หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ เหตุใดจู่ๆจักรพรรดินีถึงได้ทำเช่นนี้?
แม้นางจะหยิ่งยโส แต่นางก็ไม่เคยจงใจสร้างปัญหามาก่อน
ยิ่งกว่านั้นที่ที่พวกเขาอยู่ก็ยังเป็นเรือรบของนิกายซู่หนู่ ที่ไม่รู้ว่ามีปรมาจารย์ที่ทรงพลังอยู่มากมายเพียงใด การจะจับกุมคนของนิกายซู่หนู่ไม่ใช่ว่าเปรียบเสมือนการรนหาที่ตายหรอกรึ?
“ภรรยาข้า พอได้แล้ว…” หลิงฮันดึงมือห้ามจักรพรรดินีเอาไว้
ทางด้านของธิดาโร๋วนั้น นางเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมากเพราะรู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่น
หากลองเปลี่ยนคนที่พูดเช่นนี้กับนางเป็นคนอื่น ไม่ใช่จักรพรรดินีที่มีกลิ่นอายอันน่ายำเกรงแล้วล่ะก็ นางคงไม่อยู่นิ่งเฉยแล้ว
“ขอเชิญพวกท่านกลับไป!” นางสะบัดมือด้วยความโกรธ
หลิงฮันและจักรพรรดินีเดินออกจากห้อง ฟู่เกาหยุนที่กำลังยืนรออยู่เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินออกมาก็เอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่มีปัญหาอะไร” หลิงฮันกล่าวด้วยท่าทีเรียบง่าย โดยไม่เอ่ยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
ฟู่เกาหยุนโล่งอก เขาคิดจะเข้าไปในห้องอีกครั้งเพื่อกล่าวลาธิดาโร๋ว แต่ก็ถูกสตรีชุดขาวขวางเอาไว้ นางกล่าว “คุณหนูของข้าต้องการพักผ่อน ขอเชิญนายน้อยหยุนกลับไปก่อน”
ฟู่เกาหยุนรู้สึกสลดใจ เขาพยายามยับยั้งชั่งใจเอาไว้และหันหลังกลับไปพร้อมกับพวกหลิงฮัน
เพียงแต่ว่าการที่ฟู่เกาหยุนถูกเชิญให้ขึ้นเรือรบของนิกายซู่หนู่หลายต่อหลายครั้งนั้น ได้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนมากมาย พวกเขาแต่ละคนต่างอดคิดไม่ได้ว่า หรือธิดาโร๋วจะมองฟู่เกาหยุนด้วยความรู้สึกที่ต่างไปจากมองพวกเขา?
เมื่อกลับมายังเรือรบของตระกูลฟู่ หลิงฮันกับจักรพรรดินีก็เข้าห้องพักของตัวเอง โดยหลิงฮันรีบเอ่ยถาม “สตรีผู้นั้นมีอะไรรึ เหตุใดเจ้าถึงทำแบบนั้น?”
จักรพรรดินียิ้มและกล่าว “สามีข้า เจ้าต้องครอบครองนางให้ได้!”
หลิงฮันเหงื่อตกและรู้สึกกระอักกระอ่วน เขาไม่คาคคิดว่าภรรยาของตนจะเอ่ยปากบอกให้เขาไปยุ่งเกี่ยวกับสตรีอื่นเช่นนี้
“ทำไมกัน?” เขาเอ่ยถามต่อ เนื่องจากน้ำเสียงของจักรพรรดินีดูไม่เหมือนกำลังล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย
“นางมีกายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักร!” จักรพรรดินีกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “สิ่งนั้นคือแก่นกำเนิดนิรันดร์!”
แก่นกำเนิดนิรันดร์
หลิงฮันชะงักและเผยสีหน้าตกตะลึง แม้จะเป็นในดินแดนแห่งเซียน แก่นกำเนิดนิรันดร์ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะพบเห็นได้ทั่วไป แต่มีอยู่น้อยนิด แม้จะมีคำร่ำลือว่าฟู่เสี่ยวอวิ๋นมีแก่นกำเนิดนิรันดร์ แต่หลิงฮันก็ไม่เห็นว่าศักยภาพของนางจะโดดเด่นขนาดนั้น
“เชื่อข้า!” จักรพรรดินีมั่นใจเป็นอย่างมาก “เรื่องนี้คือสิ่งที่สายเลือดของข้าเป็นคนบอก กายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักรนั้นเป็นแก่นกำเนิดนิรันดร์สืบทอดที่พบเจอได้ยากยิ่ง ซึ่งโดยปกติแล้วอย่างมากก็จะพบเห็นได้แค่กายหยาบเสน่ห์แปดวัฏจักรเท่านั้น”
ก่อนหน้าที่จะเป็นกายหยาบเสน่ห์แปดวัฏจักรได้ ต้องเป็นกายหยาบเสน่ห์เจ็ดวัฏจักรเสียก่อน และก่อนจะเป็นกายหยาบเสน่ห์เจ็ดวัฏจักรได้ ก็ต้องเป็นกายหยาบเสน่ห์หกวัฏจักร
การสืบทอดแก่นกำเนิดนิรันดร์ในรูปแบบนี้จะใช้เวลายาวนานมาก และห้ามมีอะไรผิดพลาด หากการสืบทอดแก่นกำเนิดนิรันดร์มีการผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว กายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักรก็จะไม่ถือกำเนิดขึ้น
ยกตัวอย่างเช่นกู่ต้าวอี้ที่ต้องใช้เวลาถึงสิบชาติภพในการสร้างแก่นกำเนิดนิรันดร์ แต่ความยากลำบากในการสร้างแก่นกำเนิดนิรันดร์ของกู่ต้าวอี้นั้น หากเทียบกับกายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักรแล้ว เรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลิงฮันจึงเข้าใจทันทีว่าเหตุใดเสน่ห์ของธิดาโร๋วถึงได้น่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น ที่แท้นางก็มีแก่นกำเนิดนิรันดร์เป็นกายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักร!
“ถึงจะบอกว่านางมีแก่นกำเนิดนิรันดร์ก็เถอะ…” หลิงฮันเกาหัว เขาไม่คิดว่าด้วยเรื่องเพียงแค่นี้เขาจะต้องนำนางมาเป็นภรรยา
“การบ่มเพาะพลังควบคู่ไปกับกายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักร จะทำให้เจ้ารู้แจ้งและสัมผัสถึงอำนาจของสวรรค์และปฐพีได้ง่ายขึ้น บางทีในอนาคตกายหยาบวิถีหนึ่งเดียวแห่งเต๋าอาจจะเกิดขึ้นมาในร่างของเจ้าก็เป็นได้” จักรพรรดินีกล่าว
มันยอดเยี่ยมขนาดนั้นเลยรึ?
หลิงฮันครุ่นคิดแต่ก็ส่ายหัวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่สนใจ ข้ามั่นใจในศักยภาพของตนเองและไม่ต้องการการบ่มเพาะพลังคู่กับนาง!” เขาโอบกอดจักรพรรดิเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนและจูบเข้าที่ริมฝีปากของนาง
“แต่พูดถึงการบ่มเพาะพลังคู่แล้ว พวกเราก็ไปบ่มเพาะพลังคู่กันดีกว่า!” หลิงฮันกอดรัดจักรพรรดินีและพานางเข้าสู่หอคอยทมิฬ
……
หลังจากเอ้อระเหยอยู่เป็นเวลานาน หลิงฮันก็ส่งต่อทักษะควบคุมเปลวเพลิงให้จักรพรรดินี
ภายใต้ต้นสังสารวัฏ หลิงฮันกับจักรพรรดินีทำการฝึกฝนและแลกเปลี่ยนความเข้าใจในทักษะต่อกัน ด้วยพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมของทั้งสอง เวลาผ่านไปไม่นานก็เริ่มจับเคล็ดได้และใช้ทักษะได้อย่างเชี่ยวชาญ
เนื่องจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ภายในหอคอยทมิฬเป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่พิเศษ พวกเขาจึงต้องออกมาด้านนอกเพื่อทดสอบทักษะ
เมื่อจักรพรรดินีลองโคจรทักษะ เหนือฝ่ามือของนางก็มีเปลวเพลิงปรากฏลอยออกมา ซึ่งเปลวเพลิงชนิดนี้เป็นเปลวเพลิงที่ถูกควบแน่นขึ้นมาจากจากอำนาจของสวรรค์และปฐพีด้วยทักษะระดับราชานิรันดร์
“ทรงพลังมาก!” จักรพรรดินีพยักหน้าและกล่าว “ทักษะนี้จะต้องเป็นทักษะที่ถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆแน่นอน”
หลิงฮันพยักหน้า แม้แต่เขาเองก็สัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวจากเปลวเพลิงเช่นกัน เขารู้สึกว่าเปลวเพลิงของจักรพรรดินีสามารถหล่อหลอมกายหยาบของเขาได้ หากใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปี
เขาขยับมือขวาและโคจรทักษะขึ้นมาบนฝ่ามือเช่นกัน
สิ่งที่ต่างออกไปจากจักรพรรดินีคือ เพลิงที่ปรากฏออกมาไม่ใช่เพลิงจากสวรรค์และปฐพี แต่เป็นเพลิงที่อยู่ภายในร่างกายของเขา
เพลิงเก้าสวรรค์!
หลิงฮันควบคุมเปลวเพลิงในใจ และเปลี่ยนก้อนเปลวเพลิงให้กลายเป็นดาบ ตราประทับแห่งเต๋าที่ดูราวกับมีชีวิตบนเปลวเพลิงนั้น ถ้าหากมองให้ดีจะพบว่ามันคือตราประทับแห่งเต๋าแบบเดียวกันกับเพลิงเก้าสวรรค์ไม่มีผิดเพี้ยน
ราชานิรันดร์ที่สร้างทักษะนี้ขึ้นมา สมควรเป็นคนที่นำตราประทับแห่งเต๋าของเพลิงเก้าสวรรค์ไปประทับเอาไว้ในทักษะยุทธ
หลิงฮันกวัดแกว่งดาบเบาๆ ไม่ว่าสิ่งใดที่ถูกดาบฟาดฟัน สิ่งเหล่านั้นก็จะถูกหั่นขาดอย่างไม่อาจต้านทาน ภายใต้การควบคุมเพลิงด้วยทักษะระดับราชานิรันดร์ทักษะนี้ พลังอำนาจของเพลิงเก้าสวรรค์จึงดูดยกระดับขึ้นมาอีกหลายขั้น
“ณ ตอนนี้ข้ามีความมั่นใจว่าจะสามารถต่อกรกับนิรันดร์ระดับสี่นิพพานขั้นสูงสุดได้!” เขาหัวเราะด้วยความมั่นใจ
แน่นอนว่าคู่ต่อสู้ระดับสี่นิพพานที่ว่าจะต้องเป็นนิรันดร์สี่นิพพานทั่วไปเท่านั้น หากเป็นนิรันดร์สี่นิพพานที่ตัดผ่านนิพพานอย่างสมบูรณ์ พลังต่อสู้ของเขาคงด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ถ้าหากเป็นคู่ต่อสู้ที่ตัดผ่านนิพพานด้วยวิธีตัดขาดสวรรค์และปฐพีล่ะก็ อย่าเพิ่งเอ่ยถึงการสู้ข้ามระดับไปสี่นิพพานเลย แค่สามนิพพานก็ยากเต็มกลืนแล้ว
เพียงแต่ถ้าหากถูกเพลิงเก้าสวรรค์โจมตีเข้าใส่ตรงๆล่ะก็ เกรงว่าต่อให้เป็นนิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณก็ยังต้องบาดเจ็บสาหัส
และในเวลานี้เอง จู่ๆด้านนอกเรือรบก็เกิดเสียงเอะอะ