต่ก็ไม่อยากให้องค์หญิงเก้าเสียหน้า
“ข้าพูดไร้สาระ?” องค์หญิงเก้าร่ำไห้ด้วยความน้อยใจ สุดท้ายแล้วก็เลิกร้องไห้ แต่กลับหัวเราะเสียงเย็น มองถาวจิ้งผิงนิ่ง พลางพูดว่า “ท่านเห็นข้าเป็นภรรยาจริงหรือ? หากเห็นข้าเป็นภรรยาจริงไฉนเลยจะละเลยข้ามานานเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย? ท่านไม่รู้หรอกว่าบรรดาบ่าวรับใช้เหล่านั้นแอบหัวเราะเยาะข้าอย่างไร?”
ถาวจิ้งผิงขมวดคิ้ว แต่กลับไม่พูดอะไร
“ท่านคิดว่าข้าไม่ควรพูดอย่างนั้นหรือ? ท่านคิดว่าข้าไม่คิดถึงใจพี่สาวของท่านอย่างนั้นหรือ? ข้าห้ามท่านไม่ให้ท่านไปดูนาง แล้วจะทำไม? แต่ท่านก็ยังไปไม่ใช่หรือ?! ถาวจิ้งผิง ท่านถามใจของตนเองให้ดี ข้าจงใจไม่ให้ท่านไปอย่างนั้นหรือ? ท่านเองไม่คิดเลยว่านั่นเป็นโรคอะไร! นั่นคือโรคระบาด! โรคระบาด! ข้ากลัวท่านติดกลับมาไม่ใช่หรืออย่างไร?!” องค์หญิงเก้ากัดฟันแน่น สายตาเฉียบคมราวจิ้งจอก มองเขม็งไปที่ถาวจิ้งผิง แทบจะไปกระชากแหวกอกของเขาออกมาดู ว่าสุดท้ายแล้วหัวใจของเขามีรูปร่างเป็นอย่างไรกันแน่!
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ถาวจิ้งผิงก็กดไฟโกรธในใจไม่ได้อีกต่อไป หัวเราะเสียงเย็นมององค์หญิงเก้า “พูดไปแล้ว สุดท้ายก็ยังไม่คิดว่าตนเองผิด ข้าจะบอกเจ้าให้รู้ไว้ ตระกูลถาวของพวกเราเทียบกับตระกูลสวรรค์ของพวกเจ้าไม่ได้ ล้วนเป็นคนเห็นแก่ตัวไร้เยื่อใย! ไม่ต้องบอกว่ามีสิทธิ์จะติดเชื้อโรคระบาด ต่อให้เป็นโรคระบาดจริง ข้าก็ยังจะไปเหมือนเดิม! ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าเจ้าเคารพพี่สาวของข้า แต่เจ้าคิดดูว่าเจ้าทำอะไร? หรือพี่สาวของข้าปฏิบัติกับเจ้าได้ไม่ดี? คำพูดที่เจ้าพูดกับพี่รอง เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรืออย่างไร!”
ถาวจิ้งผิงพูดด้วยอารมณ์พุ่งพล่าน ทำให้องค์หญิงเก้าตะลึงงัน ริมฝีปากของนางสั่นน้อยๆ แต่กลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ในหัวเหลือเพียงความคิดเดียว ถาวจิ้งผิงรู้เรื่องแล้ว! เขารู้แล้ว! เขารู้ได้อย่างไร!
ถาวจิ้งผิงสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามสงบใจลงช้าๆ “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็เป็นนายหญิงของตระกูลถาว ข้าก็ไม่ได้คิดจะเอาเรื่องเอาราวอะไร เจ้าเองก็กลับไปคิดเสียเถิด ใต้หล้านี้ไม่ได้มีแค่ตัวเจ้าเอง! ก่อนหน้านี้อยู่ในวังหลวงต้องเห็นแก่ตัวบ้างก็จริง แต่ตอนนี้ออกจากวังหลวงมาแล้วยังจะทำตัวเช่นนี้อีกหรืออย่างไร?”
หยุดไปครู่หนึ่ง ก็คิดถึงคำพูดของถาวจวินหลัน สุดท้ายก็ถอนหายใจอีกครั้ง พร้อมกับพูดอธิบายอีก “หลายวันมานี้ไม่ได้อยากจะห่างเหินกับเจ้า แต่อยากให้เจ้าลองคิดให้ถี่ถ้วน ว่าแท้จริงแล้วเป็นความผิดของใคร!”
พอพูดจบถาวจิ้งผิงก็ไม่พูดอะไรอีก ก้มหน้ามองนิ้วมือของตนอย่างอดกลั้น ที่จริงแล้วเขายังมีอีกอย่างที่ไม่ได้พูดกับองค์หญิงเก้า นั่นก็คือเขาผิดหวังจริงๆ เขานึกว่า แม้องค์หญิงเก้าจะโตมาในครอบครัวราชวงศ์ แต่ก็ไม่เหมือนกับองค์หญิงพระองค์อื่น อย่างน้อยก็ถือว่าดีกับพี่น้องของตนเอง แต่วันนั้นที่องค์หญิงเก้าขวางเอาไว้ กลับทำให้เขาเข้าใจเรื่องหนึ่ง แม้ว่าดูแล้วจะไม่เหมือนกัน แต่องค์หญิงเก้าก็ยังเหมือนกับองค์หญิงพระองค์อื่นอยู่มาก
ที่จริงแล้วเขาไม่ได้โกรธเพราะเรื่องนี้ขนาดนั้น ที่ทำให้เขาโมโหและผิดหวังจริงๆ ก็คือคำพูดที่องค์หญิงเก้าพูดกับหลี่เย่ พอคิดไปแล้วเขาก็ยังหาเหตุผลไม่ได้จริงๆ ว่าองค์หญิงเก้าพูดถึงถาวจวินหลันเช่นนั้นทำไม หากคิดว่าตนเองเป็นคนตระกูลถาวจริง ต่อให้ถาวจวินหลันทำไม่ดี องค์หญิงเก้าก็มาบอกเขาได้ ไม่ใช่ไปบอกหลี่เย่
เขาเข้าใจความลำบากและความไม่ยุติธรรมที่พี่สาวต้องพบในจวนอ๋องมากกว่าใคร และด้วยเหตุนี้ถึงได้หวังว่าพี่สาวของตนจะมีชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อถาวจวินหลันเขายอมทุ่มเททุกอย่าง เขาไม่มีเหตุผลอื่น เพียงแค่นั่นคือพี่สาวของตน แต่องค์หญิงเก้าทำเช่นนี้เห็นชัดว่าเป็นการบอกให้หลี่เย่อยู่ห่างจากถาวจวินหลัน! แค่นี้พี่สาวของเขายังไม่ลำบากพอหรืออย่างไร! ในเสี้ยววินาทีนั้นถาวจิ้งผิงผิดหวังในตัวองค์หญิงเก้าจริงๆ และไม่อยากเห็นหน้านางอีก
แม้จะบอกว่าหลังจากนั้นมาความโกรธก็เริ่มลดลง และเริ่มลดความคิดเหล่านั้น เขาพลันรู้สึกผิดหวังอย่างไม่มีที่เปรียบจริงๆ และที่นิ่งเงียบนานขนาดนี้ เขาก็คิดว่าองค์หญิงเก้าจะเข้าใจความหมายของเขา อีกอย่างครั้งนี้นางยอมเชื่อฟังถาวจวินหลันขนาดนั้น เขาก็นึกว่าองค์หญิงเก้าจะคิดได้แล้วเสียอีก
แต่ตอนนี้เขาถึงรู้ว่าองค์หญิงเก้าไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย เมื่อคิดได้เช่นนี้ ถาวจิ้งผิงก็คิดว่าช่างน่าขันนัก
สิ่งที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้คือ หลังจากนั้นตลอดทางกลับบ้านตระกูลถาว ภายในรถม้าก็เข้าสู่ความเงียบสงบ และเมื่อรถม้าหยุดลงถาวจิ้งผิงก็กระโดดลงรถม้าอย่างอดรนทนไม่ได้ มุ่งหน้าเดินเข้าไปในห้องหนังสือทันที
องค์หญิงเก้านั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน ผ่านไปครู่หนึ่งถึงร้องไห้อย่างอึดอัด ในใจรู้สึกอ้างว้าง สุดท้ายแล้วนางทำผิดอะไรกันแน่? นางเป็นห่วงถาวจิ้งผิงแล้วผิดอย่างนั้นหรือ? นางเป็นห่วงพี่รองของตนเองแล้วผิดอย่างนั้นหรือ?
หากถาวจวินหลันดีเหมือนที่ถาวจิ้งผิงพูด ถาวจวินหลันก็คงไม่เข้ามายุ่งเรื่องของพวกนางสามีภรรยา หรือมือยื่นเข้ามาในบ้านตระกูลถาว และยิ่งไม่ทางไปตีสนิทองค์หญิงแปดเพื่อผลประโยชน์ อีกทั้งไม่มีทางหลอกล่อถามนาง พูดเรื่องรับอนุภรรยาอะไรต่อหน้านาง สิ่งที่ถาวจวินหลันพูดคือเตือนให้นางเป็นแม่บ้านที่ดีรับอนุภรรยาให้จิ้งผิงเองมิใช่หรือ?
ที่จริงแล้วถาวจวินหลันมีอะไรดีกว่านางกัน? ถาวจวินหลันเองก็เป็นคนเห็นแก่ตัวเหมือนกันไม่ใช่หรือ? เพื่อฐานะตำแหน่งของตน หรือถาวจวินหลันจะไม่ทำอะไรเลย? เทียบได้กับตอนที่อยู่ในวังหลวง นางเคยคิดว่าถาวจวินหลันหวังดีกับนางจากใจจริง แต่หลังจากนางถูกคนพูดให้ได้สติถึงเข้าใจ นั่นเป็นเพียงวิธีการเล็กๆ น้อยๆ ที่ถาวจวินหลันใช้ดึงดูดพี่รองของตนเท่านั้น เป็นนางที่คิดรีบร้อนหาวิธีตอบแทนบุญคุณไปเองคนเดียว
ถาวจวินหลันย่อมต้องไม่รู้เรื่องนี้ ในตอนนี้นางและหลี่เย่กลับไปแล้ว ด้วยกังวลเรื่องของถาวจิ้งผิง และหลี่เย่ตั้งใจหลบเลี่ยงนาง นางจึงไม่อยากดูบาดแผลของหลี่เย่อีก
พอตื่นขึ้นมาในวันถัดไป หลี่เย่ก็ออกจากจวนไปแล้ว
ถาวจวินหลันถอนหายใจ คิดดูแล้วรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ทำหน้าที่ จึงกำชับหงหลัวว่า “วันนี้ตกดึกให้เตือนข้าด้วย ช่วยทายาให้หลี่เย่” ด้วยนางเป็นภรรยา ในเมื่อสามีได้รับบาดเจ็บแล้วไม่รู้ว่าบาดแผลเป็นเช่นไร พูดไปก็น่าขัน
เพราะวันนี้ต้องเข้าวังหลวง ถาวจวินหลันจึงแต่งตัวเรียบร้อย แล้วนั่งรถม้าออกไป
องค์หญิงเก้าและถาวซินหลัน พวกเขาตั้งใจนัดเจอกันที่หน้าประตูวัง
แต่เมื่อถึงหน้าประตูวัง ถาวจวินหลันก็พบคนที่คุ้นเคยอีกสองสามคน นั่นคือองค์หญิงแปดกับองค์หญิงสามและองค์หญิงสี่
องค์หญิงแปดเดินมาทักทายพูดคุยกับนาง ส่วนองค์หญิงสามและองค์หญิงสี่กลับทำเป็นมองไม่เห็น ต่างฝ่ายต่างเดินเข้าไปนั่งในวัง
องค์หญิงแปดหัวเราะเยาะ “ไม่ทันไรก็รีบไปประจบสอพลอกันเสียแล้ว”