จักรพรรดิเมื่อรู้ว่าสามารถผสานอำนาแห่งกฎเกณฑ์ได้ก็แยกร่างแยกทั้งเก้าออกมาและนั่งลงใต้ต้นสังสารวัฏ แต่ต้นสังสารวัฏนั้นสามารถใช้งานได้เพียงสิบคนเพราะงั้นสตรีนกอมตะจึงไม่สามารถฝึกฝนได้ นางจึงจะออกจากหอคอยทมิฬไปใช้เวลากับหลิงฮัน
เพราะอย่างไรนางก็ฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพสำเร็จแล้ว แถมรูปลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตใต้พิภพทั่วไปก็ไม่ต่างจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ในวันที่แปด ภายในหอคอยทมิฬดาบอสูรนิรันดร์ได้ปลดปล่อยคลื่นพลังอันรุงแรงออกมา ในที่สุดมันก็บรรลุเป็นอุปกรณ์เซียน!
หลิงฮันหยิบดาบขึ้นมาดู ตัวดาบที่ประณีตปลดปล่อยแสงสลัวๆออกมาพร้อมกับออร่าอันทรงอำนาจ
เขาลองสะบัดดาบเบาๆ ‘ครืน’ ตราประทับบนตัวดาบระเบิดพลังออกมา ในขณะเดียวกันปราณก่อเกิดในร่างของหลิงฮันก็ถูกดูดเข้าไปในดาบอย่างบ้าคลั่ง
“ด้วยอัตราเผาผลาญพลังเช่นนี้ข้าคงกระตุ้นใช้งานการโจมตีได้เพียงสองหรือสามครั้งเท่านั้น” หลิงฮันคาดเดา
ดาบอสูรนิรันดร์คืออาวุธที่เขาขัดเกลาขึ้นมาด้วยตัวเอง หากเป็นคนอื่นล่ะก็ ต่อให้เผาผลาญปราณก่อเกิดจนหมดตัวก็ไม่มีทางเลยที่จะกระตุ้นใช้งานอุปกรณ์เซียนได้ในขณะที่มีพลังบ่มเพาะเพียงระดับวารีนิรันดร์
“เนื่องจากปราณก่อเกิดมีจำกัด คงต้องคิดให้ดีก่อนใช้” หลิงฮันพึมพำ
“หลังจากโจมตีแล้วก็รีบหลบเข้ามาซ่อนตัวในหอคอยทมิฬหรือไม่ก็โจมตีทันทีหลังจากออกมาจากหอคอยทมิฬ”
เวลาผ่านไปอีกสองวัน ถึงเวลาที่นัดพบกับอูเจวี๋ยเอาไว้แล้ว หลิงฮันมุ่งหน้าไปยังจุดนัดพบพร้อมกับสตรีนกอมตะ
“เจ้ามาสาย!” เมื่อมาถึงพวกเขาก็ได้ยินเสียงไม่สบอารมณ์ของอูเจวี๋ย เขาก้าวเดินเข้ามาเพื่อจะทับถมหลิงฮัน แต่พอเห็นสตรีนกอมตะเขาก็ลืมตัวพุ่งเข้าหานางในทันที
“อะไร นี่เจ้าเป็นเด็กสามขวบรึไง!” หลิงฮันดึงร่างของอูเจวี๋ยเอาไว้ สีหน้าของเด็กหนุ่มในตอนนี้แสดงออกถึงความลุ่มหลง
สตรีนกอมตะทำหน้าเหยียดหยามไปยังอูเจวี๋ย
“พี่สาว นี่ข้าเอง!” อูเจวี๋ยรีบตะโกนออกมาด้วยใบหน้าโศกเศร้า
เจ้าเป็นใคร?
สตรีนกอมตะมองไปที่หลิงฮัน หลิงฮันยักไหล่ตอบ ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะรู้จักพวกเขามาก่อน อีกฝ่ายเกลียดหลิงฮันแต่กลับชื่นชอบสตรีนกอมตะ
“พวกเราพบกันที่สนามรบสองดินแดน” อูเจวี๋ยกล่าว
ทั้งหลิงฮันและสตรีนกอมตะส่ายหัว พวกเขาจำไม่ได้แม้แต่น้อย
ใบหน้าของอูเจวี๋ยเปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนจะกล่าว “ข้าคือสัตว์อสูรน้อยในตอนนั้น!”
ว่าไงนะ!
หลิงฮันนึกออกทันที ในตอนนั้นที่เขาเก็บลูกสัตว์อสูรตนนึงได้จู่ๆก็เกิดการบุกรุกจากดินแดนใต้พิภพ จนกระทั่งเขานำลูกสัตว์อสูรไปคืนกองทัพของดินแดนใต้พิภพถึงจะยอมล่าถอย ในตอนนั้นเขาเดาเอาไว้แล้วว่าสถานะของสัตว์อสูรน้อยคงจะไม่ธรรมดา ที่แท้มันก็เป็นบุตรของจ้าวอสูรนี่เอง
เดี๋ยวก่อน ถ้าเช่นนั้นแล้วไม่จ้าวอสูรขวงล่วนก็ต้องเป็นมารดาของอูเจวี๋ยที่มีสายเลือดของสัตว์อสูร เพราะงั้นเขาถึงได้มีรูปร่างเป็นสัตว์อสูรในตอนเด็กและสามารถแปลงกายได้เมื่อบรรลุระดับพลังของพระเจ้า
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “ที่แท้ก็เป็นเจ้า! ว่าไง เจ้าพบคนที่ช่วยเหลือเจ้าเอาไว้แล้วยังไม่กล่าวขอบคุณอีกรึ”
“ข้าไม่ได้ถูกเจ้าช่วยเอาไว้!” อูเจวี๋ยเค้นเสียงก่อนจะเปลี่ยนท่าทีเป็นอ่อนโยน “พี่สาว นี่คือหยดวิญญาณบรรพกาล นี่คือผลราชาเบิกอรุณ นี่คือน้ำนมชำละล้างจิต ข้ามอบให้ท่าน!”
สตรีนกอมตะยิ้มและส่ายหัว ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเป็นสัตว์อสูรตัวน้อยที่น่ารัก แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นชายหนุ่มไปแล้วนางจึงไม่รู้สึกสนใจอีกต่อไป
“ของดีแท้ๆทำไมไม่รับไม่ล่ะ” หลิงฮันเอื้อมมือออกไปและกล่าว “เอามาให้ข้านี่”
“แบร่!” ท่าทีของอูเจวี๋ยที่มีต่อหลิงฮันแตกต่างกับสตรีนกอมตะอย่างสิ้นเชิง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ได้ให้เจ้า อย่าได้เข้ามาใกล้!”
“ออกเดินทางได้แล้ว อย่าให้ท่านอาจารย์ต้องรอ!” ม่อหลีเอ่ยแทรก น้ำเสียงของนางยังคงไร้อารมณ์ไม่เปลี่ยน
อูเจวี๋ยไม่กล้าขัดขืนม่อหลี ท่าทางของเขาสงบเสงี่ยมทันทีที่ถูกนางตำหนิ
พวกเขาออกเดินทางไปยังยอดเขาแห่งหนึ่งที่จ้าวอสูรขวงล่วนยืนรออยู่ เมื่อไปถึงจ้าวอสูรขวงล่วนก็กวาดสายตามองหลิงฮันกับสตรีนกอมตะ เขาจดจ้องไปที่หลิงฮันด้วยแววตาตกตะลึงเล็กน้อย
เขาสมควรมองเห็นรูปแบบอาคมทั้งสิบสามที่หลิงฮันสลักเอาไว้บนร่างกาย แต่จ้าวอสูรขวงล่วนก็ตกตะลึงไม่มากเพราะอย่างไรในฐานะที่เป็นจ้าวอสูร จอมยุทธที่ระดับพลังต่ำกว่าสร้างสรรพสิ่งล้วนแต่อ่อนแอไม่ต่างจากมดปลวก
แน่นอนว่าหากเขาได้พูดคุยกับฮูเฟิงสักครั้ง เขาไม่จะมีวันดูถูกหลิงฮันอีกต่อไป
“รุ่นเยาว์ ความดีความชอบที่เจ้าช่วยบุตรของข้าเอาไว้เมื่อร้อยปีก่อน ข้ายังไม่ได้ตอบแทนให้เลย” จ้าวอสูรขวงล่วนยิ้ม “เจ้าต้องการอะไร? ผลึกก่อเกิด? ผลสมุนไพร? เม็ดยา? วัสดุเซียน? ขอแค่เจ้าเปิดปากบอกมา ข้าก็จะเติบเต็มความปรารถนาของเจ้า”
หลิงฮันยิ้มและกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่หยิ่งยะโสหรือถ่อมหัว “ผู้อาวุโส สิ่งที่รุ่นเยาว์ทำไปตอนนั้นเพียงเพราะไม่ต้องการเห็นการปะทะกันระหว่างจอมยุทธสองดินแดน ข้าไม่ได้หวังผลประโยชน์อันใดโปรดผ้าอาวุโสไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ”
จ้าวอสูรขวงล่วนชะงักก่อนจะหัวเราะ “ไม่เลว ช่างเป็นรุ่นเยาว์ที่หยิ่งทะนงนัก”
อูเจวี๋ยเค้นเสียงฮึดฮัดอย่างเบาๆเพื่อไม่ให้ใครได้ยิน
สิ่งที่หลิงฮันต้องการในตอนนี้คือสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ จำนวนที่เขาต้องการนั้นไม่ใช่ต้นเดียวแต่มหาศาล ตัวตนระดับจ้าวอสูรนั้นแค่มีติดตัวหนึ่งถึงสองต้นก็ยอดเยี่ยมแล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่จะหาจำนวนมากมาให้เขา?
เพราะงั้นแทนที่จะขออะไรบางอย่างเขาจึงเลือกสร้างความประทับใจกับจ้าวอสูรขวงล่วนดีกว่า บางทีในอนาคตเขาอาจจะต้องพึ่งพาอีกฝ่าย
จ้าวอสูรขวงล่วนสะบัดมือไปยังร่างของทั้งสี่คน แสงแห่งเต๋าสีทองโอบล้อมบริเวณเท้าของพวกเขาและพาเหาะเหินขึ้นสู่ห้วงอวกาศผ่านดวงดาวนับไม่ถ้วน
แต่ต่อให้เป็นความเร็วของจ้าวอสูรพวกเขาก็ยังใช้เวลามากกว่าหนึ่งวันกว่าจะมาถึงดาวไห่คง ดวงดาวแห่งนี้อยู่ในเขตดวงดาวเมฆาเยือกแข็งที่ห่างจากเขตดวงอรุณสาดส่องสองเขตดวงดาว ไม่เช่นนั้นแล้วระดับจ้าวอสูรคงไม่ต้องใช้เวลาเดินทางที่นานเช่นนี้
“ปราสาทอสูรแห่งความยุ่งเหยิง” หลิงฮันมองไปยังสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เบื้องหน้า มันคือปราสาทที่มีขนาดใหญ่ราวกับเมือง
“อาจารย์!” จอมยุทธหลายคนสังเกตเห็นคลื่นแสงแห่งเต๋าสีทองจึงได้ออกมารอต้อนรับ
“เป็นเจ้า!” ทันใดนั้นเองจู่ๆก็มีหนึ่งคำรามเข้าใส่หูหลิงฮัน
หลิงฮันหันหน้าไปมองก่อนจะถอนหายใจ โลกช่างแคบอะไรอย่างนี้
ไม่น่าเชื่อว่าจะได้พบฉื้อหวงจี่่!