ทั้งห้าคนนั่งแยกกันเป็นสองกลุ่มอยู่ที่โขดหินกลางทะเลสาบ
แน่นอนว่าเป่ยเสวียนหมิงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก พวกหลิงฮันสามคนเป็นเพียงจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งแท้ๆ พวกเขามีสิทธิ์อะไรมานั่งเคียงข้างเขา? หากไม่ใช่เพราะฟู่เสี่ยวอวิ๋นยินยอมล่ะก็ เขาคงโยนร่างของทั้งสามคนลงแม่น้ำไปแล้ว
เขาพยายามสงบสติอารมณ์ ถึงแม้ด้วยพรสวรรค์ของเขาแล้วจะไม่จำเป็นต้องมาทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์สองนิพพานในเขตแดนลี้ลับ แต่อำนาจของสวรรค์และปฐพีอันไร้ขีดจำกัดของที่นี่ก็ช่วยให้ความยากลำบากในการทะลวงผ่านลดลงไปบ้าง
ระดับสองนิพพาน… ลุย!
เป่ยเสวียนหมิงคำรามในใจ ด้วยศักดิ์สิทธิ์ที่เขามีแน่นอนว่าเขาต้องอยากมีระดับพลังบ่มเพาะที่นำหน้าสตรีของตน หากเขาไม่ทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์สองนิพพานในตอนนี้แล้วฟู่เสี่ยวอวิ๋นยกระดับพลังขึ้นมาเป็นนิรันดร์หนึ่งนิพพานเท่ากับเขาล่ะก็ เขาจะรู้สึกอัปยศเป็นอย่างมาก
หลิงฮัน จักรพรรดินีและฟู่เสี่ยวอวิ๋นปรับตัวเข้าหาอำนาจของสวรรค์และปฐพีอย่างรอบคอบ เมื่อใดที่เริ่มคุ้นชินพวกเขาถึงจะลองทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพาน
หลิงฮันนั่งแน่นิ่งและทำความเข้าใจถึงวิธีที่จะตัดขาดกับสวรรค์และปฐพี หากให้พูดถึง ความหมายของตัดขาดสวรรค์และปฐพีล่ะก็ มันคือการทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานโดยไม่ต้องพึ่งพาพลังจากภายนอกใช้เพียงพลังของตนเองในการทะลวงผ่าน ‘สวรรค์และปฐพีคือตัวข้าเอง อำนาจแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่คือตัวข้าเอง’
แต่ปัญหาที่พบคือจะตัดขาดกับอำนาจของสวรรค์และปฐพีอย่างไร?
ไม่มีตัวอย่างให้เขาทำตามและไม่มีใครสามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ว่าต้องทำอย่างไร การทะลวงผ่านด้วยวิธีปกติก็ไม่ต่างกัน นี่คือการทดสอบจากสวรรค์ที่ต้องพึ่งพาความสามารถของตัวเองเพียงอย่างเดียว เพราะไม่งั้นแล้วในดินแดนแห่งเซียน จำนวนของนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานคงไม่มีน้อยนิดเพียงนี้
ตามหลักการแล้วตราบใดที่มีเวลามากพอจำนวนของนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานก็สมควรมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น แม้แต่ในเมืองสองดาวก็มีจอมยุทธระดับโลกียนิพพานเพียงหลักพัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตัวตนระดับนิรันดร์นั้นมีน้อยนิดเพียงใด
หลิงฮัน จักรพรรดินีและฟู่เสี่ยวอวิ๋นจำลองความเป็นไปได้ในรูปแบบต่างๆอยู่ในห้วงความคิด ถึงแม้จะเป็นพรสวรรค์ของราชาแห่งยุคเช่นพวกเขา การทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานก็ยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากอยู่ดี ยิ่งต้องการทะลวงผ่านด้วยวิธีการพิเศษยิ่งแล้วใหญ่
หนึ่งวัน สองวัน สามวัน… ห้าวันต่อมาจู่ๆฟู่เสี่ยวอวิ๋นก็กระอักโลหิต ดวงวิญญาณของนางมีอาการอ่อนแอลง นางเผยสีหน้าอันหวาดผวาออกมาอย่างปิดไม่มิด เมื่อครู่นางพยายามที่จะทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานแต่ล้มเหลวจนถึงจะต้องทิ้งชีวิต
โชคดีที่ก่อนจะเข้ามาที่นี่ ประมุขของตระกูลได้ประทับพลังเอาไว้ในร่างกายนาง มันคือพลังที่สามารถช่วยต้านทานความเสียหายอันรุนแรงที่เกิดขึ้นกับตัวนางได้หนึ่งครั้ง หากไม่ใช่เพราะพลังที่ว่า ต่อให้นางจะไม่ตายแต่ก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส หากเป็นเช่นนั้นก็เลิกพูดเรื่องทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานไปได้เลย เพียงแค่รักษาตัวให้หายดีก็คงต้องใช้เวลาหลายแสนหรืออาจจะหลายล้านปี
นางตั้งสติให้กลับมาสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว ถึงแม้เมื่อครู่จะทะลวงผ่านระดับไม่สำเร็จ แต่นางก็มองเห็นความหวังที่อยู่ภายในความล้มเหลว นางเชื่อมั่นว่านางจะต้องตัดขาดสวรรค์และปฐพีได้สำเร็จ
ไม่ว่าอย่างไรนางก็มีศักยภาพอยู่ในระดับราชาแห่งยุค
และด้วยความสงสัย นางจึงได้ชำเลืองมองไปยังพวกหลิงฮันทั้งสามคน สำหรับสตรีนกอมตะนั้นนางไม่ได้ให้ความสนใจใดๆเนื่องจากอีกฝ่ายยังไม่พร้อมที่จะทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพาน สายตาของนางจดจ้องไปยังหลิงฮันและจักรพรรดินี ทั้งสองคนนี้คือคนที่ทำให้นางเกิดความรู้สึกว่าลึกล้ำเกินจะหยั่งถึง
อัจฉริยะที่โดดเด่นอย่างทั้งสองคนปรากฏขึ้นมายังอาณาเขตที่อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่ได้อย่างไร แถมทั้งสองยังรู้จักวิธีการทะลวงผ่านด้วยการตัดขาดสวรรค์และปฐพีอีกด้วย
อั่ก!
จักรพรรดินีกระอักโลหิต ‘โพล๊ะ’ พริบตาหลังจากนั้นร่างของนางระเบิดออก เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ฟู่เสี่ยวอวิ๋นตกตะลึงก็คือร่างกายที่แหลกสลายของอีกฝ่ายจู่ๆก็หายไปอย่างไรร่องรอยและจักรพรรดินีร่างใหม่ก็ปรากฏตัวแทนที่อย่างรวดเร็ว
อะไรกัน… ฟู่เสี่ยวอวิ๋นอ้าปากค้าง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานล้มเหลวและถูกอำนาจของสวรรค์และปฐพีย้อนกลับจนร่างระเบิดตาย แต่เหตุใดอีกฝ่ายถึงได้กลับมามีสภาพปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้?
หรือนางจะตาฝาด?
เป็นไปไม่ได้ จอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งน่ะรึจะตาฝาด?
แน่นอนว่านางไม่มีทางรู้ว่าจักรพรรดินีนั้นมีร่างแย่งอยู่เก้าร่าง ร่างแยกแต่ละร่างมีร่างกายจริงๆซึ่งสามารถสละชีวิตแทนนางได้ เพราะอย่างไรขอเพียงแค่มีเวลาก็สามารถสร้างร่างแยกขึ้นมาใหม่ไม่ยาก
ความพยายามในการตัดขาดสวรรค์และปฐพีครั้งแรกของจักรพรรดินีล้มเหลว เพราะงั้นร่างแย่งของนางจึงเสียชีวิตแทนโดยที่ร่างจริงไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
สัตว์ประหลาด!
ฟู่เสี่ยวอวิ๋นตกตะลึง ต้องรู้ก่อนว่าเนื่องจากนางเป็นผู้สืบทอดที่มีพรสวรรค์โดดเด่นที่สุดของตระกูลฟู่ ประมุขตระกูลจึงได้ยอมเสียสละใช้พลังชีวิตของตนเองประทับลงบนตัวนางเพื่อช่วยให้นางรอดพ้นความตายได้หนึ่งครั้ง และคำถามคือประมุขของตระกูลฟู่เป็นใคร?
เขาคือนิรันดร์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะที่ทรงพลัง นอกจากนั้นในหมู่ตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะด้วยกันแล้ว เขาคือคนที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุด!
หากสตรีตรงหน้านางผู้นี้สามารถรอดพ้นความตายได้เหมือนกัน หรือว่าอีกฝ่ายเองก็มาจากขุมอำนาจสามดาว?
ไม่ได้ ไม่ได้… ตอนนี้ต้องตั้งสมาธิไปกับการทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานเพียงอย่างเดียว เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
ความรู้สึกหวาดกลัวเริ่มเกาะกินจิตใจของฟู่เสี่ยวอวิ๋น ครั้งหน้านางจะไม่สามารถหนีพ้นความตายได้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทะลวงระดับให้สำเร็จ!
อั่ก!
แต่ทันใดนั้นเอง นางก็พบเห็นจักรพรรดินีกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง ร่างกายของอีกฝ่ายระเบิดออกเหมือนคราวก่อนและกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง
มุมปากของนางกระตุกและตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
สตรีผู้นี้พยายามตัดขาดสวรรค์อีกครั้งและล้มเหลว แต่ประเด็นคืออีกฝ่ายยังมีพลังลึกลับที่ช่วยให้รอดพ้นความตายได้อีกรอบ
ถึงขนาดมีวิธีการบางอย่างที่ช่วยให้หนีรอดจากความได้ถึงสองครั้ง อีกฝ่ายมาจากขุมอำนาจใดกันแน่?
จิตใจของฟู่เสี่ยวอวิ๋นเริ่มปั่นป่วนอีกครั้ง ในอาณาเขตแห่งนี้ตระกูลฟู่สมควรเป็นผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียวและมีเพียงตระกูลฟู่เท่านั้นที่เป็นขุมอำนาจระดับขอบเขตตำหนักอมตะ เมื่อสตรีที่ไหนก็ไม่รู้ที่โดดเด่นกว่านางปรากฏตัว จึงไม่น่าแปลกใจหากนางจะรู้สึกสับสน
นางพยายามฝืนสงบสติอารมณ์ แต่ผ่านไปไม่นานจักรพรรดินีก็กระอักโลหิตเป็นครั้งที่สามและตายอีกรอบ
คราวนี้นางตกตะลึงอย่างแท้จริง หากมีใครมาบอกนางว่าจักรพรรดินีเป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์นางก็คงยอมเชื่อโดยไม่คัดค้านแม้แต่น้อย
“อั่ก!”
เสียงกระอักโลหิตดังขึ้นอีกรอบ ทว่าครั้งนี้เจ้าของเสียงไม่ใช่จักรพรรดินีแต่เป็นหลิงฮัน
ฟู่เสี่ยวอวิ๋นกวาดสายตามอง หลิงฮันไม่เหมือนกับจักรพรรดินีที่มีพลังลึกลับช่วยให้รอดพ้นความตาย แต่ทว่านางกลับรู้สึกตกตะลึงยิ่งกว่าเมื่อได้พบว่าหลิงฮันนั้นทำเพียงนำมือขึ้นมาเช็ดโลหิตที่มุมปากแถมยังเผยรอยยิ้มออกมา
จะ… จะ… จะ… เจ้า!
ฟู่เสี่ยวอวิ๋นอ้าปากค้าง นางรู้สึกราวกับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่ใช่ความจริง
“เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า?” หลิงฮันที่รู้สึกตัวว่าฟู่เสี่ยวอวิ๋นกำลังจ้องมองเขาอยู่ได้เอ่ยถาม
แน่นอนว่าข้าไม่ได้เป็นอะไรอยู่แล้ว แต่ประเด็นมันอยู่ที่เจ้านั่นแหละทำไมถึงไม่เป็นอะไร!
ฟู่เสี่ยวอวิ๋นรู้สึกราวกับตัวเองกำลังจะกลายเป็นบ้า