กู่ต้าวอี้ปะทะห้ำหั่นกับจักรพรรดินี
ทั้งสองคนมีระดับพลังบ่มเพาะที่เท่ากันในตอนนี้และบ่มเพาะทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญกันทั้งคู่ซึ่งถือได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ต่อให้กู่ต้าวอี้จะมีแก่นกำเนิดนิรันดร์และสามารถเรียกร่างแยกทั้งเก้าออกมาช่วย แต่ก้อนหินในมือจักรพรรดินีนั้นสามารถทำให้นางคุมสถานการณ์เอาไว้ได้
หินต้นกำเนิดสวรรค์สามารถดูดซับพลังโจมทั้งหมดที่ต่ำกว่าระดับสร้างสรรค์พสิ่ง ต่อให้เมื่ออยู่ในหุบเขาแห่งนี้ความสามารถของมันจะลดลงแต่ก็ยังเหลือเฟือที่จะใช้เหนี่ยวรั้งกู่ต้าวอี้เอาไว้
จักรพรรดินีที่ไม่อาจถูกการโจมตีใดๆทำร้ายกู่ต้าวอี้ย่อมไม่สามารถทำลายแผ่นหินของนางและขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูงกว่านี้ได้ ซึ่งนั่นทำให้กู่ต้าวอี้เกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก
หลิงฮันถอนหายใจก่อนจะแหงนหน้าขึ้นห้ามองไปยังสุดยอดราชาคนอื่นๆและรอคอยจังหวะจู่โจม
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาลงมือ
หลิงฮันส่ายหัว เนื่องจากต่อให้เขาทำลายแผ่นหินของราชาที่เหลือได้มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาขึ้นไปสูงถึงแผ่นหินสีทองอยู่ดี เขาต้องรอให้มีจำนวนคู่ต่อสู้มากกว่านี้และใช้พวกเขาเป็นหินรองเท้า
จำนวนของราชาในยุคสมัยนี้มีเกินกว่ายุคสมัยใดๆ ดังนั้นผู้คนที่ผ่านจุดแรกของหุบเขามายังหุบสองจึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลิงฮัน ซื่อเฉินเฟิง หลงเซียงเยว่และสุดยอดราชาคนอื่นๆเริ่มลงมือเพื่อเพิ่มระดับความสูงของแผ่นหิน
ลุย!
หลังจากเพิ่มระดับความสูงได้อีกพอสมควร ท้องฟ้าก็เริ่มมีโลมกรรโชกลอยสะบัดไปมาส่งผลให้หลิงฮันและราชาคนอื่นๆรู้สึกสั้นไหวที่ปลายเท้าราวกับจะถูกลมกรโชกพัดกระเด็น
แต่ถ้าร่วงหล่นจากแผ่นหินตอนนี้ พวกเขาก็ต้องลงไปเริ่มใหม่จากหนึ่งตั้งแต่ที่ใต้หุบเขา
พวกเขารีบโคจรปราณก่อเกิดอย่างรวดเร็วเพื่อต่อต้านลมกรรโชก แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังทรงตัวได้ยากอยู่ดี
บางคนที่เพิ่งจะมาถึงความสูงระดับนี้ พอถูกลมกรรโชกพัดเข้าใส่ร่างของพวกเขาก็ร่วงหล่นจากแผ่นหินทันที
ตอนนี้ราชาที่ยืนอยู่ในความสูงระดับนี้มีจำนวนสิบกว่าคน แต่ก็ยังห่างไกลจากแผ่นหินสีทองเกือบๆสิบกว่าฟุตอยู่ดี
แม้ระยะทางจะดูเหมือนใกล้ถึงแล้ว แต่หากลองคำนวณจากความสูงที่แผ่นหินจะลอยขึ้นในแต่ละครั้งดู จำนวนของราชาที่อยู่ที่นี่ต้องมีสามสิบสองคนเป็นอย่างน้อย
ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก!
ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมตั้งแต่อดีตกาลถึงไม่เคยมีใครเลยที่ขึ้นไปถึงแผ่นหินสีทองได้ นั่นเป็นเพราะจำนวนของราชามีน้อยเกินไปที่จะทำให้คนใดคนหนึ่งขึ้นไปถึงแผ่นหินสีทอง
ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถใช้ราชาที่อ่อนแอเป็นหินรองเท้าได้อีกต่อไป แต่ต้องสู้กับสุดยอดราชาด้วยกันเพียงอย่างเดียว หรือก็คือแม้กระทั่งสุดยอดราชาก็ต้องกลายเป็นหินรองเท้าเช่นกัน
แต่ในฐานะที่เป็นสุดยอดราชา ทุกคนย่อมมีความภาคภูมิในเกียรติของตนเอง พวกเขาไม่ต้องการเป็นหินรองเท้าให้แก่ใครทั้งนั้น เพียงไม่กี่ลมหายใจการต่อสู้อันโกลาหลก็เริ่มต้นทันที
หลิงฮันเองก็ไร้ความเมตตา มือทั้งสองของเขากวัดแกว่งปลดปล่อยทักษะดาบฟ้าคำรามไม่ยั้ง
ความเข้าใจในแก่นแท้แห่งดาบของเขาเพิ่มสูงขึ้น แถมทักษะดาบฟ้าคำรามก็ผสานรวมเข้ากับกาลเวลาแปรผันพันปีแล้ว พลังต่อสู้ของเขาจึงแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ก่อนหน้านี้พลังต่อสู้ของเขาคือหกดาวเท่านั้น แต่ตอนนี้ข้าจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหนแล้ว?” หลิงฮันเองก็ไม่รู้เช่นกัน
แต่นั่นก็ไม่สำคัญ สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ตัวเลขของพลังต่อสู้แต่เป็นความไร้เทียนทานที่สุด!
หลิงฮันคำรามและเข้าปะทะกับกลุ่มราชา ตัวเขาราวกับเป็นราชาอสูรที่ยั่วยุทุกคนไม่ว่าจะหน้าไหน
คนอื่นจะสู้กันตัวต่อตัวหรือไม่นั้นเขาไม่สนใจ หากตรงหน้าของเขามีใครอยู่เขาก็จะลงมืออย่างไม่ลังเลทำให้หลิงฮันตกเป็นศัตรูของทุกคนไปโดยปริยาย
การกระทำของเขาเป็นการดึงดูดศัตรูอย่างแท้จริง ราชาสี่คู่ที่กำลังสู้กันอยู่หยุดมือและหันมาจู่โจมเขาอย่างรวดเร็ว
ทั้งแปดคนคือสุดยอดราชา!
‘พรึบ พรึบ พรึบ’ เหล่าราชานำอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์และสมบัติออกมา บางชิ้นนั้นมีพลังอำนาจถึงระดับวารีนิรันดร์หรือกึ่งเซียน แต่เพราะอยู่ภายในหุบเขาแห่งนี้พลังของอุปกรณ์เหล่านั้นจึงถูกลดลงมาเหลือเพียงระดับดาราขั้นสูงหรือมากกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่พลังที่จอมยุทธระดับดาราขั้นต้นจะรับมือได้อยู่ดี
ยิ่งกว่านั้น ราชาที่โจมตีเขาก็มีถึงแปดคน!
หลิงฮันไม่หวาดกลัว ในเมื่อเขากล้าท้าทายเขาย่อมมีความมั่นใจว่าจะชนะ ดาบอสูรนิรันดร์ถูกนำออกมา ทันที่เขาสะบั้นดาบดาบสวรรค์และปฐพีก็ราวกับจะล่มสลาย
กล่าวตามตรงแล้ว ดาบอสูรนิรันดร์นั้นทรงพลังยิ่งกว่าหลิงฮันด้วยซ้ำ ในระดับเดียวกันพลังทำลายของมันทรราชที่แท้จริง!
ประกายแสงของตัวดาบส่องสว่างเจิดจ้าราวกับเป็นพระเจ้าที่ไม่มีวันตาย
สิ่งที่ทำให้ราชาทั้งแปดน่าสงสารก็คือหลิงฮันมุ่งเน้นการโจมตีไปยังแผ่นหินใต้เท้าของพวกเขา เรื่องความสามารถในการเจาะทะลวงนั้นเรียกได้ว่าในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ดาบอสูรนิรันดร์คือที่หนึ่ง ปราณก่อเกิดที่ห่อหุ้มเป็นโล่นั้นไร้ผลกับดาบนิรันดร์อย่างสิ้นเชิง
ทั้งแปดคนกรีดร้องและร่วงลงสู่เบื้องล่างไปทีละคน
‘หากปะทะกับหลิงฮันห้ามเข้าสู้ระยะประชิดเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเจ้าจะไม่สามารถหยุดยั้งดาบในมือของเขาได้’
ดาบของหลิงฮันมีพลังทำลายที่น่าอัศจรรย์เกินไป บางทีนั่นอาจจะเป็นอุปกรณ์เซียนระดับสูงสุด? ไม่เช่นนั้นแล้วมันจะมีพลังอำนาจที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนั้นได้อย่างไร?
แผ่นหินของหลิงฮันลอยขึ้นสูงสองฟุต สี่ฟุต หกฟุตก่อนจะหยุดนิ่งเนื่องจากรอบข้างไม่มีศัตรูให้เขาสู้ด้วยแล้ว
หากไม่มีใครสามารถโค่นล้มเขาได้ เขาก็คงต้องติดอยู่ที่ความสูงระดับนี้ไปตลอด ต่อให้ได้อันดับหนึ่งเขาก็ไม่สามารถขึ้นไปถึงแผ่นหินทองคำได้อยู่ดี
ดังนั้นแต่ให้ราชาในอดีตจะเป็นอัจฉริยะแค่ไหน หากไร้คู่ต่อสู้พวกเขาก็ไม่สามารถทำให้แผ่นหินขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูงได้อยู่ดี
หลิงฮันคาดหวังเอาไว้อย่างมากว่าอัจฉริยะอย่าง เทียนเซี่ยตี้เอ้อ ซื่อเฉินเฟิง หลงเซียงเยว่และราชาระดับสามคนอื่นๆจะมาเป็นตัวช่วยของเขา
“ร่วงลงไปซะ!” หลงเซียงเยว่บุกจู่โจมทันทีที่มาถึง นางถือดาบเอาไว้ในมือ เกราะส่วนอกของนางบิดหมุนแปรเปลี่ยนเป็นเงาของมังกรที่แท้จริงพร้อมกับปลดปล่อยอำนาจมังกรออกมา
เส้นผมของนางสยายชี้ขึ้นฟ้า ผิวอันเรียบเนียนดั่งหยกของนางสะท้อนแดงเจิดจ้าทำให้นางดูราวกับเป็นเทพธิดานักรบ ดาบที่สะบั้นจู่โจมเข้ามาของนางรุนแรงสั่นสะเทือนไปทั่วเก้าชั้นฟ้า
เป้าหมายของนาง.. คือแผ่นหินที่อยู่ใต้เท้าหลิงฮัน
ใครเป็นคนกำหนดว่าราชาจะต้องตัดสินการต่อสู้อย่างตรงไปตรงมา?