ใจของถาวจวินหลันมืดมน ที่จริงแล้วนางก็ไม่อยากพูดเรื่องเหล่านี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วจึงหัวเราะเยาะตนเองออกมา “เพคะ ไม่พูดแล้ว”
แต่ไม่พูดเรื่องเหล่านี้ก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ผ่านไปครู่ใหญ่หลี่เย่ถึงถามเสียงเบา ทำลายความสงบ “หลายวันมานี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ถาวจวินหลันตอบตามสัญชาตญาณ “ดีเพคะ จะไม่ดีได้อย่างไร? นอกจากไม่สามารถออกไปพบหน้าท่านได้แล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไร ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ยังตัดสินใจเรื่องทุกอย่างในจวน ใครจะกล้ายั่วโมโหข้าเล่า?”
หลี่เย่ได้ยินเช่นนี้ เขาก็ยิ่งนึกสงสารมากขึ้น แต่กลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ถาวจวินหลันก็พูดอีกครั้ง “ท่านเองก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงข้า ขอให้รักษาตัวให้ดี หวังว่าเมื่อผ่านไปพวกเรายังจะพบหน้ากันได้อีก วันนี้ก็ช่างเถิด แต่ต่อจากนี้ไปไม่อาจกระทำเช่นนี้ได้อีก ท่านตรงเข้ามาเช่นนี้ หากบังเอิญพบคนติดเชื้อโรคระบาดแล้วจะทำอย่างไร? ตอนนี้คนในจวนต้องตั้งความหวังไว้ที่ท่านแล้ว”
นางรู้ว่าพูดเช่นนี้ต้องสร้างความกดดันให้กับหลี่เย่ แต่ถ้านางไม่พูดเช่นนี้ คืนวันพรุ่งนี้หลี่เย่คงจะมาหานางอีก จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? และเพื่อไม่ให้หลี่เย่มาอีก นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงได้พูดเรื่องของหลิวซื่อ “คราวนี้ชายาเอกติดเชื้อได้อย่างไรก็น่าสงสัย กลัวว่าจะมีคนตั้งใจ ข้าเดาว่าเป็นฮองเฮา ท่านเองก็ต้องเตรียมใจไว้บ้าง”
หลี่เย่คิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะคาดเดาได้แล้ว นอกจากความตื่นตะลึงแล้ว ก็ยังมีอาการว้าวุ่นใจจนไม่รู้จะทำอย่างไร ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงถอนหายใจ “ข้าเดาได้แล้ว”
เขาโมโหหลิวซื่อเป็นอันมาก ดังนั้นจึงพูดคำรุนแรง “หลังจากหลิวซื่อตายไป ไม่ต้องทำพิธียิ่งใหญ่ ยิ่งไม่อนุญาตให้เอาศพเข้ามาในสุสานตระกูล นางไม่คู่ควร”
“ท่านรู้ว่าหลิวซื่อยินยอมติดเชื้อเองอย่างนั้นหรือ?” ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ตื่นตกใจเล็กน้อย
ริมฝีปากของหลี่เย่ยกขึ้นเป็นแววเยาะเย้ย “ที่จริงแล้วนางยินยอมเอง” เขาเพียงแต่คิดว่าหลิวซื่อไม่ยอมตาย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้หลิวซื่อจะยินยอมเอง
หลิวซื่อช่างกล้านัก! ชายาเอกตวนชินอ๋องที่กินบนเรือนขี้บนหลังคา! ฮองเฮาที่ช่างมากความสามารถ!
หลี่เย่รู้สึกว่าไฟแค้นที่สุมอกก่อนหน้านี้ได้พุ่งขึ้นมาอีกครั้ง แผดเผาจนเขาแทบสูญสิ้นสติปัญญา
“นี่ก็ดึกแล้ว” ได้ยินเสียงฆ้องที่ดังอยู่มาจากถนนข้างนอก ถาวจวินหลันก็อดเตือนเสียงเบาไม่ได้ “ท่านควรไปพักผ่อนได้แล้ว”
“เจ้าเปิดหน้าต่าง ข้าจะมองเจ้าจากที่ไกลๆ” หลี่เย่กลับไม่ยอมจากไป ทว่าพูดขอร้องนางออกมา แล้วไม่รอให้ถาวจวินหลันเอ่ยปากปฏิเสธ ก็พูดอีกว่า “เจ้าวางใจเถิด ตอนนี้หมอคิดค้นวิธีการยับยั้งการแพร่กระจายของโรคระบาดได้แล้ว พบหน้ากันสักครั้งก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมาก อีกอย่างข้าก็ไม่ได้เข้าไป เพียงแค่มองผ่านหน้าต่างเท่านั้น”
ไม่เห็นถาวจวินหลัน เขาก็ไม่พอใจ และไม่วางใจ
ถาวจวินหลันแต่เดิมนั้นไม่ยินยอม แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเขาก็เริ่มเกิดอาการคล้อยตาม “จริงหรือเพคะ?”
“จริงซี” น้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นของหลี่เย่ทำให้คนรู้สึกสบายใจ
ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็เห็นด้วย ไม่เพียงแค่หลี่เย่ที่อยากเห็นนาง นางเองก็อยากเห็นหลี่เย่เช่นเดียวกัน
“ท่านถอยออกไปหน่อย ข้าจะเปิดหน้าต่างแล้ว” หลังจากพูดออกมาเบาๆ ถาวจวินหลันก็ดันหน้าต่างออกไป
หลี่เย่ยืนอยู่ข้างนอกห่างออกไปสามก้าวตามที่คาดเอาไว้ แล้วมองตรงไปข้างในหน้าต่าง
แสงไฟที่อยู่ในห้องทอดออกไปจากในหน้าต่าง ไปตกอยู่ที่ร่างของหลี่เย่พอดี ทำให้ถาวจวินหลันมองเห็นหลี่เย่ได้ทันที ใต้แสงจันทร์ หลี่เย่ที่สวมเสื้อผ้าสีเขียว แม้จะพูดว่าไม่ได้เรียบร้อย มีบางจุดที่เป็นรอยยับย่น แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อพลังอำนาจที่อยู่บนตัวของหลี่เย่ เขายืนยิ้มบางๆ อยู่ตรงนั้น ทันใดนั้นก็ทำให้คนเกิดความรู้สึกเหมือนโผบินขึ้นสูง
ที่สำคัญก็คือลมค่อนข้างแรง เมื่อลมพัดขึ้นมาเสื้อผ้าของเขาก็ปลิวขึ้นมาเช่นเดียวกัน ถึงได้ทำให้คนเกิดความรู้สึกเลือนรางขึ้นมา
“เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วัน ทำไมท่านถึงได้ผอมลงมากขนาดนี้” มองดูเสื้อผ้าที่หลวมโคร่ง ถาวจวินหลันก็อดขมวดคิ้วเอ่ยกล่าวโทษออกมาไม่ได้ “ท่านจะต้องไม่ได้ทานข้าวให้ดีเป็นแน่”
หลี่เย่เหมือนเด็กที่ทำความผิด ยืนอยู่ตรงนั้นพลางยอมรับออกมาด้วยท่าทีใจฝ่อ “อืม” หยุดไปครู่หนึ่งแล้วก็พูดขึ้นอีกว่า “เจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าจะกินลงได้อย่างไร? ถ้าไม่ได้รับผลกระทบอะไรสักนิด นั่นไม่ใช่ว่าไม่เห็นแก่หัวอกไปหน่อยหรืออย่างไร?”
ได้ยินหลี่เย่พูดอธิบายอย่างมีเหตุมีผล ถาวจวินหลันก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถลึงตามองเขาอย่างกล่าวโทษ “ใครบอกว่าไม่เห็นแก่หัวอกเพคะ? ท่านเป็นเช่นนี้พอเห็นแล้วจะให้ข้ารู้สึกดีได้อย่างไร? กว่าจะขุนให้มีเนื้อหนังได้เล็กน้อย ท่านกลับไม่รักษาเลยแม้แต่น้อย เสียแรงข้าไปเปล่าๆ หากท่านทำเพื่อข้า ก็จะต้องทานข้าวให้ดี ไม่ว่าอย่างไร ขอเพียงร่างกายแข็งแรงทุกอย่างถึงจะดีไม่ใช่หรือเพคะ?”
เมื่อถูกถาวจวินหลันตำหนิ หลี่เย่กลับยกริมฝีปากขึ้นมาแทน แฝงไปด้วยความขบขัน
ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้น ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ เพียงแค่ถลึงตามองเขาเท่านั้น
หลี่เย่ยังคงเงียบ ทั้งสองคนมองสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ฟังเพียงเสียงร้องของแมลง มองเพียงแค่แสงจันทร์ที่สาดส่อง บรรยากาศสงบนิ่งไม่มีอย่างอื่นมาสอดแทรก
สุดท้ายแล้วก็เป็นถาวจวินหลันที่ตัดใจเอ่ยขึ้นมาก่อน “ดึกแล้ว ท่านควรกลับไปได้แล้ว”
หลี่เย่สมหวังตามใจปรารถนา ก็ถือว่าพอใจมากแล้ว จึงไม่ได้มีท่าทีบิดพลิ้วอะไรต่อไป ตอบรับออกมาอย่างสบายใจ “ได้”
ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ พลางพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านก็ไปเถิด ข้าจะคอยดูท่านอยู่”
ก่อนที่หลี่เย่จะจากไปนั้น กลับมองถาวจวินหลันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนกับว่าก่อนหน้านี้และหลังจากนี้ที่ไม่อาจพบกันได้นั้นจะเอากลับคืนมาในคราวนี้ทั้งหมด สุดท้ายแล้วเขาก็พูดทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง “เจ้าวางใจ ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าเป็นอะไรไปแน่”
“อืม” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความจริงจังของหลี่เย่ ถาวจวินหลันก็ยิ้มบางๆ เป็นการตอบกลับ พูดออกมาอย่างจริงจังเช่นกัน “ข้าไม่มีทางเป็นอะไรไปแน่ ท่านวางใจ” ทั้งสองคนกลับทำให้อีกฝ่ายวางใจอย่างไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน
แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจวางใจได้จริง แต่ก็มีเพียงแค่ตัวพวกเขาเองเท่านั้นที่รู้
มองดูแผ่นหลังของหลี่เย่ที่หายไปในความมืด ถาวจวินหลันก็ยืนอยู่ที่ข้างหน้าต่างอย่างเศร้าโศกอยู่อีกครู่หนึ่ง แล้วถึงได้ปิดหน้าต่างลง
ที่จริงเมื่อครู่นี้นางอยากจะเอ่ยพูดรั้งหลี่เย่เอาไว้ ต่อให้ไม่อาจจำอะไรได้ ต่อให้จะต้องพูดคุยกันโดยที่อยู่ห่างไกล มองแค่เพียงอย่างเดียวนางก็รู้สึกพอใจและปลอดภัยแล้ว
แต่นางรู้ดีว่า นางไม่สามารถเอ่ยปากพูดเช่นนี้ได้ ถ้าพูดออกไปหลี่เย่ก็จะต้องอยู่ต่อ แล้วหลังจากนั้นเล่า? อีกอย่างหลี่เย่ในตอนนี้ก็ไม่เหมาะที่จะอยู่ในจวนแม้แต่น้อย
แต่การที่ได้พบหน้าหลี่เย่ในตอนนี้ ได้พูดคุยกับเขาอีกครู่ใหญ่ นางก็รู้สึกพอใจและแปลกประหลาดใจมากพอแล้ว
เวลาก็ดึกแล้ว ถาวจวินหลันก็ไม่ได้อยู่ที่ห้องหนังสือต่อไป ดับไฟแล้วกลับไปล้มตัวลงนอนบนเตียง
ถาวจวินหลันกลับไม่รู้ว่า ตอนที่นางเพิ่งจะดับไฟห้องหนังสือนั้น หลี่เย่ก็ออกมาจากหลังต้นไม้ที่ใช้ซ่อนตัว มองไปยังหน้าต่างที่มืดสนิทนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ค่อยๆ แอบจากไป
หลี่เย่ไม่ได้ปีนกำแพงออกไป แต่กลับเดินออกไปทางประตูหน้าอย่างองอาจ สุดท้ายแล้วก็เดินออกไปจากประตูข้างที่แอบซ่อนอยู่ภายในจวน แล้วโยนถุงเงินให้ทหารองครักษ์ “เอาไปซื้อเนื้อและเหล้าให้บรรดาพี่น้องเถิด ดูแลจวนอ๋องให้ดี”
ทหารองครักษ์คนนั้นรับเงินเอาไว้ แต่กลับไม่ได้คล้อยตาม ทว่าพูดขอร้องเสียงเบาว่า “ท่านอ๋องอย่าได้มาอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่ว่าข้าน้อยกลัวจะได้รับอันตราย แต่เพราะ…”
หลี่เย่เหลือบตามองคนผู้นั้นทีหนึ่ง ฉับพลันคำพูดที่เหลืออยู่ของคนผู้นั้นก็ชะงักค้างอยู่ที่คอ แต่เขาก็ไม่ได้ทำให้ใครลำบากใจ เพียงแค่พยักหน้าช้าๆ “ข้ารู้ดี”
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกไป ไม่เพียงทหารองครักษ์คนนั้น แม้แต่คนอื่นที่ติดตามหลี่เย่เองก็ผ่อนลมหายใจไปเฮือกหนึ่ง แม้จะบอกว่าหมอหลวงคิดหาวิธีหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อได้แล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ว่าจะได้ผลชะงัดมิใช่หรือ? แค่ครั้งเดียวก็ยังพอทน แต่ถ้ามีอีกหลายครั้ง พวกเขาแม้แต่ความประหวั่นพรั่นพรึงก็ไม่อาจรับไหว
แน่นอนว่าหลี่เย่ต้องรู้เรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่วางแผนว่าจะมาให้วุ่นวายอีกจริงๆ แค่ครั้งเดียวก็เกินพอ ครั้งที่สองที่สามก็จะไม่สมเหตุสมผล ถึงเวลานั้นไม่ต้องพูดว่าถาวจวินหลันไม่ยอมพบเขา แม้แต่คนที่อยู่ข้างกายก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดกล่อมเขาอย่างไร
บนรถม้าที่มุ่งหน้าไปยังบ้านตระกูลถาวนั้นหลี่เย่นั่งถือแก้วไฟใบหนึ่งอยู่ ใบหน้านั้นนิ่งสงบ หลิวซื่อ…เขาพบว่าตนเองจำไม่ได้แล้วว่าแท้จริงแล้วหลิวซื่อมีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่กลับจำเรื่องที่หลิวซื่อทำได้ชัดเจน
หลี่เย่หัวเราะเสียงเย็นออกมา หรี่ตาลงพลางคิดว่า เสด็จพ่อหาชายาเอกคนนี้ให้เขา ช่างเป็นคนที่น่ารังเกียจนัก ประหนึ่งเป็นคนที่มาเพื่อนำหายนะมาให้เขาโดยเฉพาะ
เมื่อคิดดูแล้ว ที่เขาเก็บหลิวซื่อเอาไว้ก่อนหน้านี้ ช่างเป็นเรื่องที่โง่เง่าที่สุด เขาคิดว่าหลิวซื่อจะไม่คิดเรื่องโง่เง่าอีก แต่กลับหนักกว่าเดิม
หากเขาจัดการหลิวซื่อไปให้เร็วกว่านี้ เรื่องวันนี้จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
หลิวซื่อ…ดวงตาของหลี่เย่ดับแสงลง ริมฝีปากเม้มแน่นเข้าหากัน คนในตระกูลหลิวเสพสุขมานานขนาดนั้น ดูท่าทางว่าจะถึงคราวรับผลกรรมสิ่งที่เคยทำมาแล้ว อีกอย่างดูท่าทางพวกเขานั้นสั่งสอนลูกสาวได้ไม่ดี
“โจวอี้” หลี่เย่เอ่ยเสียงเรียก
โจวอี้บังคับรถอยู่ด้านนอก เมื่อได้ยินก็รีบส่งเสียงรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ”
“พรุ่งนี้เจ้าไปที่บ้านตระกูลหลิวสักครั้ง” หลี่เย่สั่งอีกว่า “ไปบอกอาการของหลิวซื่อให้คนตระกูลหลิวฟัง ถามพวกเขาว่าหลังจากหลิวซื่อตายแล้ว พวกเขาคิดจะทำเช่นไร”
“ความหมายของท่านอ๋องคือ” อย่างไรโจวอี้ก็ปรนนิบัติหลี่เย่มานาน พอรู้นิสัยของหลี่เย่อยู่บ้าง รู้ว่านี่ไม่ใช่จุดประสงค์หลักเป็นแน่
“ข้าไม่อยากเห็นคนตระกูลหลิวอยู่ในเมืองหลวงอีกต่อไป” หลี่เย่หรี่ตาลง “ถ้าหากพวกเขารู้ตัว ข้าก็ยังให้เงินติดตัวไปไว้ได้ ถ้าไม่รู้…ก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่ไว้หน้าเลย”
แม้จะบอกว่าตระกูลหลิวไม่ค่อยมีประโยชน์อะไร แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังเป็นบ้านพ่อตาในนามอยู่ดี คงไม่ดีหากละเลยไป อีกทั้งหากคนในตระกูลหลิวถูกคนหาเรื่องว่าทำเรื่องไม่ควร เขาเองก็เบื่อจะไปจัดการเรื่องเหล่านั้น ไม่ว่าอย่างไรจากไปก็ดีกว่า เมื่อตาไม่เห็นใจก็ไม่วุ่นวาย
โจวอี้พยักหน้า “บ่าวเข้าใจแล้ว”
พอกลับไปถึงบ้านตระกูลถาวแล้ว หลี่เย่กลับบังเอิญพบถาวจิ้งผิง มองดูท่าทางเหมือนว่ารออยู่นานแล้ว
“จิ้งผิง” หลี่เย่พยักหน้า “ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่นอนอีกหรือ?”
ถาวจิ้งผิงมองหลี่เย่นิ่ง “ท่านอ๋องไปที่จวนตวนชินอ๋องมาใช่หรือไม่? ข้าเองก็อยากพบท่านพี่บ้าง” หลายวันมานี้ถาวจิ้งผิงก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ ใจแขวนอยู่บนเส้นด้าย อีกทั้งเขาเองก็ร้อนใจอยากพบถาวจวินหลันสักครั้ง
สถานการณ์ของถาวจวินหลันในตอนนี้ ถาวจิ้งผิงก็หวั่นใจมาโดยตลอด เขากลัวว่าจะไม่ได้พบถาวจวินหลันอีก แต่เพราะว่าคนอื่นยังอยู่ เขาเองก็ไม่กล้าแสดงออกมานัก และยิ่งไม่กล้าที่จะแสดงความคิดที่แรงกล้านี้ออกไป