ตอนที่ 1498 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (10)
ซูจวิ้นเผยรอยยิ้มดีใจ แต่เพราะกลัวว่าเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์จะเห็นความดีใจในตาเขา เขาจึงรีบระงับความตื่นเต้นแล้วพูดอย่างกังวล “เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่าออกมาไม่ได้ ข้ารู้ว่าเจ้าต้องทำอะไรบางอย่างที่เลวร้ายกับเสี่ยวไป๋!”
อวิ๋นลั่วเฟิงส่งสายตาเย็นเยียบให้ซูจวิ้นจนทำให้เขาตัวสั่นเพราะรู้สึกความเย็นภายในร่าง
ฉินเย่ว์ขมวดคิ้วแล้วมองอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างเย็นชา “ข้าหวังว่าเจ้าจะพาผู้สืบทอดของเผ่าข้าออกมา ไม่อย่างนั้นข้าจะเชื่อคำพูดของซูจวิ้นแล้วคิดว่าเจ้าทำร้ายผู้สืบทอดของเผ่าข้าจริงๆ”
ที่จริงการพาเสี่ยวไป๋ออกมาก็เป็นเรื่องง่าย แต่ตอนนี้เสี่ยวไป๋ไม่ได้สติอยู่ แล้วการพานางออกมาทั้งแบบนั้นก็สู้ปล่อยให้นางไม่ออกมาจะดีกว่า
“ข้าบอกว่านางไม่สามารถออกมาได้สักพัก ถ้าเจ้ามีความอดทน เจ้าก็รออีกสักหน่อย ไม่แย่งนั้นแล้วข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้”
ถึงแม้ว่าจะกำลังเผชิญหน้ากับเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ สายตาของอวิ๋นลั่วเฟิงก็ยังคงความยโสเอาไว้ ทำให้สีหน้าของอีกฝ่ายมืดครึ้ม
หลายปีมานี้ฉินเย่ว์ไม่เคยเห็นใครกล้าทำตัวหยิ่งยโสต่อหน้านางมาก่อน แต่สตรีผู้นี้กลับไม่สนใจเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่ในสายตา
“ถ้าเจ้าไม่ปล่อยผู้สืบทอดของเผ่าข้าก็อย่าโทษว่าข้าเสียมารยาท!” ดวงตาของหญิงสาวชุดขาวเป็นประกายเย็นเยียบ นางออกคำสั่งอย่างเย็นชา “จับตัวนาง!”
“ขอรับ!”
เมื่อได้ยินคำสั่งของนาง ผู้คุ้มกันชุดขาวทั้งหมดก็เข้ามาล้อมอวิ๋นลั่วเฟิง
อวิ๋นลั่วเฟิงที่อยู่กลางวงล้อมก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางจับมือน้อยๆ ของเสี่ยวซู่โดยไม่มีแม้แต่ความกลัว
“นายหญิง อย่าสู้กับเผ่าสตรีศักดิ์ตรงๆ ท่านจะแพ้นะ!”
ปี้เซียวส่งเสียงกังวลผ่านจิต “ถึงแม้ว่าเสี่ยวซู่จะแข็งแกร่งแต่พวกเขามีสมบัติที่ยับยั้งพืชอสูรได้ ไม่อย่างนั้นเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์คงไม่มีชื่อเสียงเพราะมีวิธีจัดการกับพืชอสูร!”
อวิ๋นลั่วเฟิงใจเสีย
“นายหญิง…” เมื่อเห็นอวิ๋นลั่วเฟิงไม่สนใจคำแนะนำของนาง ปี้เซียวก็กระทืบเท้าด้วยความโกรธ “ไปจากที่นี่ก่อนแล้วอดทนอีกสักหน่อย หลังจากที่ท่านเสี่ยวไป๋ตื่นขึ้นมาแล้ว พวกเราค่อยมาอธิบายให้เผ่าฟัง”
ปี้เซียวไม่ได้พูดเรื่องนี้ตั้งแต่แรกเพราะกำลังตกใจคำพูดของซูจวิ้นจนพูดไม่ออก นางไม่เคยเห็นนุษย์คนไหนชั่วร้ายและหลอกลวงขนาดนี้มาก่อน นี่ถึงขนาดบอกว่าพวกเขาตกหลุมรักกันและอาจารย์ของนางตั้งใจจะสังหารเสี่ยวไป๋
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าหลินรั่วไป๋กินผลไม้วิญญาณจนหมดสติไป แต่ถึงแม้เสี่ยวไป๋จะออกมา พวกเขาก็คงไม่เชื่อว่านางหมดสติไปเพราะผลไม้วิญญาณและคงคิดว่าอวิ๋นลั่วเฟิงทำอะไรบางอย่างที่ทำร้ายนาง หลังจากที่กินผลไม้วิญญาณก็ไม่มีอาการปกติอื่นนอกจากนอนหลับลึก แล้วเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีเซียนแพทย์สักคนดังนั้นพวกเขายิ่งบอกไม่ได้ว่าอาการของเสี่ยวไป๋คืออะไร
หั่วหั่วเองก็กังวลแล้วรีบถาม “ปี้เซียว เจ้าช่วยนายหญิงได้หรือไม่”
ปี้เซียวส่ายหน้าอย่างขมขื่น “ข้าไม่สามารถออกจากที่นี่ได้ ไม่อย่างนั้นข้าก็คงออกไปอธิบายเรื่องนี้ให้เผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ฟังแล้ว”
ถ้านางทำได้ นางจะมากังวลอยู่ทำไม
ได้ยินคำพูดของปี้เซียว อวิ๋นลั่วเฟิงก็หันไปมองเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ทำสีหน้าเคร่งเครียดอย่างมาก เมื่อหมดเวลา เกราะเกล็ดมังกรก็หายไปแล้ว ถ้านางต้องการเรียกเกราะออกมาอีก นางก็ต้องรอจนกว่าพลังฌานในมิติคัมภีร์เซียนจะฟื้นฟู แต่ว่า..
เมื่อเห็นผู้คุ้มกันชุดขาวจำนวนมากบนท้องฟ้า อวิ๋นลั่วเฟิงก็เข้าใจว่าแม้แต่ว่าการหนีก็เป็นเรื่องยาก
ตอนที่ 1499 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (11)
รอยยิ้มสดใสแผ่ไปทั่วใบหน้าน่าเอ็นดูของเสี่ยวซู่ “ท่านแม่ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
หวืด!
ทันใดนั้นเถาวัลย์จำนวนมากก็ออกมาจากร่างกายของเสี่ยวซู่แล้วมัดผู้คุ้มกันชุดขาวพวกนั้นไว้แน่นจนหายใจไม่ออก
ซูจวิ้นตะลึงเขาไม่เคยคิดว่าเด็กชายตัวน้อยที่อยู่ข้างอว๋นลั่วเฟิงจะแข็งแกร่งขนาดนี้…
“พืชอสูร?” ฉินเย่ว์รู้สึกแปลกใจ “เจ้ามีพืชอสูรด้วยหรือนี่”
พืชอสูรต่างจากสัตว์อสูรวิญญาณ พืชอสูรต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อสร้างสติปัญญาให้ตัวเอง แล้วพืชอสูรที่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ก็มีโอกาสแค่หนึ่งในหมื่นเท่านั้น
ต้นไม้แห่งชีวิตของเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ทรงพลังมาก แต่หลังจากนางเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ นางก็ถูกจำกัดให้อยู่แค่ภายในต้นไม้เท่านั้น ไม่เหมือนกับเสี่ยวซู่ที่สามารถเดินในโลกข้างนอกได้อย่างสบายใจดังนั้นทันทีที่นางเห็นเสี่ยวซู่ ดวงตานางก็เต็มไปด้วยความโลภ
“หยุด!” ฉินเย่ว์โบกมือเพื่อหยุดผู้คุ้มกันที่พุ่งเข้าไปหาอวิ๋นลั่วเฟิงและพูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้าไม่ใช่มนุษย์และสัตว์อสูร แต่เป็นต้นไม้ที่เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ ข้าพูดถูกหรือไม่”
เสี่ยวซู่ส่งเสียงเหอะแล้วแสดงออกชัดเจนว่าเขาไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ ในตัวสตรีผู้นี้เลย
“ทำไมเจ้าไม่มาติดตามข้าล่ะ” ฉินเย่ว์พยายามยิ้มแบบที่นางคิดว่าดูดีที่สุด ทว่าน้ำเสียงของนางกลับแสดงถึงความเจ้าบงการและหัวแข็ง “ความสามารถที่แท้จริงของเจ้าจะแสดงออกมาได้ก็ต่อเมื่อมาติดตามเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น”
คำพูดของนางสื่อว่าเสี่ยวซู่เป็นแค่สมบัติล้ำค่าที่ถูกอวิ๋นลั่วเฟิงเอามาใช้แบบผิดๆ
“ท่านป้า ท่านน่าเกลียดมาก ทำไมข้าต้องติดตามท่านด้วย” เสี่ยวซู่เผยรอยยิ้มใสซื่อไร้เดียงสาขณะที่ใช้เสียงเด็กๆ ของเขาพูด
สีหน้าของฉินเย่ว์เปลี่ยนไปทันที แล้วประกายเย็นเยียบก็พาดผ่านดวงตานาง “ฮึ่ม! แล้วถ้าวันนี้ข้าได้ตัวเจ้าเล่า”
นางเป็นคนที่งดงามที่สุดในเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่เด็กนี่กลับกล้าบอกว่านางน่าเกลียดงั้นหรือ นางจะกลืนความโกรธนี่กลับไปได้อย่างไร
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถหรือไม่!” รอยยิ้มของเสี่ยวซู่ยังคงสดใสเหมือนเขากำลังพูดเรื่องไม่สลักสำคัญอะไร
“ถ้าเจ้าเป็นสัตว์อสูรวิญญาณหรือมนุษย์ ข้าก็คงไม่มีเหตุผลที่ต้องปราบเจ้า แต่ว่า…” ฉินเย่ว์ยิ้ม รอยยิ้มของนางไม่ได้หยิ่งยโสเหมือนเมื่อครู่แต่เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและมุ่งมั่นที่จะชนะ “เจ้าก็เป็นแค่พืชอสูร”
นอกจากต้นไม้แห่งชีวิตแล้วก็ยังมีต้นไม้อีกมากมายอยู่ในเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ และพืชอสูรทั้งหมดก็เป็นพวกหยิ่งยโสและหัวสูงจึงไม่ยอมรับใช้พวกเขา แต่ถึงอย่างนั้นเผ่าก็สามารถปราบพืชอสูรได้ แล้วพวกเขาจะไม่มีไพ่ที่เหนือกว่าในมือได้อย่างไร
หลังจากพูดจบ ฉินเย่ว์ก็หยิบแส้สีเขียวออกมา แส้ยาวนี้ถูกถักขึ้นมาจากเถาวัลย์ของพืช มันปล่อยกลิ่นอายทรงพลังออกมาบางๆ
สีหน้าไร้เดียงสาของเสี่ยวซู่ซีดเผือดทันทีที่เขาเห็นแส้ยาวของฉินเย่ว์ เสียงเล็กๆ ของเขาก็เต็มไปด้วยความเดือดดาลและเจตนาสังหาร
“เจ้าได้แส้นั่นมาจากที่ไหน!”
นี่เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นลั่วเห็นเสี่ยวซู่เป็นแบบนี้ นางรู้สึกตะลึงก่อนหันกลับไปมองใบหน้าโกรธแค้นของเด็กชายน้อย
เสี่ยวซู่กำหมัดแน่นจนตัวสั่น เมื่อเห็นฉินเย่ว์ไม่ตอบ เขาก็ขึ้นเสียงแล้วถามอย่างเคร่งเครียด “บอกข้ามาว่าเจ้าได้แส้นี้มาจากที่ไหน!”