งานเลี้ยงน้ำชากลายเป็นสถานที่แสดงอำนาจของกลุ่มหลิงฮันไปโดยปริยาย สวีเหลินและเซียนหวู่เซียงเองก็ออกมาประมือเช่นกัน พวกเขาสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
ราชาระดับสองอีกสองคน!
จนกระทั่งสตรีนกอมตะทำการประมือ ทุกคนถึงรู้สึกว่าโลกกลับมาสงบสุข ยังมีราชาระดับหนึ่งอยู่ในกลุ่มหลิงฮัน
แต่ถึงอย่างนั้นในกลุ่มราชาทั้งหก การที่มีราชาระดับสองถึงสี่คนและราชาระดับสามหนึ่งคนก็ยังเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ดี
“มีโอกาสสูงมากที่ทั้งห้าคนนี้จะสามารถเข้าร่วมสำนักละอองดาราได้สำเร็จ อย่างน้อยก็มีห้าคนในกลุ่มที่ไม่น่ามีปัญหา”
“ถูกแล้ว ถ้าราชาระดับสองไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมสำนัก ราชาคนอื่นคงไม่ต้องมีหวังแล้ว”
ทุกคนส่ายหัว เหล่าราชาที่พ่ายแพ้ไปอย่างง่ายดายเริ่มกลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง หลังจากที่ทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์พวกเขาก็จะกลับมาสู่จุดเริ่มต้นเดียวกัน ความต่างของราชาระดับหนึ่งและสองไม่ได้กว้างใหญ่อะไร
พวกเขายังมีโอกาสอยู่ หากพวกเขาขัดเกลาระดับดาราให้บรรลุขั้นสมบูรณ์ได้ เมื่อทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์พลังต่อสู้ของพวกเขาจะยิ่งทรงพลังขึ้นไปอีก
แต่แน่นอนว่าความยากลำบากย่อมมีมากขึ้น อันที่จริงไม่มีใครเลยที่ข้ามขั้นขัดเกลาขั้นสมบูรณ์ของระดับสุริยันจันทรามาขั้นเกลาขั้นสมบูรณ์ของระดับดารา หรือข้ามขั้นสมบูรณ์ของระดับดารามาขัดเกลาขั้นสมบูรณ์ของระดับวารีนิรันดร์
ในระดับสร้างสรรพสิ่งยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง หากมีจอมยุทธที่ขัดเกลาขั้นสมบูรณ์ของระดับสร้างสรรพสิ่งได้จริงๆ คนคนนั้นคงเป็นจักรพรรดิเซียนที่สามารถบดขยี้สิ่งมีชีวิตทั้งมวล
ราชาระดับห้าเป็นเพียงตำนานที่ไม่เคยปรากฏจริง
เวลาผ่านไปอีกสักพักงานเลี้ยงน้ำชาก็สิ้นสุด ราชาทั้งหมดแลกเปลี่ยนที่อยู่ติดต่อของกันและกัน ช่วงระยะเวลานี้พวกเขาไม่ได้มีแผนการจะออกเดินทางไปไหนและตั้งใจรอคอยการเปิดรับศิษย์ของสำนักละอองดาราในอีกราวๆยี่สิบปีข้างหน้า
ที่หลิงฮันมาก่อนเวลาเพราะกลัวว่าสำนักละอองดาราจะเปิดสำนักล่วงหน้า เพราะอย่างไรระยะเวลาร้อยปีนั้นเป็นเพียงเวลาคาดเดาที่ไม่แน่นอน
พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองใกล้เคียง หลิงฮันใช้เวลาระหว่างรอไปกับการหลอมเม็ดยาและขัดเกลาพลังบ่มเพาะ
ยิ่งเวลาผ่านไปจอมยุทธระดับราชาก็มาถึงดาวมู่ถูมากขึ้น บ้างเลือกที่จะเก็บตัวและบ้างเลือกที่จะออกไปท้าทายคนอื่น จักรพรรดิพิรุณก็เป็นหนึ่งในนั้น บ้างก็เลือกที่จะแสดงความสามารถเพื่อให้มีชื่อเสียง
อย่างเช่นจักรพรรดิพิรุณ เขาได้รับฉายาว่า ‘อสูรหมัด’ เนื่องจากเขาใช้เพียงหมัดในการต่อสู้และใช้พลังอันเปี่ยมล้นในการจัดการคู่ต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจหลิงฮันก็คือ กู่ต้าวอี้มาถึงที่นี่แล้ว เขาเป็นจอมยุทธที่โดดเด่นที่สุดในยุคสมัยนี้ มีข่าวลือว่าแม้แต่ราชาก็ยังคารวะขอเป็นผู้ติดตามของเขา
ราชาที่อยู่บนจุดสูงสุดในหมู่จอมยุทธระดับเดียวกันยอมที่จะเป็นผู้ติดตามของตนอื่น! เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าพลังของกู่ต้าวอี้แข็งแกร่งขนาดไหน
ไม่รู้ว่ากู่ต้าวอี้เหยียบย่ำราชาไปมากเพียงใด แต่ตอนนี้เขาคือดวงดาวที่เจิดจรัสที่อยู่เหนือทุกคน
นอกจากนั้น จักรพรรดินีเองก็มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นกัน
เนื่องจากเหตุการณ์ที่นางเอาชนะจูเยว่ได้อย่างง่ายดายทำให้เหล่าราชาเข้ามาท้าประลอง ผลลัพธ์คือราชาเหล่านั้นถูกสยบด้วยหนึ่งกระบวนท่า ฉายาที่นางได้รับคือ ‘เพชรฆาตราชา’
กล่าวได้ว่าชื่อที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือกู่ต้าวอี้และจักรพรรดินีหล่วนซิง
ตอนนี้ทุกคนกำลังรอคอยว่าเมื่อไหร่ทั้งสองคนจะปะทะกันเสียที
“กู่ต้าวอี้!” หลิงฮันเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในถ้ำจ้าวสมุนไพรให้จักรพรดินีฟัง ซึ่งสีหน้าของจักรพรรดินีได้เปลี่ยนเป็นจริงจังทันใด
อดีตปรมาจารย์จากดินแห่งเซียน ความแข็งแกร่งของเขานั้นเพียงพอที่จะสั่นคลอนดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้เลย
สร้างรากฐานด้วยการฝังร่างทั้งเก้าชาติภพและใช้ผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ถึงสิบลูก ทักษะบ่มเพาะที่ฝืนสวรรค์เช่นนี้ต่อให้เป็นในดินแดนแห่งเซียนก็สมควรเป็นหนึ่งในทักษะบ่มเพาะชั้นสูง
“เจ้าแน่ใจว่าเขาใช้ประโยชน์จากร่างทั้งเก้าชาติภพและปลูกผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์เอาไว้สิบผล?” ท่าทีของจักรพรรดินีดูตื่นเต้นเล็กน้อย ร่างอันงดงามของนางเองก็สั่นสะท้าน
“ข้ามั่นใจ” หลิงฮันพยักหน้า “ทำไมงั้นรึ?”
“ถ้าเช่นนั้นเขาคงบ่มเพาะทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญ!” จักรพรรดินีกล่าวอย่างมั่นใจ
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
จักรพรรดินีนิ่งเงียบราวกับกำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง ผ่านไปสักพักนางเริ่มกล่าวต่อ “บรรพบุรุษของข้าเผ่าเก้าอสรพิษค้นพบทักษะบ่มเพาะทักษะหนึ่งในซากปรักหักพังที่ตกทอดมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ทักษะบ่มเพาะนั่นได้ทำให้เผ่าเก้าอสรพิษมีชื่อเสียงอันน่าเกรงขามในดินแดนแห่งเซียน ซึ่งชื่อของทักษะทีว่าก็คือ… ทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญ!”
“อะไรกัน!” หลิงฮันตกตะลึง “เช่นนั้นแล้วกู่ต้าวอี้ได้รับทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญมาได้อย่างไร? หรือเขาเองก็เป็นเผ่าเก้าอสรพิษ?”
“เป็นไปไม่ได้!” จักรพรรดินีส่ายหัว “เผ่าเก้าอสรพิษถูกขับไล่ออกมาจากดินแดนแห่งเซียนโดยไม่เหลือซักคน กู่ต้าวอี้คงพบเจอทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญจากที่ตั้งตระกูลของบรรพบุรุษเผ่าเก้าอสรพิษ”
นางแน่นิ่งไปครู่หนึ่งและกล่าวต่อ “บางทีทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญที่เขามีอาจจะสมบูรณ์กว่าข้าด้วยซ้ำ ข้าได้รับทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญผ่านทางสายเลือด แต่พลังสายเลือดของข้าเองมีขีดจำกัด”
“ยิ่งกว่านั้นบรรพบุรุษต้นตระกูลเองก็ไม่สามารถฝึกฝนทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญไปจนถึงจุดสูงสุด ดังนั้นต่อให้สายเลือดของข้าเข้มข้นเหมือนดั่งบรรพบุรุษข้าก็ไม่สามารถบรรลุจุดสูงสุดของทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญได้”
“เพราะงั้นแล้วข้าถึงต้องการกลับไปยังที่ตั้งต้นตระกูลของเผ้าเก้าอสรพิษในดินแดนแห่งเซียนเพื่อตามหาทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญ”
หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “ถ้าเจ้าได้รับทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญที่สมบูรณ์มา ความเร็วในการบ่มเพาะพลังคงเพิ่มขึ้นมากเลยสินะ?”
“แน่นอน” จักพรรดินีพยักหน้า “การฝังร่างทั้งเก้าชาติภพและดูดซับพลังของผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์เป็นความลับสูงสุดที่มีอยู่ในทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญ ข้ารู้เพียงหลักการของมันแต่ไม่รู้วิธีบ่มเพาะจริง หากข้าได้ดูดซับพลังของแก่นกำเนิดนิรันดร์ กายาเก้าอสรพิษของข้าจะพัฒนาขึ้นไปอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด”
หลิงฮันปรบมือและกล่าวอย่างรวดเร็ว “เช่นนั้นก็ต้องจัดการกู่ต้าวอี้และบังคับให้เขาส่งมอบทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญและแก่นกำเนิดนิรันดร์มาให้ได้!”
“ทำไมเจ้าถึงดูตื่นเต้นกว่าข้าอีก?” จักรพรรดินียิ้ม
หลิงฮันกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าต้องการให้เจ้าบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งให้เร็วที่สุด!”
จักรพรรดิชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะตั้งสติได้ บุรุษคนนี้ยังไม่ลืมเรื่องที่จะได้ขึ้นเตียงกับนาง! แต่นางชอบมากที่เขากล่าวออกมาตรงๆเช่นนี้
……
หากตอนนี้ยังทำอะไรกับจักรพรรดินีไม่ได้ก็ต้องไปลงกับสตรีนกอมตะคนเดียวก่อน
หลังจากหลิงฮันหลอมเม็ดยาเสร็จเขาก็เข้าไปในหอคอยทมิฬ สตรีนกอมตะในตอนนี้รู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก นางบ่มเพาะพลังอยู่ใต้ต้นสังสารวัฏเพื่อจะได้ไล่ตามทุกคนได้ทัน ไม่เช่นนั้นแล้วนางอาจจะไม่มีคุณสมบัติพอในการเข้าร่วมสำนักละอองดารา
“ภรรยาข้า ข้านำเม็ดยามาให้เจ้า” หลิงฮันหาข้ออ้างมาพูด ไม่เช่นนั้นสตรีปากแข็งผู้นี้คงจะเมินเฉยไม่สนใจเขาเป็นแน่