“น้องชายหลิง เจ้าเป็นคนที่น่าทึ่งมาก!” อู๋เมี่ยนพูดด้วยความจริงใจ “ถ้าข้าระดับพลังของข้าอยู่ในระดับเดียวกับเจ้า ข้าคงไม่ใช่คู่มือของเจ้า”
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้างั้นข้าจะพยายามฝึกฝนให้หนัก เพื่อที่จะได้ต่อสู้ในระดับพลังเดียวกับพี่ชายอู่เมี่ยนให้เร็วที่สุด”
ถึงหลิงฮันจะพูดแบบนั้น แต่อู๋เมี่ยนก็ไม่คิดว่าหลิงฮันพูดเกินจริง ยิ่งระดับบ่มเพาะพลังต่ำเท่าไหร่ ก็จะใช้เวลาฝึกฝนน้อยเท่านั้น แต่หลังจากที่ทะลวงผ่านระดับดารา การทะลวงผ่านแต่ละขั้นใช้เวลาเป็นล้านปี แม้เวลาหนึ่งล้านปีจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเขาก็ตาม
แต่แน่นอนว่าอัจฉริยริยะอย่างพวกเขาไม่ควรใช้เวลาฝึกฝนเป็นล้ายปี อาจจะแค่หมื่นปีหรือแสนปีเท่านั้น แต่ว่าช่องว่างระหว่างหลิงฮันกับเขามันกว้างใหญ่แค่ไหนกัน? หลิงฮันจะใช้เวลาฝึกฝนหมื่นปีเพื่อไล่ตามเขาให้ทัน?
“ดูเหมือนว่าข้าเองก็ต้องพยายามให้มากกว่านี้ เดี๋ยวเจ้าจะตามข้าทัน” อู๋เมี่ยนหัวเราะ
“จริงสิ พี่ชายอู่เมี่ยนมาเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดนอย่างนั้นหรือ?” หลิงฮันถาม
“ข้าได้ยินมาว่าดาวหยุนติง มีอัจฉริยะที่เย่อหยิ่งมากคนหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่าเย่วหยิง ข้าอยากรู้มาตลอดว่าอัจฉริยะจากดินแดนใต้พิภพจะแข็งแกร่งแค่ไหน และต้องการปะมือกับเย่วหยิง” อู๋เมี่ยนกล่าว
อัจฉริยะระดับราชาอย่างเขามักจะออกเดินทางเพื่อท้าทางคนที่แข็งแกร่งกว่า เพื่อค้นหาข้อบกพร่องของตัวเองและจะได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นคนที่จะสามารถสร้างแรงผลักดันให้กับเขาได้จึงมีเพียงแค่อัจฉริยะระดับราชาเหมือนกัน
แม้ว่าความแข็งแกร่งของหลิงฮันจะยังอ่อนแอกว่า แต่ถ้าเป็นการต่อสู้ในระดับพลังเดียวกัน อู๋เมี่ยนคิดเขาไม่มีโอกาสชนะ
เย่วหยิง?
หลิงฮันพูดพึมพัมอยู่ในใจ ทำไมคนผู้นี้ถึงไม่ตั้งชื่อให้มันดีกว่านี้หน่อย? และดูเหมือนว่าทั้งอู๋เมี่ยนและเย่วหยิงต่างก็ไม่ใช่ชื่อ
“พี่ชายอู๋เมี่ยน ข้าจะกลับไปที่เมืองเขี้ยวหมาป่า แล้วพี่ชายอู๋เมี่ยนล่ะ?”
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
หลังจากที่ทั้งสองคนเดินทางมาถึงเมืองเขี้ยวหมาป่า หลิงฮันนำศิลาวิญญาณปฐพีจำนวนมากไปให้กับโรงประมูลตระกูลจิน แทนที่จะนำไปประมูล แต่เขากลับขาย เพราะขี้เกียจรอให้ถึงวันประมูล
หลังจากที่แลกเปลี่ยนเป็นแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ได้จำนวนมาก หลิงฮันก็เริ่มยกระดับดาบอสูรนิรันดร์อีกครั้ง
ในระหว่างสงครามที่ดินแดนใต้พิภพรุกรานดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลิงฮันได้สังหารจอมยุทธของดินแดนใต้พิภพไปหลายคน แน่นอนว่าอาวุธที่ใช้โดยอีกฝ่ายถูกเขาเก็บรวบรวมมา ในเมื่อจอมยุทธระดับสุริยันจันทราเป็นคนใช้ อย่างน้อยอาวุธที่เขาเก็บมาก็ต้องเป็นแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับห้า
ถึงแร่เหล็กระดับห้าจะไม่มีประโยชน์อะไร แต่เขาก็สามารถนำมันไปขายเพื่อซื้อแร่เหล็กระดับหกกับเม็ดยาได้ ความมั่งคั่งคือสิ่งสำคัญ และหลิงฮันก็ซื้อแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับหกมาจำนวนมาก
แต่โชคร้ายหลังจากที่ดาบอสูรนิรันดร์ดูดกลืนแร่เหล็กไปหมดแล้ว มันก็ยังไม่เลื่อนระดับเป็นระดับเจ็ด ซึ่งดูเหมือนว่าจำนวนแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับหกที่หลิงฮันให้มันกลืนกินเข้าไปจะเติมเต็มได้แค่หนึ่งในสามเท่านั้น
หลังจากที่เขาและอู๋เมี่ยนพูดคุยกัน สิบวันต่อมาอู๋เมี่ยนก็ได้รับประโยชน์อย่างมากและตัดสินใจปิดด่านฝึกตนทันทีเพื่อทำให้พลังของเขามั่นคง แล้วหลังจากที่จบการชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดน เขาก็จะเริ่มทะลวงผ่านระดับดารา
ในขณะที่หลิงฮันนั่งหลอมเม็ดยาอยู่ในเมือง ตอนนี้เขาต้องการเงินเพื่อนำไปซื้อแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับหกเพื่อยกระดับดาบอสูรนิรันดร์ให้เป็นระดับเจ็ด
ในหอคอยทมิฬ อีแร้งเพลิงสีครามเองก็เติบโตขึ้นมากเช่นกัน และตอนนี้มันกำลังเกาะอยู่บนต้นสังสารวัฎ ซึ่งมันสามารถขอคำแนะนำจากเซียนหวู๋เฉียนได้เป็นครั้งคราว
ทั้งที่มันเพิ่งเกิดมาแค่หนึ่งปี แต่ก็ทะลวงผ่านระดับห้วงวิญญาณแล้ว ซึ่งเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก
แม้ว่าความแข็งแกร่งของมันจะไม่สามารถช่วยเหลืออะไรหลิงฮันได้ แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถใช้มันบินไปส่งจดหมายไปที่กองทัพจันทราม่วงหรือเมืองเขี้ยวหมาป่าเพื่อส่งจดหมายรักของหลิงฮันและสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ
หลิงฮันเองก็ได้วางแผนเอาไว้ว่าจะช่วยอีแร้งเพลิงสีครามบ่มเพาะพลัง มันมีความเป็นไปได้สูงมากที่มันจะทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราหรือแม้กระทั่งระดับดารา – ซึ่งมันไม่ใช่ปัญหาถ้าได้รับความช่วยเหลือจากจักรพรรดินักปรุงยาอย่างเขา
การปรุงยาได้กลายเป็นกิจกรรมหลักของหลิงฮัน โดยมีเป้าหมายเพื่อเงิน กระทั่งถึงขั้นหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งขึ้นมาและมอบให้กับโรงประมูลตระกูลจินเพื่อขายแทนเขา
การปรากฏขึ้นของเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งทำให้เมืองเขี้ยวหมาป่าตกอยู่ในความวุ่นวาย เพราะเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งเปรียบเสมือนเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา ซึ่งสามาถทำให้พวกเขาทะลวงผ่านขั้นเล็กได้และประหยัดเวลาฝึกฝนไปหลายหมื่นปี
นั่นหมายความว่าพวกเขาสามารถใช้เวลาหมื่นปีกว่านั้นทำความเข้าใจเจตจำนงแห่งเต๋าเพื่อทะลวงผ่านระดับที่สูงขึ้นได้
โลกแห่งวรยุทธนั้นช่างโหดร้าย ถ้าไม่สามารถทะลวงผ่านระดับต่อไปได้ ก็จะมีเพียงแค่รอความตายเท่านั้น!
แล้วใครจะไม่กลัวตาย?
ดังนั้นเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งจึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่ต้องใช้เวลาครึ่งเดือนในการดูดซับและสามารถใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้น อย่างที่สองความมั่งคลั่งของจอมยุทธระดับสุริยันจันทราไม่สามารถเทียบกับจอมยุทธระดับดาราและจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ได้เลย ถึงแม้ว่าหลิงฮันจะนำเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งไปขายหกเม็ด แต่รายได้รวมของเขาก็ยังไม่เท่าศิลาวิญญาณปฐพี
โชคยังดีที่ยังมีเวลาเหลืออยู่ และหลิงฮันเชื่อว่าเวลาที่เหลืออยู่น่าจะเพียงพอที่จะยกระดับดาบอสูรนิรันดร์เป็นระดับเจ็ดก่อนที่การชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดนจะเริ่ม
ส่วนสงครามกับห้านิกายโบราณ ทำให้หลิงฮันเข้าใจว่าเขายังประเมินพวกมันต่ำไป เพราะอย่างไรพวกมันก็มีรากฐานมานานหลายล้านปี ดังนั้นตอนนี้เขาจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเอง
เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องตะลุยโบราณสถาน เพียงแค่รอสามเดือนกระโดดเข้าไปในกองเพลิงนิรันดร์ แล้วกินเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งก็เพียงพอแล้ว
…
ในตอนนี้การชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดนกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
หลิงฮันได้รับข่าวดีมากมาย ข่าวดีแรกคือเขามีแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับหกเพียงพอที่จะยกระดับดาบอสูรนิรันดร์เป็นระดับเจ็ด ข่าวดีที่สองคือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะเป็นอิสระจากกองทัพจันทราม่วงแล้ว
แต่นางยังไม่อยากออกจากสนามรบสองดินแดนเพราะตระกูลเชี่ยยังคงไล่ตามนางอยู่ และโชคยังดีที่การชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดนจัดขึ้นที่สนามรบสองดินแดนแห่งนี้
ดังนั้น นางยังคงพักอาศัยอยู่ในกองทัพจันทราม่วงและรอที่จะออกไปจากดาวหยุนติงพร้อมกับหลิงฮัน หากเป็นแบบนั้นก็สามารถพูดได้ว่าเป็นคนตระกูลหลิงแล้วจริงๆ
จากนั้น หลิงฮันและสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะก็เดินทางไปที่ป่าภูผาวารี