หลิงฮันชะงักอยู่นานสองนาน ก่อนจะกล่าว “สละร่างกายนับพัน เพื่อขัดเกลาพลังบ่มเพาะให้บรรลุระดับโลกียนิพพานขั้นสมบูรณ์งั้นรึ?”
สุนัขตัวดำพยักหน้าและกล่าว “ถึงแม้เป้าหมายของการบ่มเพาะพลัง คือเพื่อบรรลุจุดสูงสุดแห่งเต๋าเหมือนกัน แต่เส้นทางที่สามารถเลือกเดินได้นั้นอาจจะมีนับหมื่น”
“อัจฉริยะแปลกประหลาดผู้นี้ที่ข้ารู้จักนั้น ทุกครั้งที่เขาตัดผ่านนิพพาน เขาจะสละกายหยาบไปมาหลายต่อหลายครั้ง จนเมื่อบรรลุเป็นห้านิพพานและไม่สามารถตัดผ่านนิพพานได้อีกต่อไป เขาถึงตัดสินใจทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณในที่สุด”
หลิงฮันดวงตาแข็งค้าง นั่นมันสัตว์ประหลาดแบบใดกัน?
“ไม่ใช่ว่าร่างกายของตัวเองคือร่างหายที่ดีที่สุดแล้วหรอกรึ? ต่อให้ร่างกายแรกจะไม่ใช่ร่างที่มีแก่นกำเนิดนิรันดร์ก็ตาม” เขาเอ่ยถาม
“ที่เจ้าพูดถูก” สุนัขตัวดำพยักหน้า “เพียงแต่ว่าหลังจากที่บรรลุเป็นราชานิรันดร์แล้ว ต่อให้ร่างกายจะไม่ใช่ของตัวเอง ก็สามารถผสานกับดวงวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์ สำหรับอัจฉริยะที่มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป็นราชานิรันดร์ได้ เรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนั้นไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ!”
หลิงฮันรู้สึกสนใจและกล่าวออกไป “ถ้าเช่นนั้นหลังจากบรรลุเป็นนิรันดร์ห้านิพพานแล้ว ข้าก็จะสละร่างกายนี้และขัดเกลาร่างใหม่”
“เจ้าห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาด!” สุนัขตัวดำรีบคัดค้าน “ประการแรกเลยคือ ร่างกายของเจ้าถูกขัดเกลาด้วยคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะสละกายหยาบนี้ทิ้ง”
“ประการที่สองคือเจ้าไม่มีเวลามากแล้ว เจ้าต้องรีบขัดเกลาพลังบ่มเพาะทุกระดับให้บรรลุขั้นสมบูรณ์ให้เร็วที่สุด”
“ทักษะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์คือทักษะขัดเกลากายหยาบ และดวงวิญญาณที่ทรงพลังที่สุด ใต้สวรรค์นี้กายหยาบของเจ้าจะไร้เทียมทามยิ่งกว่าใคร”
จิตใจของหลิงฮันสั่นสะท้านทันที แม้แต่ทักษะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์สุนัขตัวดำก็รู้จักงั้นรึ? หมอนี่กับผู้สร้างหอคอยสามภพมีความเกี่ยวข้องกันแบบใดกันแน่?
“อัจฉริยะแปลกประหลาดที่เจ้าพูดถึง คือใครกัน?”
สุนัขตัวดำมองไปยังหลิงฮันและกล่าว “ชื่อของคนผู้นั้น เจ้าเคยได้ยินมาก่อนแล้ว”
ข้าเคยได้ยินมาก่อนแล้วงั้นรึ?
“ใครกัน?”
“ราชานิรันดร์อวี้ซวี!” สุนัขตัวดำกล่าวก่อนจะแน่นิ่งไปชั่วครู่และกล่าวต่อ “ในอดีตหมอนั่นมีพลังอยู่ในระดับราชานิรันดร์ระดับแปด ที่ห่างจากนิรันดร์ระดับเก้าอีกแค่เก้าเดียว ป่านนี้น่าจะบรรลุเป็นราชานิรันดร์ระดับเก้าไปแล้วล่ะมั้ง”
ระ… ราชานิรันดร์ระดับเก้า!
หลิงฮันนึกถึงเรื่องที่เฉิงหู่เคยเล่าว่า ราชานิรันดร์ของตระกูลเฉิงนั้นถูกรุกรานโดยราชานิรันดร์จำนวนมากจนต้องหลบหนีไป และราชานิรันดร์อวี้ซวีก็ได้ทำการลบล้างตระกูลเฉิง
ถ้าหากตอนนี้ราชานิรันดร์อวี้ซวีบรรลุเป็นราชานิรันดร์ระดับเก้าแล้วจริงๆ เขาจะแก้แค้นให้เฉิงหู่ตามสัญญาได้อย่างไร?
“ราชานิรันดร์อวี้ซวีที่ว่ากับวิหารประทับภวังคจิต…”
พริบตาหลังจากที่หลิงฮันกล่าวประโยคนี้ออกไป สุนัขตัวดำก็รีบนำอุ้งเท้ามาปิดปากเขาทันที
“เจ้าหนู เจ้าอยากตายรึไง? ชื่อบางชื่อไม่อาจกล่าวออกมาพล่อยๆได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการไปกระตุ้นการรับรู้ของอสูรเฒ่าเหล่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะอยู่หนใดในดินแดนแห่งเซียน สัมผัสสวรรค์ของพวกเขาก็สามารถหาตัวเจ้าเจอ!” สุนัขตัวดำตะโกนจนน้ำลายของมันเปรอะไปทั่วหน้าหลิงฮัน
ไม่ใช่แค่สุนัขตัวดำเท่านั้น แต่หอคอยน้อยก็เคยเตือนเขาว่าชื่อเรียกของตัวตนที่ทรงพลังบางชื่อ คือสิ่งที่ไม่สามารถพูดออกไปได้ตามใจชอบ
แต่เดี๋ยวก่อน ทั้งๆที่ราชานิรันดร์อวี้ซวีน่าจะเป็นราชานิรันดร์ระดับเก้าไปแล้ว แต่ตอนเรียกชื่อของอีกฝ่าย สุนัขตัวดำก็ไม่เห็นจะมีท่าทางอะไรเลยแท้ๆ แต่ทำไมพอพูดถึงวิหารประทับภวังคจิต มันถึงได้มีท่าทีหวาดผวากัน? นั่นต้องเป็นเพราะจะต้องมีตัวตนที่ทรงพลังยิ่งกว่าอยู่ในวิหารประทับภวังคจิตไม่ผิดแน่
หลิงฮันถามต่อ เพราะดูจากท่าทีแล้ว สุนัขตัวดำคงไม่บอกรายละเอียดใดๆกับเขา
หอคอยน้อยก็บอกเช่นกันว่าหากเขาต้องการรู้ทุกอย่าง จะต้องบรรลุระดับราชานิรันดร์ก่อนเป็นอย่างน้อย
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังไต่ภูเขาไฟ สุนัขตัวดำก็เล่าเรื่องบางส่วนของราชานิรันดร์เพลิงสวรรค์ให้ฟัง
ในอดีต เขตแดนลี้ลับแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่จริงๆ แต่น่าเสียดายที่หลังจากราชานิรันดร์เพลิงสวรรค์สูญสิ้นแล้ว ขุมอำนาจแห่งนี่ก็ปิดตัวลงในชั่วข้ามคืน เหล่าศิษย์ทุกคนแยกทางกันเพื่อให้สถานที่แห่งนี้เป็นหลุมฝังศพของราชานิรันดร์เพลิงสวรรค์
แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป สุนัขตัวดำและสหายคนอื่นๆที่เป็นตัวตนระดับราชานิรันดร์ต่างก็ถูกสังหารหรือไม่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงไม่มีใครสามารถคุ้มครองสถานที่แห่งนี้ได้อีกต่อไป จนในที่สุดราชานิรันดร์ของตำหนักเมฆาอัสนีและราชานิรันดร์ของตระกูลจื่อเหอก็มาที่นี่เพื่อปล้นชิงแร่โลหะนิรันดร์
เพียงแต่ด้วยพลังระดับราชานิรันดร์ระดับหนึ่งของทั้งสอง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สามารถค้นพบความลับที่ราชานิรันดร์เพลิงสวรรค์ได้ทิ้งเอาไว้
พวกหลิงฮันมาถึงยอดภูเขาไฟในที่สุด โดยที่สุนัขตัวดำได้บอกให้จักรพรรดินีขยับไปให้ห่างๆ พร้อมกับปลดปล่อยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ลงบนปล่องภูเขาไฟ
ปากของมันพึมพำท่องอะไรบางอย่าง จนเส้นเส้นได้ปรากฏออกมาจากปล่องภูเขาไฟ และค่อยๆแพร่กระจายไปถึงตีนภูเขาไฟ เส้นแสงที่ปรากฏออกมานั้นค่อยๆเพิ่มขึ้นเป็นสองเส้น สามเส้น จนในที่สุดก็หยุดอยู่ที่หนึ่งร้อยแปดเส้น
‘ครืนน’ แสงสว่างจากเส้นแสงเหล่านี้พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า และดูเหมือนกับว่าทั่วทั้งภูเขาจะกำลังเกิดรอยแตกร้าว
ทั่วทั้งภูเขาไฟเกิดการสั่นไหว ‘ตูม ตูม ตูม’ ศิลาโลหิตมังกรจำนวนนับไม่ถ้วนลอยออกมาจากปล่องภูเขาไฟ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ส่งผลให้เหล่าคนที่มองดูอยู่จากอาณาเขตหุบเขาตกตะลึง
เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หรือว่าจะเป็นเพราะหลิงฮันอีกแล้ว?
ถ้าจะคิดแบบนั้นก็ค่อนข้างแปลก เพราะขนาดตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะก็ยังไม่สามารถเหยียบย่ำไปยังภูเขาไฟได้ แล้วจอมยุทธอ่อนแออย่างนิรันดร์ระดับสามนิพพานจะทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้อย่างไร?
แต่ถ้าจะคิดว่าไม่ใช่แบบนั้นก็แปลกอยู่เหมือนกัน เพราะเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่กลับมาเกิดขึ้นหลังจากที่หลิงฮันมุ่งหน้าไปทางนั้น
‘ตูม ตูม ตูม’ ภูเขาไฟระเบิดออกและพ่นลาวาขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือลาวาเหล่านั้นไม่ได้ร่วงลงมา เส้นทางทั้งหนึ่งร้อยแปดเส้นค่อยๆเปล่งประกายยิ่งขึ้น และไหลผ่านเข้าสู่ส่วนลึกของพื้นดิน
พื้นดินเกิดการสั่นเทือนอยู่สักพัก ก่อนที่เหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อจะเกิดขึ้น
ภูเขาไฟกำลังค่อยๆยกตัวสูงขึ้น!
หลิงฮันและจักรพรรดินีกลายเป็นไร้คำพูด เนื่องจากทั้งสองเห็นอย่างชัดเจนว่าภูเขาไฟลูกนี้ แท้จริงแล้วคือแท่งเขาของอะไรบางอย่าง!
ภายใต้พื้นที่ ร่างขนาดมหึมาได้คลายขึ้นมา ร่างที่ว่ามีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์ แต่มีเขาแท่งหนึ่งอยู่บนศีรษะ ซึ่งปลดปล่อยลาวาออกมาอย่างตจ่อเนื่อง ลองคิดดูว่าสิ่งมีชีวิตที่แค่ภูเขาไฟซึ่งเป็นเพียงแท่งเขาก็สูงเสียดฟ้า แล้วทั่วทั้งร่างจะมหึมาขนาดไหน?
ร่างมหึมายืนตระหง่านอย่างองอาจด้วยท่าทางที่ราวกับกำลังเย้ยหยันโลกใบนี้ ออร่าที่เขาปลดปล่อยออกมารุนแรงราวกับคลื่นมหาสมุทร จนทุกคนที่อยู่ต่อหน้าเขาทำได้เพียงคุกเข่าหมอบคลาน
ราชานิรันดร์ระดับแปด!
“สหายเก่า ในที่สุดเราก็ได้พบกันอีกครั้ง” สุนัขตัวดำกล่าวด้วยน้ำเสียงโหยหาย “แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะเผากางเกงในของราชานิรันดร์หลินเมี่ยวไปให้เอง เพื่อที่เจ้าจะได้หลับอย่างสงบสุข”
“เจ้าหนู มานี่!” สุนัขตัวดำตะโกนส่งเสียงเรียกโดยพลัน