“จงยอมแพ้ซะ!” ถังเฟิงกล่าวอย่างไม่แยแส
หลิงฮันยิ้ม “ข้าไม่ได้มีนิสัยชอบทำเรื่องแบบนั้นเสียด้วยสิ”
“ต่อต้านข้าไป ก็มีแต่จะทำให้เจ้าอับอายเสียเปล่า” ถังเฟิงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม ตัวเขานั้นเป็นถึงผู้สืบทอดของขุมอำนาจสามดาว การที่ต้องมาประลองคัดเลือกในอาณาเขตที่หนึ่งนั้น ทำให้เขารู้สึกอัปยศเป็นอย่างมาก
ในความคิดของเขา คู่ต่อสู้ทุกคนในการประลองคัดเลือกนี้ สมควรจะต้องคุกเข่ายอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดีเสียด้วยซ้ำ
หลิงฮันส่ายหัว “รีบลงมือกันดีกว่า”
ถังเฟิงขมวดคิ้ว “หากข้าลงมือ ก็อย่าหวังว่าเจ้าจะรอดไปด้วยสภาพครบสามสิบสอง”
เขาผลักมือขวาใส่หลิงฮันโดยไม่ใช้ทักษะนิรันดร์ใดๆ เพียงแต่ด้วยศักยภาพระดับราชาของเขา แค่การโจมตีธรรมดาก็สามารถปลดปล่อยแรงกดดันอันน่าสะพรึงออกมาได้ ดวงดารานับไม่ถ้วนถูกควบแน่นออกมาจากฝ่ามือของเขา
แม้แต่ผู้ชมมากมายที่นั่งอยู่นอกลานประลอง ก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจนหัวใจบีบรัด
การโจมตีนี้… น่าสะพรึงกลัวนัก!
สมกับเป็นราชา ความแข็งแกร่งมีมากขนาดไหนนั้น ไม่จำเป็นต้องพูดถึง
เมื่อถูกหนึ่งฝ่ามือที่รุนแรงราวกับดวงดาวมหึมากำลังร่วงหล่นโจมตีเข้าใส่ หลิงฮันก็ยิ้มและกล่าว “ระวังเท้าด้วย!”
พรวด ผู้ชมหลายคนสำลักออกมา
แน่นอนว่าผู้ชมที่ว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพวกเฉิงเฟิงหยุน พวกเขาคุ้นเคยกับประโยคนี้ดี เพียงแต่ในการประลองเมื่อวาน คู่ต่อสู้ของหลิงฮันเป็นเพียงจอมยุทธทั่วไป ซึ่งต่างกับถังเฟิงที่เป็นราชาแห่งยุค
หรือว่าหลิงฮันจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้อีกครั้ง?
“อ้ากกก!” ถังเฟิงก็ส่งเสียงร้องโอดครวญ เนื่องจากเมื่อครู่นี้ที่เขากำลังผลักฝ่ามือออกไป หลิงฮันได้สะบัดนิ้วเบี่ยงทิศทางฝ่ามือของเขาลงมายังฝ่าเท้า
แล้วคิดว่าฝ่ามือของเขามีพลังทำลายขนาดำไหนอัดแน่นอยู่? ‘ตูม’ ถึงแม้ลานประลองจะมีค่ายกลอาคมป้องกันติดตั้งเอาไว้ มันก็ยังสั่นสะเทือนเล็กน้อย หลังจากคลื่นพลังสลายไป เท้าซ้ายของถังเฟิงก็ถูกบดขยี้กลายเป็นเศษเนื้อ
ถังเฟิงจ้องมองหลิงฮันด้วยสีหน้าหวาดผวา และลืมความเจ็บปวดไปอย่างสิ้นเชิง
“ข้าบอกแล้วว่าให้ระวัง” หลิงฮันส่ายหัว
ถังเฟิงกัดฟันอย่างขมขื่น เพียงแค่กระบวนท่าเดียวเขาก็รับรู้ได้แล้วว่า ตัวเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงฮัน จริงอยู่ที่เขาเป็นราชาแห่งยุค แต่หลิงฮันนั้นเป็นราชาในหมู่ราชา ซึ่งความต่างของพลังนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ข้าขอยอมแพ้” เขากล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่ได้สลดอะไรมากนัก เพราะอีกฝ่ายจะต้องเป็นผู้สืบทอดราชานิรันดร์ที่จงใจซ่อนสถานะของตนเองเอาไว้แน่ การที่จะพ่ายแพ้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
บนแท่นผู้ชม ทุกคนที่มองดูการประลองอยู่ต่างรู้สึกผิดหวัง
“นี่เจ้าจำคนผิดรึเปล่า คนแบบนั้นจะเป็นราชาได้อย่างไร?”
“นั่นสิ ไม่ใช่ว่าราชาคืออัจฉริยะที่ไร้เทียมทานในระดับเดียวกันรึไง? ผู้เข้าประลองที่ชื่อหลิงฮันคือนิรันดร์ระดับสามนิพพานสูงสุดเท่านั้น พลังบ่มเพาะของเขาต่ำกว่าถังเฟิงถึงหนึ่งขั้นย่อย ถ้าหากถังเฟิงเป็นราชาแห่งยุคจริง การที่พ่ายแพ้แค่ในหนึ่งกระบวนท่า มันจะไม่น่าตลกไปหน่อยรึ?”
“จะต้องเป็นเพียงคนที่ชื่อเหมือนกันไม่ผิดแน่!”
ผู้ชมหลายคนยืนกรานหัวชนฝาว่าถังเฟิงผู้นี้ต้องไม่ใช้ถังเฟิง ที่พวกเขาเคยได้ยินชื่อเสียงมาอย่างแน่นอน แต่ก็มีผู้ชมบางคนที่ใบหน้าแสดงออกถึงความตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด เนื่องจากพวกเขามั่นใจว่าถังเฟิงผู้นี้ คือผู้สืบทอดของสำนักเตาหลอมสีครามจริงๆ
“ท่านพี่!” ซานเถี้ยนอู๋กล่าวเสียงดังด้วยใบหน้าเคลือบแคลงใจ เขาคือคนที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ไม่รู้จักถังเฟิง เพราะงั้นเมื่อเห็นถังเฟิงถูกกำราบในหนึ่งกระบวนท่า เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าเหยียดหยามออกมา “ราชาแห่งยุคบ้าบออะไร ข้ายังแข็งแกร่งกว่าอีก!”
น่าผิดหวังนัก ข้าอุตส่ารอดูหลิงฮันถูกทุบตีอยู่ตั้งนาน แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นตรงกันข้ามเสียได้
เพี๊ยะ!
ซานเถี้ยนจิ่วยกฝ่ามือตบเข้าที่ใบหน้าของน้องชาย และเนื่องจากเข้าใส่แรงเข้าไปมากพอสมควร ฟันของซานเถี้ยนอู๋จึงหลุดกระเด็นออกมา
“ทะ ท่านตบข้าทำไม?” เนื่องจากคุ้นเคยกับความโหดเหี้ยมของซานเถี้ยนจิ่วมาตั้งแต่เด็ก ซานเถี้ยนอู๋จึงไม่ได้เผยท่าทีเกรี้ยวกราด แต่มีสีหน้าเศร้าโศกแทน
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆ
“อย่าไปยั่วยุรุ่นเยาว์ผู้นั้นอีกเป็นอันขาด” ถึงแม้ซานเถี้ยนจิ่วจะไม่สบอารมณ์แค่ไหน แต่ซานเถี้ยนอู๋ก็ยังเป็นน้องชายของเขา
“ทำไมกัน?” ซานเถี้ยนอู๋ดวงตาเบิกกว้าง
“รุ่นเยาว์ผู้นั้น… เป็นไปได้สูงว่าเขาจะเป็นผู้สืบทอดราชานิรันดร์!” ซานเถี้ยนจิ่วกล่าวอธิบาย เพื่อที่น้องชายงี่เง่าของเขาผู้นี้จะไม่ได้สร้างปัญหาเพิ่ม
“ท่านพี่แน่ใจรึ?” ซานเถี้ยนอู๋ยังคงรู้สึกไม่ยินยอม
“คิดว่าสายตาของข้าจะแย่เหมือนเจ้ารึไว?” ซานเถี้ยนจิ่วสบถอย่างไม่พอใจ เมื่อใดกันที่น้องชายไร้ค่าของเขาผู้นี้กล้าตั้งคำถามกับเขา?
“หลังจากนี้อย่าได้ไปยุ่งเกี่ยวกับหมอนั่นอีกเด็ดขาด!” ซานเถี้ยนจิ่วจ้องมองหลิงฮันต่ออีกครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาครุ่นคิด และตัดสินใจพาน้องชายของตนกลับไปยังอาณาเขตที่สาม
ณ บริเวณที่นั่งของเฉิงเฟิงหยุน บรรยากาศได้เปลี่ยนไปจากเดิมทันที
“อะแฮ่ม!” ใครบางคนจงใจกระแอมและมองไปยังก้นของเฉิงเฟิงหยุน
แน่นอนว่าเขาไม่ได้มีความสนใจในก้นของเฉิงเฟิงหยุน แต่กำลังเตือนไม่ให้อีกฝ่ายลืมการเดิมพัน
ใบหน้าของเฉิงเฟิงหยุนกลายเป็นมืดมน และใช้มือทั้งสองข้างคว้าจับที่พิงแขนของเก้าอี้เอาไว้แน่น
“ข้ากินอยู่แล้ว!” เฉิงเฟิงหยุนกัดฟันแค้น โดยที่เพิ่งนึกออกว่าการเดิมพันนี้ไม่ได้มีผลดีต่อเขาเลย ต่อให้เขาชนะเดิมพันเขาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรแม้แต่น้อย
……
การขอยอมแพ้กระทันของถังเฟิง ทำให้หลิงฮันได้เข้าสู่การประลองรอบต่อไป และกลายเป็นที่จับตามองของใครหลายคน
เมื่อหลิงฮันกับสตรีนกอมตะออกจากสถานที่จัดงานประลอง พวกเขาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะไม่เห็นสองพี่น้องซานเถี้ยน
น่าแปลก สองคนนั่นไปอยู่ไหนกัน? ไม่ใช่ว่าทั้งสองคนต้องมารอจัดการพวกเขาหรอกรึ?
แน่นอนว่าหลิงฮันย่อมไม่รอให้ทั้งสองคนปรากฏตัว เขากับสตรีนกอมตะมุ่งหน้ากลับไปยังที่พัก เพื่อรอประลองอีกครั้งในวันพรุ่งนี้
เมื่อทั้งสองคนกลับมาถึงที่พัก ก็พบว่ามีผู้คนมามากมายเรียงรายกันมาขอพบ คนเหล่านี้คือตัวแทนจากขุมอำนาจต่างๆ ที่ต้องการให้หลิงฮันเข้าร่วมกับพวกเขา ซึ่งขุมอำนาจที่ต้องการตัวเขา ไม่ได้มีแค่ขุมอำนาจของเมืองวิถีโอสถเท่านั้น แต่ยังมีขุมอำนาจจากเมืองอื่นๆด้วย