ศิษย์ระดับภูผาวารีเจ็ดคนร่วมมือกันรุมหลิงฮัน แต่แค่หลิงฮันเคลื่อนไหวไม่กี่ก้าวทั้งเจ็ดคนก็ถูกทำให้สับสนและโจมตีกันเอง
เจียนเสี่ยวหลิงรู้สึกตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ จะบอกว่าหลิงฮันโชคดีก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหลบการโจมตีได้ทุกครั้งเช่นนั้น แต่จะบอกว่าหลิงฮันมีพลังที่แข็งแกร่งนางก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน
หลิงฮันไม่มีออร่าของปรมาจารย์แม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นหากแท้จริงแล้วเขาเป็นปรมาจารย์ที่แข็งแกร่ง เขาจะมาหาบิดาของนางเพื่ออะไร?
พวกหงโถวจินทั้งเจ็ดคนเริ่มตกอยู่ในความอลหม่านยิ่งขึ้น ศิษย์บางคนถึงขนาดถูกกระบี่ฟันเข้าใส่จนท้องช่วงท้องขาด
ตอนนี้พวกเขาหวาดหวั่นที่จะลงมือต่อ ทั้งเจ็ดคนมองไปยังหลิงฮันด้วยท่าทางหวาดผวาและคิดว่ารุ่นเยาว์ตรงหน้านี้คือปีศาจ
“ไม่ลงมือต่อแล้ว?” หลิงฮันยิ้ม
“จะหยุดได้อย่างไร? ต้องลงมือให้หนักกว่านี้ เอาให้หนักๆเลย!” เจียนเสี่ยวหลิงที่มองดูอยู่กล่าวขึ้นมาทันที หากนางสามารถใช้โอกาสนี้ข่มขู่ให้หลิงเย่เฟิงหวาดกลัวได้ นางก็จะมีอนาคตที่สดใส
พวกหงโถวจินทั้งเจ็ดตนส่ายหัว พวกเขาไม่อยากลงมือต่อแล้ว ตอนนี้สภาพของพวกเขาแต่ละคนเต็มไปด้วยร่องรอยบอบช้ำ คนที่ย่ำแย่ที่สุดถึงขนาดมีลำไส้ไหลออกมาจากท้อง
“ไปเรียกคนมาช่วย!” หงโถวจินกระทืบเท้าบอกกับศิษย์ที่ยืนด้านข้าง
“ขะ ขอรับ!” ศิษย์คนนั้นพยักหน้าและวิ่งหายไปอย่างรวดเร็วราวกับควัน
“อย่าคิดหนีแล้วกัน!” หงโถวจินกล่าว เขากลัวว่าหลิงฮันจะเผ่นหนีไปก่อนที่กำลังสนับสนุนจะมาถึง
“แน่นอนว่าเขาไม่หนีไปไหนหรอก เจ้าไม่ต้องกลัว!” เจียนเสี่ยวหลิงนำมือทั้งสองเท้าเอว “ไปเรียกหลิงเย่เฟิงมาเลย ข้าจะให้ท่านลุงของข้าสั่งสอนเขาเอง!”
หลิงฮันไม่ปฏิเสธอะไร ผ่านไปสักพักผู้ช่วยเหลือก็มาถึง
คนที่มาคือจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดสามคน พวกเขาปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าเกรงขาม
“ศิษย์พี่หลิ่ว ศิษย์พี่จ้าว ศิษย์พี่หม่า!” หงโถวจินตื่นเต้นและรีบทักทายทั้งหมดคน “เป็นเจ้าหนูนั่นที่กล้าเหยียดหยามนายน้อยหลิง!”
“โอ้?” ศิษย์พี่หลิ่วก้าวขึ้นหน้าสองสามก้าวและจ้องมองหลิงฮัน ไม่เพียงเขาจะเผยสีหน้าเหยียดหยามแต่ยังเค้นเสียงดูถูก “กับคนเช่นนี้พวกเจ้ายังไม่สามารถจัดการเองได้จนต้องไปตามพวกข้าสามคนมาลงมือ?” เขากวาดสายตามองพวกหงโถวจินทั้งเจ็ดคน
“ศิษย์พี่หลิ่ว คือว่า…” หงโถวจินกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง เขาเองก็สัมผัสได้ว่าพลังของหลิงฮันไม่ได้แข็งแกร่ง แต่ฝีเท้าของอีกฝ่ายนั้นซับซ้อนจนทำให้พวกเขาสับสนและโจมตีกันเอง
ศิษย์พี่หลิ่นสะบัดมือเพื่อเป็นสัญญาณว่าหงโถวจินไม่ต้องกล่าวอะไรอีกต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นความจริงก็คือคนของนายน้อยหลิงถูกทำให้เสียหน้า ซึ่งเรื่องนี้เขาไม่อาจปล่อยไปได้
“เจ้า จงคุกเข่าซะ!” เขาชี้นิ้วไปยังหลิงฮันด้วยท่าทางกดขี่ “ข้าจะให้โอกาสเจ้า หากยอมคุกเข่าสามวันสามคืนข้าจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง”
“เจ้าคิดอะไรของเจ้าอยู่หลิ่วตงตง คิดว่าตนเองวิเศษวิโสมาจากไหน?” เจียนเสี่ยวหลิงอดใจไม่ไหวและเริ่มยั่วยุอีกฝ่าย “ท่านลุง ไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้า ทุบตีหมอนั่นให้ยับจนแม้แต่มารดาของเขาก็จำไม่ได้เลย!”
“ชื่อของข้าคือหลิ่วตงหมิง!” ศิษย์พี่หลิ่วคำราม บริเวณหน้าผากของเขาปรากฏเส้นเลือดปูดบวม
“เจ้าไม่คิดว่าหลิ่วตงตงฟังดูดีกว่ารึไง?” เจียนเสี่ยวหลิงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้เดียงสา แต่ไม่ว่าใครก็รู้ว่าความไร้เดียงสานั้นเป็นการเสแสร้ง
“บัดซบ!” หลิ่วตงหมิงเกรี้ยวกราดและลงมือคว้าไปยังเจียนเสี่ยวหลิง
เจียนเสี่ยวหลิงนั้นฉลาดแค่ไหน? ในเมื่อนางจงใจยั่วยุอีกฝ่าย มีรึที่นางจะไม่เตรียมพร้อมรับมือเอาไว้? นางยืนอยู่ด้านข้างหลิงฮันมาตลอด ทันทีที่หลิ่วตงหมิงลงมือนางก็รีบหลบไปด้านหลังหลิงฮันเพื่อใช้หลิงฮันเป็นโล่
“หลบไป!” หลิ่วตงหมิงคำราม
หลิงฮันไม่ตอบแต่ก็ไม่ได้นิ่งเฉย หนึ่งมือของหลิ่วตงหมิงพลักเข้ามาใส่เขา ที่ด้านหลังของอีกฝ่ายปรากฏภูผาวารีสี่สายที่ปลดปล่อยแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว
หลิงฮันก้าวถอยหลังเล็กน้อยและปัดฝ่ามืออย่างเรียบง่าย แรงจากฝ่ามือตนเองที่พลาดเป้าทำให้หลิ่วตงหมิงล้มลงกับพื้น
หงโถวจินเกือบจะเผลอหัวเราะออกมา ทำมาเป็นว่าข้า สุดท้ายแล้วเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับข้าที่หกล้มด้วยพลังของตัวเอง
เจียนเสี่ยวหลิงไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย นางหัวเราะลั่นและยกมือขึ้นอย่างชอบใจ “ท่านลุงช่างยอดอเยี่ยมนัก ตอนนี้ข้าเชื่อว่าท่านเป็นสหายกับบิดาข้า ฝีมือของท่านร้ายกาจไม่แพ้บิดาข้าเลย!”
หลิ่วตงหมิงคลานขึ้นมาและจ้องมองหลิงฮันด้วยท่าทีสับสน
เขาไม่เข้าใจเลย หลิงฮันไม่ได้ออกแรงอะไรเยอะแท้ๆ ความเร็วเองก็ไม่ได้มากมาย แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงสามารถปัดฝ่ามือของเขาจนทำให้เขาล้มไปทั้งตัวได้? หากลองเปลี่ยนตำแหน่งกัน เขาคิดว่าต่อให้เป็นเขาก็ทำอย่างหลิงฮันไม่ได้
ความสับสนที่เกิดขึ้นทำให้เขาไม่กล้าลงมือต่อ
สิ่งที่เขาคิดถูกต้องแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จอมยุทธระดับภูผาวารีคนใดจะทำเช่นหลิงฮันได้ นั่นเพราะหลิงฮันไม่ได้ใช้พลังปราณแต่เป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ ด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ทรงพลังขึ้นทำให้เขาสามารถจัดการจอมยุทธระดับภูผาวารีได้โดยไม่ใช้พลังปราณ
“ไปเรียกคนมาช่วย!” หลิ่วตงหมิงกล่าวกับหงโถวจิน
หงโถวจินชะงัก ทำไมประโยคนี้ถึงได้รู้สึกคุ้นๆ? ไม่ใช่ว่าเขาก็เคยพูดประโยคนี้กับศิษย์น้องอีกหกคนหรอกรึ? ตอนนี้แม้คนพูดจะเปลี่ยนไป แต่คำที่ใช้นั้นไม่ต่างกันเลย
เขารีบหันหลังวิ่งไรขอความช่วยเหลือจากคนที่แข็งแกร่งกว่านี้ทันที
ถ้าขนาดระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ งั้นก็มีทางเดียวคือไรเรียกผู้อาวุโสระดับสุริยันจันทรามาช่วย
“เจ้าชื่ออะไร?” หลิ่วตงหมิงกล่าวถาม
หลิงฮันโบกมืออย่างไม่แยแส “เจ้าไม่มีสิทธิรู้!”
หลิ่วตงหมิงเกือบจะบ้าคลั่งด้วยความโกรธ เขาคือคนที่สักวันหนึ่งจะกลายเป็นหัวกะทิระดับสุริยันจันทรา การที่ต้องมาถูกโบกมือไล่เหมือนหมูเหมือนหมาเช่นนี้จะให้เขาทนไหวได้อย่างไร?
รอให้ผู้อาวุโสมาถึงก่อนเถอะ คอยดูว่าข้าจะเหยียบย่ำเจ้าให้เหมือนกับสุนัข!
ผ่านไปครู่หนึ่ง หงโถวจินก็เดินตามชายวัยกลางคนผู้หนึ่งมา
ชายวัยกลางคนมีดวงตะวันลอยอยู่บนหัว เขามีท่าทีโอ้อวด ที่นิกายดาบสวรรค์แหง่นี้ ตัวตนระดับสุริยันจันทราเรียกว่าเป็นปรมาจารย์ที่แท้จริง เขาจะมีท่าทีหยิ่งยโสก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ชื่อแซ่ของชายวันกลางคนผู้นี้คือเชิงหยวน
“ใครกันบังอา… บ้าชัดๆ!” เชิงหยวนกล่าวอย่างเชื่องช้าในตอนแรก แต่เมื่อเขาชำเลืองมองไปยังหลิงฮัน จู่ๆเขาก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น
เหตุใดภัยพิบัติของนิกายถึงมาอยู่ที่นี่ได้!