เพี๊ยะ!
ฮูเฟิงสะบัดฝ่ามือใส่ใบหน้าของรุ่นเยาว์ผู้โชคร้ายจนอีกฝ่ายลอยกระเด็นหลายตลบและกระแทกใส่พื้น
“เจ้าน่าจะเคยเห็นคนผู้นี้” ฮูเฟิงยกมือขึ้นและใช้ปราณก่อเกิดวาดเป็นรูปลักษณ์ของหลิงฮัน
แม้เขาจะคิดว่าหลิงฮันสมควรตั้งใจหลบหนีไปไปยังดินแดนใต้พิภพ แต่ก็มีโอกาสที่อีกฝ่ายจะจงใจหลอกล่อเขาให้ไขว้เขว เขาจึงต้องยืนยันให้ได้เสียก่อนที่จะเข้าไปยังดินแดนใต้พิภพเนื่องจากหากเข้าไปยังดินแดนใต้พิภพแล้วอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะใช้ไม่ได้อีกต่อไป
หากไร้ซึ่งอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เซียนก็ไม่ต่างกันระดับวารีนิรันดร์ พลังต่อสู้จะมาจากพลังบ่มเพาะและจำนวนของดวงดารา ซึ่งตามหลักแล้วไม่จำเป็นว่าเซียนต้องมีจำนวนของดวงดาราในวิถีดาราจักรมากกว่าระดับวารีนิรันดร์เสมอไป
ฮูเฟิงจำเป็นต้องระวังตัวให้ดี เมื่อเข้าสู่ดินแดนใต้พิภพแล้วเขาจะไม่ใช่เซียนอีกต่อไปแต่เป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ระดับสูงสุด
รุ่นเยาว์ผู้โชคร้ายโอดครวญกับความโชคร้ายของตัวเอง เกิดอะไรขึ้นกันเขากัน? เขาเป็นถึงปรมาจารย์ระดับดาราแท้ๆเหตุใดถึงถูกทุบตีอย่างง่ายดายมาสองครั้งแล้ว? แต่เมื่อเห็นแววตาอันเย็นชาของฮูเฟิงเขาก็รีบกล่าวออกไปทันทีว่าพบเห็นพวกหลิงฮัน
ฮูเฟิงหันหลังและเดินหน้าต่อ ส่วนรุ่นเยาว์ผู้โชคร้ายนั้นยังไม่ทันแม้แต่จะได้สูดหายใจโล่งอกจู่ๆร่างของเขาก็ระเบิดออกกลายเป็นเศษเนื้อนับไม่ถ้วน
“จากบ่วงอาฆาตที่เห็น คงไปดินแดนใต้พิภพไม่ผิดแน่”
เขาเข้าสู่อาณาเขตของดินแดนใต้พิภพ และไม่นานหลังจากนั้นเองเขาก็ตกเป็นเป้าสายตาของจอมยุทธของดินแดนพิภพ
คนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์กล้าเหยียบย่ำเข้ามาที่นี่โดยไม่หวั่นเกรง?
ฮูเฟิงยิ้มอย่างเป็นมิตร “ข้าแค่ต้องการตามหาคนผู้หนึ่ง อย่าได้ขวางทางข้าไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่รังเกียจที่จะสังหารพวกเจ้า” ในสายตาของเขาไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือดินแดนใต้พิภพก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ เขาสามารถลงมือสังหารได้อย่างไม่แยแส
“จอมยุทธดินแดนศักดิ์สิทธิ์จอมอวดดี มาอยู่ในอาณาเขตของพวกข้าแล้วยังกล้าปากดี!” จอมยุทธของดินแดนใต้พิภพเหล่านั้นลงมือจู่โจมฮูเฟิง
สีหน้าของฮูเฟิงเปลี่ยนเป็นเย็นชาและสะบัดมือ ‘โผล๊ะ โผล๊ะ โผล๊ะ’ พริบตาเดียวร่างของคนเหล่านั้นก็กลายเป็นกองโลหิต
เขาไม่สามารถระบุตำแหน่งของหลิงฮันได้อีกต่อไป บ่วงอาฆาตที่ติดตัวหลิงฮันอยู่ผ่านไปสักพักก็ค่อยๆเลือนลางและเริ่มสลายหายไป
“ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใดข้าก็ต้องหาเจ้าให้พบ!” ฮูเฟิงก็ไม่กล้าผลีผลามไล่ตาม เมื่อไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดหากไล่ตามไปมั่วซั่วก็มีแต่จะทำให้ระยะของพวกเขาออกห่างกัน แถมคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เมื่อเข้าไปยังดินแดนใต้พิภพก็ไม่ต่างอะไรจากเป้าโจมตีเดินได้ เขาได้แต่หวังว่าหลิงฮันจะไม่ถูกจอมยุทธของดินแดนใต้พิภพสังหารเสียก่อนที่เขาจะหาตัวพบ ไม่เช่นนั้นเขาก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าทักษะบ่มเพาะระดับราชานิรันดร์และอุปกรณ์นิรันดร์ไปอยู่ที่ไหน
……
ภายใต้ต้นสังสารวัฏ หลิงฮันที่ฝึกฝนอยู่เป็นเวลานานก็เริ่มปรับตัวเข้ากับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพ
สามปีต่อมาความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของหลิงฮันยกระดับมาถึงระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นชั้นกลางเป็นที่เรียบร้อย ส่วนรูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดน หากรูปแบบอาคมถูกกระตุ้นใช้งานเขาสามารถสังหารได้แม้กระทั่งจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดชั้นสูงสุด มีเพียงระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์เท่านั้นที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ในตอนนี้
ในด้านของจักรพรรดินีนางด้อยกว่าเพียงเล็กน้อย นางทำความเข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพได้ถึงระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้น ส่วนสตรีนกอมตะนั้นนางพัฒนาเชื่องช้ายิ่งกว่า อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของนางอยู่ในระดับของสุริยันจันทราขั้นปลายเท่านั้น แม้นางจะได้รับวาสนาจากนอมตะราชาเซียนทั้งสาม แค่นกอมตะราชาเซียนก็เป็นตัวตนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นางจึงไม่ได้รับสืบทอดความเข้าใจใดๆของดินแดนใต้พิภพติดตัวมา
หลิงฮันสิ้นสุดการฝึกฝนและออกมาจากหอคอยทมิฬ เขาพบว่าอุปกรณ์บินแหวกเมฆาได้นำพาพวกเขามายังห้วงอวกาศที่แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ในระยะที่ห่างออกไปไม่มากมีดวงตะวันกำลังส่องสว่างร้อนระอุ
อุปกรณ์บินแหวกเมฆาเคลื่อนที่ลงจอดที่ดาวดวงแห่งหนึ่ง ที่ดาวดวงนี้มีพลังวิญญาณหนาแน่นเพียงพอที่จะให้กำเนิดตัวตนระดับเซียน
ถึงแม้จักรพรรดินีและสตรีนกอมตะจะใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพได้อย่างเชี่ยวชาญบางส่วนแล้ว แต่พวกนางก็ตัดสินใจอยู่ในหอคอยทมิฬต่อเพื่อฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ให้เทียบเท่าระดับพลังของตนเอง
เพราะงั้นแล้วหลิงฮันจึงเดินอยู่เพียงลำพังในดวงดาวที่ไม่คุ้นเคยโดยปกปิดออร่าเอาไว้
หลังจากเดินไปครู่หนึ่งเขาก็ได้กลิ่นหอมของอาหาร เขามั่นใจว่าต้องมีใครกำลังย่างอะไรสักอย่างอยู่แน่ แถมวัถุดิบยังต้องยอดเยี่ยมมากอีกด้วย เขาอดใจไม่ไหวและถูกกลิ่นอันหอมหวนดึงดูดให้เดินตาม
เดินได้ไม่ไกลหลิงฮันก็พบเจอกับชายร่างใหญ่กำลังย่างอาหารอยู่ใต้ต้นไม่ยักษ์
อีกฝ่ายเป็นเหมือนคนป่า ร่างท่อนบนของเขาเปลือยเปล่าในขณะที่ท่อนล่างถูกคลุมเอาไว้เพียงผ้าคลุมสั้น แขนและขาของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่ใหญ่ราวกับศีรษะ บนที่ย่างมีสัตว์ปีกสามตัวที่รูปร่างเหมือนไก่ห้อยและมีน้ำมันไหลย้อยลงมาอยู่ เพียงแค่มองก็ทำให้ผู้คนน้ำลายสอ
หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย ชายร่างใหญ่ผู้นี้ทรงพลังมากและเป็นถึงตัวตนระดับวารีนิรันดร์!
“พี่ชาย ท่านจะแบ่งให้ช้าสักชิ้นได้รึไม่?” ต่อมความอยากอาหารของหลิงฮันถูกกระตุ้นจนกล่าวออกไปอย่างไม่เกรงใจ
ชายร่างใหญ่หันมองหลิงฮันเช่นกัน เขายิ้มมุมปากพร้อมกับกล่าว “แน่นอน!”
หลิงฮันถูมือและนั่งลงข้างกองไฟ
เมื่อมองให้ดีๆก็ยิ่งทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมเนื่องจากไม้ฟืนที่ใช้ก่อไฟนั้นไม่ใช่ไม้ฟืนแต่เป็นวัสดุล้ำค่าที่มีระดับสูงกว่าระดับสิบซึ่งมักจะนำไปใช้กับการหลอมเม็ดยา การที่นำมาใช้ย่างอาหารเช่นนี้หากถูกนักปรุงยาพบเห็นเข้าล่ะก็คงหนีไม่พ้นถูกทุบตีเป็นแน่
แม้หลิงฮันจะเป็นนักปรุงยาแต่เขาก็เป็นพวกรักในการกินเพราะงั้นเขาจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ในทางกลับกันตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เนื้อย่างที่ถึงขนาดใช้ไม้ฟื้นล้ำค่าเช่นนี้จะเป็นเนื้อธรรมดาได้ย่างไร?
“ข้าชื่อหลิงฮัน” เขากล่าว
“ข้าโก้วลี่” ชายร่างใหญ่พลิกไม้ย่างด้วยท่าทีใจจดใจจ่อ
ผ่านไปครู่หนึ่งเนื้อก็ถูกย่างจนสุก โก้วลี่รีบแบ่งเนื้อที่ดูเหมือนนกหรือก็ไม่ไก่ให้กับหลิงฮัน ขณะเดียวกันหลิงฮันได้นำเหยือกสุราที่ทำจากผลสมุนไพรที่ปลูกในหอคอยทมิฬออกมาพร้อมกับเพิ่มใบของต้นสังสารวัฏลงไป สุราเหยือกนี้เรียกได้ว่าเป็นสมบัติชั้นเลิศ
โก้วลี่รับสุรามาดื่มโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยว่าหลิงฮันจะแอบใส่ยาพิษลงไปหรือไม่
หลิงฮันเองก็กัดเนื้อคำโตพร้อมกับซดสุราอย่างเต็มปากเต็มคำ
เหลือเชื่อ! เป็นเนื้อย่างที่อร่อยอะไรเช่นนี้ เนื้อนี่ต้องเป็นเนื้อคุณภาพเยี่ยมที่มาจากสัตว์ปีกที่อุดมสมบูรณ์มากเป็นแน่
โก้วลี่เป็นคนใจกว้างยิ่งนัก แม้แต่เนื้อที่ล้ำค่าก็ยังไม่ลังเลที่จะแบ่งให้กับคนแปลกหน้าเช่นเขา
“เจ้าโจรใจกล้า บังอาจขโมยไก่หยกของข้าไปย่างกิน!” ทันใดนั้นเอง จู่ๆสตรีผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวด้วยท่าทีโหดเหี้ยม นางถือดาบไว้ในมือ ใบหน้าอันงดงามของนางประดับไว้ด้วยจิตสังหารอันเย็นยะเยือก
หลิงฮันหยุดมือทันที
บัดซบ! โก้วลี่ผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นหัวขโมยไก่!