ครืน!
ทันใดนั้นเอง จู่ก็มีคลื่นแสงลอยผ่านเข้ามาจากระยะทางที่ห่างไกล ‘ตูม’ คลื่นแสงนั้นตกกระทบที่ปลายยอดเขาส่งผลให้เกิดเสียงดังสนั่น
เมื่อคลื่นแสงสลายไปก็พบกับร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างองอาจ เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาแต่กลับมีหูแมวสีเงินงอกออกมาสองข้าง ความน่ารักของหูแมวนั่นเกรงว่าอาจจะทำให้บุรุษบางคนที่ใจแข็งพอรู้สึกหวั่นไหวได้
“บังอาจ!” พริบตานั้นเหล่าจอมยุทธจำนวนหนึ่งคำรามเสียงดัง อีกฝ่ายบังอาจนักที่ไม่ทำตามกฎ ใครก็ตามที่จะมายังยอดเขาแห่งนี้ได้ต้องทดสอบพลังเสียก่อนว่ามีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่
ชายหนุ่มที่ปรากฏตัวนี้ไม่มีคุณสมบัติแน่เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงจอมยุทธระดับดาราเท่านั้น
“ลงไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!” จอมยุทธหลายคนลงมือ
“ฮึ่ม!” เสียงคำรามของใครบางคนดังขึ้น ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ร่างของเหล่าจอมยุทธที่ลงมือโจมตีถูกซัดลอยกระเด็นกลับไป หลังจากนั้นร่างของใครอีกคนหนึ่งก็ปรากฏตัว ร่างนั้นมีเรือนร่างที่ผอมบาง ทั้งเส้นผมและดวงตาของร่างนั้นเป็นสีเงินอันงดงามน่าดึงดูด
ร่างนี้เป็นบุรุษหรือสตรีนั้นไม่มีใครสามารถบอกได้เนื่องจากสวมชุดคลุมหลวมโคร่งที่ทำให้มองไม่เห็นความโค้งเว้าของเรือนร่าง
“ม่อหลี!” เมื่อเห็นร่างที่ปรากฏตัว ใครหลายคนก็อุทานด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน
ที่เขตดวงอรุณสาดส่องแห่งนี้นั้นยังไม่มีข้อสรุปว่าระหว่างจ้าวอสูรป้าเจี้ยนกับจ้าวอสูรขวงล่วนใครแข็งแกร่งกว่ากัน จ้าวอสูรทั้งสองปะทะกันเป็นเวลานานมากแต่ผลลัพธ์ก็ลงเอยที่เสมอกันตลอด
แต่ในระดับวารีนิรันดร์นั้น หากม่อหลีกล่าวว่าตนเองแข็งแกร่งเป็นอันดับสองย่อมไม่มีใครกล้าเอ่ยว่าตนเองเป็นอันดับหนึ่ง
ม่อหลีผู้นี้คือจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่ไร้เทียมทานที่สุด อีกฝ่ายมีศักยภาพที่จะกลายเป็นเจ้าอสูรได้สำเร็จเกินกว่าสามในสิบส่วน อย่ามองว่าสามส่วนนั้นเล็กน้อย ตามความเป็นจริง ในหมู่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์หนึ่งหมื่นคน ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้ากล่าวอย่างมั่นใจว่าตนเองจะมีโอกาสกลายเป็นจ้าวอสูรได้แม้แต่หนึ่งส่วน
พรสวรรค์และความแข็งแกร่งของม่อหลีเป็นที่ประจักษ์กันดี
ยิ่งกว่านั้นอีกฝ่ายก็ยังมีสถานะเป็นถึงศิษย์สืบทอดของจ้าวอสูรขวงล่วน
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ม่อหลีจะปรากฏตัวที่นี่ อีกไม่กี่วันจ้าวอสูรป้าเจี้ยนกับจ้าวอสูรขวงล่วนจะทำการปะทะกัน การที่ศิษย์ของเขามาอยู่ที่นี่ด้วยก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่รึไง?
แววตาของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นขึงขังเล็กน้อย ม่อหลีผู้นี้ทำให้เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่น่ายำเกรง อีกฝ่ายไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเริ่นเฟยอวิ๋นหรือไช่เหมี่ยว บางทีอาจจะแข็งแกร่งกว่าส่วนหนึ่งด้วยซ้ำ
แต่ที่เขารู้สึกสนใจก็คืออีกฝ่ายเป็นบุรุษหรือสตรีกันแน่
ชายหนุ่มหูแมวก้าวเดินเข้ามาใกล้และเผยรอยยิ้มให้กับจูเซวียน “เจ้าคือจูเซวียน ธิดาของจ้าวอสูรป้าเจี้ยน?”
จูเซวียนมองไปยังอีกฝ่ายก่อนจะพยักหน้า “ไม่ผิด แล้วเจ้าเป็นใคร?”
“ชื่อของข้าคืออูเจวี๋ย บุตรของจ้าวอสูรขวงล่วน” ชายหนุ่มหูแมวกล่าว
ทุกคนเข้าใจทันที ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมม่อหลีถึงลงมือ ที่แท้ชายหนุ่มผู้นี้ก็เป็นบุตรของอาจารย์ของนางนี่เอง
“ข้ามาที่นี่เพื่อดูว่าคู่หมั้นของข้ามีหน้าตาอย่างไร หากคู่หมั้นของข้าอัปลักษณ์ข้าย่อมไม่มีวันยอมแต่งงานด้วยแน่นอน” อูเจวี๋ยจ้องมองจูเซวียนตั้งแต่หัวจรดเท้า “ก็ไม่แย่ แต่ดูเหมือนเอวจะหนาไปหน่อยรึเปล่า?”
ประโยคสุดท้ายเขากล่าวถามกับม่อหลี
ม่อหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงหน้าตายไร้อารมณ์ “ไม่ใช่ว่าเอวของนางหนา แต่เป็นสะโพกของนางที่เล็กเกินไปทำให้ความโค้งเว้าของเอวไม่ค่อยเด่นชัด”
เขาเสียงของม่อหลีเฉื่อยชาไร้อารมณ์ทำให้ดูไม่ออกว่าเป็นเสียงของบุรุษหรือสตรี
พรวด!
ใครหลายคนกลั้นหัวเราะไม่ไหว คำพูดที่กล่าวออกมาจากใบหน้าที่ไร้อารมณ์นั่นทำให้พวกเขารู้สึกขบขันเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน ใบหน้าอันงดงามของจูเซวียนได้เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ มือขวาของเขากำดาบเอาไว้แน่นราวกับต้องการจะสังหารใครบางคน
อูเจวี๋ยพยักหน้าและกล่าว “ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น!”
“อืม!” ม่อหลีพยักหน้าหนักแน่น
“พวกเจ้าพูดคุยกันพอแล้วรึยัง!” จูเซวียนกัดฟันแค้น
“อย่าโมโหไปเลยน่า” อูเจวี๋ยยิ้มและกล่าว “ข้าผิดเองที่ปากไม่ดี อย่างไรพวกเราก็เป็นคู่หมั้นกันนะ!”
“พูดพล่อยๆ!” จูเซวียนชำเลืองมองไปยังหลิงฮันราวกับกลัวว่าหลิงฮันจะเข้าใจผิดและรีบกล่าวแย้ง “ใครเป็นคู่หมั้นของเจ้ากัน!”
“บิดาของเจ้าแพ้เดิมพันกับบิดาของข้า ซึ่งสิ่งที่บิดาของเจ้าใช้เดินพันก็คือตัวเจ้า” อูเจวี๋ยกล่าวพร้อมกับยักไหล่
แพ้เดิมพัน?
จูเซวียนจิตใจสั่นสะท้าน “อย่าพูดไร้สาระ บิดาของข้าจะแพ้ให้กับผู้อาวุโสขวงล่วนได้อย่างไร!”
ม่อหลีเอ่ยแทรก “ผลลัพธ์เดิมพันยังไม่ถูกตัดสิน การประลองของทั้งสองจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้”
จูเซวียนถอนหายใจโล่งอก ดูเหมือนการต่อสู้ของจ้าวอสูรทั้งสองจะเป็นตัวสินการแต่งงานของนาง แน่ไม่ว่าอย่างไรนางก็มั่นใจว่าบิดาของนางไม่มีทางพ่ายแพ้ นางเค้นเสียงและกล่าว “อย่าได้เพ้อฝัน!”
ม่อหลีกล่าว “แม่นางจู การเดิมพันนี้ผู้อาวุโสป้าเจี้ยนเป็นคนเสนอเอง”
ใบหน้าของจูเซวียนเปลี่ยนเป็นมืดมน ดูเหมือนบิดาของนางจะมั่นใจมากว่าจะชนะการต่อสู้ในครั้งนี้ เขามั่นใจถึงขนาดนำนางไปเป็นสิ่งเดิมพัน!
อูเจวี๋ยอ้าปากหาวก่อนจ้องไปยังหลิงฮันเนื่องจากก่อนหน้าจูเซวียนได้แอบชำเลืองมองไปยังหลิงฮัน โดยปกติแล้วเขาจะไม่คิดสนใจ แต่ใครใช้ให้จูเซวียนเป็นคู่หมั้นของเขากันล่ะ?
หืม?
เขาชะงักทันทีเมื่อเห็นหลิงฮัน เขาจดจ้องอยู่สักพักก่อนจะกล่าว “เจ้า… ช้ารู้สึกคุ้นหน้าเจ้ายังไงชอบกล”
หลิงฮันจ้องมองอีกฝ่ายกลับ เขาไม่เคยมาที่ดินแดนใต้พิภพมาก่อน เข้าจะรู้กับกับบุตรของจ้าวอสูรได้อย่างไร? เขายิ้มและกล่าว “พวกเราเคยพบกันเมื่อไหร่รึ?”
“โดยเฉพาะรอยยิ้มนั่นช่างน่าหงุดหงิดยิ่งนัก! ข้าต้องเคยพบเจอเจ้ามาก่อนแน่อนอน!” อูเจวี๋ยชี้นิ้วใส่หลิงฮันด้วยท่าทีหงุดหงิด
มุมปากของหลิงฮันกระตุก จากท่าทางคำพูดของอีกฝ่ายแล้ว ดูเหมือนว่าอูเจวี๋ยผู้นี้จะรู้จักเขาจริงๆ แต่ก็แปลก เขาไม่เคยพบกับรุ่นเยาว์ผู้นี้เลยแท้ๆ
“ใช่แล้ว! เป็นเจ้า!” อูเจวี๋ยกระโดดพุ่งทะยานปล่อยหมัดเข้าใส่หลิงฮันทันใด
อะไรของเจ้า!
หลิงฮันสะบัดมือผลักร่างของอูเจวี๋ยกลับก่อนจะยิ้มและกล่าว “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ถ้าจะสู้ก็คนของเจ้ามาสู้แทน”
ท่าทางของอูเจวี๋ยดูตื่นเต้นเป็นอย่างมากถึงได้ผลีผลามพุ่งจู่โจมเช่นนั้น แต่ด้วยการที่มีม่อหลีอยู่ด้วยย่อมไม่หวาดกลัวใคร เขารีบหันกลับไปหล่าว “ม่อหลี แก้แค้นให้ข้า!”
“เขาเคยทำอะไรกับเจ้าไว้?” ม่อหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
อูเจวี๋ยใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความเขินอายและไม่กล้าพูดออกไป
หลิงฮันรีบกล่าว “นี่เจ้ามีเรื่องอะไรก็รีบๆพูดออกมา มัวแต่ลีลาและท่าทีเขินอายเช่นนั้นเดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจผิดว่าข้าไปทำอะไรเจ้าไว้!”