ตอนที่ 1490 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (2)
เหตุผลที่เผ่ามังกรมีชื่อเสียงในแผ่นดินนี้ นอกจากเรื่องความกล้าหาญและทรงพลังแล้ว ผิวหนังที่แข็งแกร่งของพวกเขาก็โดดเด่นเหมือนกัน
ระหว่างการต่อสู้ของผู้ฝึกฌานระดับต่ำ อวิ๋นลั่วเฟิงสามารถสู้ข้ามระดับได้ แต่ว่ายิ่งความแข็งแกร่งของนางเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่งกว่านาง ดังนั้นนางจึงไม่เคยคิดจะทิ้งโอกาสที่ยื่นมาให้!
“แต่…” ดวงตาของปี้เซียวฉายแววงุนงง “ยอดฝีมือของเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นก็คิดที่จะอดทนกับกระบวนการเปลี่ยนร่างกายเหมือนกัน แต่ไม่มีสักคนที่ทำสำเร็จ พวกเขาอดทนได้แค่ครึ่งทาง แล้วนางจะทำสำเร็จหรือ”
“ข้าไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างไร แต่นางต้องทำสำเร็จแน่นอน!” เสี่ยวโม่ติดตามอวิ๋นลั่วเฟิงมานานที่สุดแล้วก็เห็นการเติบโตของนางมาตลอด
ในปีนั้นที่มหาวิทยาลัยหวาเซี่ย อวิ๋นลั่วเฟิงถูกเรียกว่าเป็นผู้หญิงเสียสติ! ไม่มีอะไรที่นางไม่กล้าทำ เมื่อมาถึงแผ่นดินที่แตกต่างอย่างที่นี่ นางก็ยังเป็นเหมือนเดิม การที่นางทำงานหนักไม่ใช่เพราะนางไม่กลัวตาย กลับกันแล้ว เป็นเพราะนางกลัวความตายต่างหาก แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือนางกลัวว่าตัวเองจะปกป้องคนที่ตัวเองรักไม่ได้
ในโลกที่แล้ว อวิ๋นลั่วเฟิงเป็นเด็กกำพร้า หลังจากมาที่นี่ นางก็ได้รู้จักความอบอุ่นของครอบครัว ดังนั้นนางจะยอมเสียมันไปได้อย่างไร เพื่อที่จะได้ปกป้องความอบอุ่นนี้ นางยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น!
ดูเหมือนปี้เซียวจะแปลกใจ นางมองอวิ๋นลั่วเฟิงโดยไม่ละสายตาอย่างสับสนขณะที่พูดพึมพำอย่างลังเล “เทียบกับมนุษย์พวกนั้นที่ข้าเคยเจอ นางแตกต่าง…”
ตอนแรกปี้เซียวยอมจงรักภักดีต่ออวิ๋นลั่วเฟิงก็เพราะเสี่ยวซู่ ที่สำคัญในฐานะจิตวิญญาณพฤกษาที่เชื่อมั่นในตัวเองและหยิ่งยโสอย่างนางจะยอมมอบความภักดีให้มนุษย์อย่างเต็มใจได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้นางมาเห็นความมุ่งมั่นของอวิ๋นลั่วเฟิง นางก็คงไม่รู้สึกนับถืออวิ๋นลั่วเฟิงมากขึ้น ภายในใจนางค่อยๆ ยอมรับอวิ๋นลั่วเฟิง ถึงแม้ว่าตอนนี้ตัวนางจะยังไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงก็ตาม…
“ปี้เซียว การปรับเปลี่ยนร่างกายต้องใช้เวลานานแค่ไหน” เสี่ยวโม่เงียบไปสักพักก่อนถาม
“ข้าก็ไม่แน่ใจ ข้ารู้แค่ว่าผู้อาวุโสของเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์อดทนอยู่ได้สามถึงห้าวันแล้วก็ทนต่อไปไม่ไหว ข้าไม่เคยเห็นใครทำสำเร็จ ดังนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่วัน…”
ปี้เซียวส่ายหน้าขณะที่ดวงตาสีมรกตของนางจ้องอวิ๋นลั่วเฟิงอยู่ตลอดเวลา หลังจากได้ยินคำพูดนาง เสี่ยวโม่ก็ไม่พูดอะไรอีก เขาแค่หาที่นั่งแล้วก็รออวิ๋นลั่วเฟิงอยู่เงียบๆ
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบวัน สิบวันที่ผ่านสีหน้าของอวิ๋นลั่วเฟิงก็ซีดลงเรื่อยๆ รวมถึงลมหายใจของนางก็แผ่วเบาลงเรื่อยๆ ถึงอย่างนั้นนางก็ยังอาศัยลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้วอดทนต่อไป…
ปี้เซียวกำหมัดแน่นแล้วมองอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างกังวล นางต้องการรู้ว่าสตรีผู้นี้จะทำเรื่องที่ยอดฝีมือหลายคนในเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ทำไม่ได้ได้สำเร็จหรือไม่
ปัง!
ทันใดนั้นร่างของอวิ๋นลั่วเฟิงก็ร่วงลงมากระแทกกับตอไม้ที่อยู่ข้างๆ นางอย่างแรง
เสี่ยวโม่หน้าซีดเผือดด้วยความตกใจแล้วรีบลุกขึ้นไปหาอวิ๋นลั่วเฟิง เขาถามอย่างวิตกกังวลว่า “นายหญิง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
อวิ๋นลั่วเฟิงยิ้ม ใบหน้าของนางซีดไร้สีเลือดแต่ก็ไม่อาจปิดบังรอยยิ้มงดงามของนางได้
ปี้เซียวใช้ชีวิตมานาน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นรอยยิ้มที่ทำให้สิ่งมีชีวิตรอบข้างดูจืดจางลง เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่ามนุษย์จะงดงามได้ขนาดนี้ ถ้านางเป็นปีศาจก็คงสามารถทำลายเมืองมากมายและทำให้ผู้คนทรมานก็คงไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย
“เสี่ยวโม่ ดูนี่”
หญิงสาวแบมือออกให้เห็นฝ่ามือที่ถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดแข็งของมังกร เกล็ดค่อยๆ ลามออกไปจากมือจนกระทั่งทั่วทั้งร่างถูกหุ้มด้วยเกราะที่สร้างจากเกล็ดมังกร
ตอนที่ 1491 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (3)
“ข้าทำสำเร็จแล้ว” ใช่แล้ว นางทำสำเร็จ ไม่ใช่แค่ร่างกายมีความทนทานมากขึ้นจนถึงจุดสูงสุดเท่านั้น แต่…ยังมีเกราะเกล็ดมังกรด้วย! เกราะนี้ทำให้นางสามารถรับการโจมตีของผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์ได้โดยไม่บาดเจ็บเลย
เสี่ยวโม่เหมือนถูกสายฟ้าฟาดจนพูดไม่ออก เขาไม่เคยคิดเลยว่าโลหิตมังกรฌานจะมีผลแบบนี้ด้วย ดูเหมือนว่าครั้งนี้อวิ๋นลั่วเฟิงจะได้สมบัติล้ำค่ามาแล้ว
“นายหญิง ยินดีด้วย” สีหน้าของเสี่ยวโม่แสดงความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิดแล้วพูดอย่างกระตือรือร้น
อวิ๋นลั่วเฟิงยิ้ม “น่าเสียดายที่เกราะเกล็ดมังกรใช้ได้เพียงแค่ชั่วประเดี๋ยว อย่างมากที่สุดก็แค่สามนาที ทั้งยังใช้พลังฌานในมิติคัมภีร์เซียนไปจำนวนมากด้วย”
อย่างที่คิด เมื่อเสี่ยวโม่ได้ยินคำพูดของอวิ๋นลั่วเฟิง เขาสัมผัสได้ว่าพลังฌานในมิติคัมภีร์เซียนลดลงจนเกือบหมด โชคดีที่ต้นเบญจมาศที่เสี่ยวซู่ปลูกไว้เติมพลังฌานในมิติให้กลับมาอย่างรวดเร็ว แต่ว่าต่อให้ต้นเบญจมาศของเสี่ยวซู่ทรงพลังแค่ไหนก็ไม่สามารถฟื้นพลังฌานกลับมาได้ทันที
“เสี่ยวโม่ ข้าอยู่ในนี้มานานแค่ไหนแล้ว” อวิ๋นลั่วเฟิงเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างนาง
“ท่านใช้เวลาเลื่อนระดับหนึ่งเดือนและใช้เวลาปรับเปลี่ยนร่างกายอีกสิบวัน ดังนั้นตอนนี้ก็ผ่านไปหนึ่งเดือนกับอีกสิบวันแล้ว”
“หนึ่งเดือนกับอีกสิบวันงั้นหรือ” อวิ๋นลั่วเฟิงเลิกคิ้วแล้วยืนขึ้น “พวกเราไปกันเถอะ ถึงเวลาที่พวกเราต้องออกจากที่นี่แล้วตามหาคนมาใช้หนี้พวกเรา”
ถ้าไม่ใช่เพราะปี้เซียว ซูจวิ้นและคนอื่นอาจจะถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว
ส่วนอวิ๋นอี้ ถึงแม้ว่าเขาจะทรงพลังแต่เขาก็ไม่มีสติปัญญา ถ้านางไม่อยู่ก็ไม่มีทางที่เขาจะกำจัดศัตรูทุกคนได้
…
บนยอดเขา อวิ๋นอี้ยืนนิ่งๆ อย่างไร้ชีวิตด้วยสายตาว่างเปล่า เขาปล่อยแรงกดดันที่มองไม่เห็นออกมาเขาเหมือนภูเขามหึมาลูกหนึ่ง
เหยียนเข่อและคนอื่นๆ ไม่ได้จากไปไหนแล้วตั้งค่ายที่พักอยู่บนยอดเขาเพื่อรออวิ๋นลั่วเฟิงกลับมา
วาบ!
ทันใดนั้นก็มีแสงเจิดจ้าเกิดขึ้น จากนั้นเหยียนเข่อและคนอื่นก็กลับมามีสติเมื่อเห็นหญิงสาวชุดขาวกำลังจับมือเด็กคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าพวกเขา
อวิ๋นลั่วเฟิงสะดุ้งแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเอ่ยถาม “ทำไมพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่”
เหยียนเข่อมีสีหน้าอับอาย “ตอนนั้นพวกเราทำให้เจ้ามีปัญหากับสำนักเสวียนชิง ดังนั้นพวกเราก็เลยรอเจ้าที่นี่”
“รอข้า?” อวิ๋นลั่วเฟิงคลายคิ้วที่ขมวดออก “ตอนนี้ข้ามีบางอย่างต้องไปทำดังนั้นพวกเจ้าไปได้”
เหยียนเข่อและฟู่จิ่นกับคนอื่นๆ มองหน้ากัน แล้วเมื่อเห็นอวิ๋นลั่วเฟิงกำลังออกไปพวกเขาก็รีบตาม
“ทำไม” อวิ๋นลั่วเฟิงหยุดโดยไม่หันกลับมามอง “เจ้าไม่อยากออกไปหรือ”
“ข้า…” เหยียนเข่อหน้าแดงด้วยความอายแล้วเอ่ยปากขอ “พวกเราอยากติดตามเจ้า”
อวิ๋นลั่วเฟิงเงียบไปพักหนึ่ง “เจ้าสามารถใช้ทางเชื่อมมิติได้หรือเปล่า”
ทางเชื่อมมิติเป็นสะพานเชื่อมระหว่างแคว้นเจ็ดเมืองและแดนลับแล มีแค่ทางนี้ทางเดียวที่เชื่อมต่อระหว่างแคว้นทั้งสอง
“ได้”
เหยียนเข่อยังไม่เข้าใจความหมายของอวิ๋นลั่วเฟิงแต่ก็รีบพยักหน้า “ข้ารู้ที่ตั้งของทางเชื่อมมิติ แล้วข้าก็มีเส้นสายกับตระกูลที่ปกป้องมัน แม่นางอวิ๋น ท่านถามทำไมหรือ”
“แดนลับแลมีพรรคที่ชื่อหอแพทย์ที่ข้าเป็นคนก่อตั้งขึ้น ถ้าเจ้าอยากติดตามข้าก็ไปร่วมกับหอแพทย์ซะ”
พูดจบร่างของอวิ๋นลั่วเฟิงก็หายไปทันที อวิ๋นอี้ก็รีบตามนางไปแล้วหายไปจากยอดเขาอย่างรวดเร็ว