หลิงฮันเก็บดาบ ตุบ แล้วร่างที่ไร้หัวของจูหลี่หยุนก็ล้มลงกับพื้นและหัวของนางก็ตกลงมาจากท้องฟ้า สีหน้าของนางดูตกตะลึง ราวกับไม่เชื่อว่าจะถูกฆ่าตาย
เชี่ยตงหลายเผยสีหน้าตกใจออกมาให้เห็นทันที เขาเกือบถูกบุปผาหมอกครอบงำจิตเล่นงานเข้าให้แล้ว แต่โชคดีที่เขาอยู่ไกลจากมันพอสมควร
แต่คนรับใช้ชราสองคนนั้นแตกต่าง จนถึงตอนนี้พวกเขายังคงรู้สึกมึนงง จนเกือบลืมว่าตัวเองเป็นใคร
บุปผาหมอกครอบงำจิต!
อย่างไรก็ตาม อู่เมี่ยนไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่อยากรู้อยากเห็นและพูดว่า “น้องชายหลิง มันเป็นบุปผาหมอกครอบงำจิตใช่หรือไม่?”
“สายตาของพี่ชายอู่เมี่ยนช่างแหลมคมยิ่งนัก!” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว มันคือบุปผาหมอกครอบงำจิต”
หลิงฮันกำลังถือบุปผาหมอกครอบงำจิตในมือซ้ายและจับดาบอสูรนิรันดร์ในมือขวา แล้วพุ่งตรงเข้าหาเชี่ยตงหลาย
สีหน้าของเชี่ยตงหลายเปลี่ยนไปอย่างมาก ทันใดนั้นเขาก็กัดฟันแน่น และนำแผ่นยันต์อาคมทองคำออกมา จากนั้นก็แปะมันไว้ที่อก จากนั้นแสงสีทองอันแรงกล้าระเบิดออก ซึ่งทำให้หลิงฮันและอู่เมี่ยนต้องล่าถอยโดยไม่รู้ตัว
มันสว่างเจิดจ้ามาก ถึงขั้นเกือบทำให้พวกเขาตาบอด
เมื่อพวกเขาหันหลับไปมองเชี่ยตงหลายอีกครั้ง พวกเขาก็พบว่าแสงสีทองนั่นกำลังห่อหุ้มร่างของเชี่ยตงหลายและคนรับใช้ชราสองคนก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้า
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงแค่จอมยุทธระดับดาราที่เขาใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของสวรรค์และปฐพีได้อย่างลึกซึ้งเท่านั้นที่จะบินบนท้องฟ้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือสนามรบสองดินแดนที่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์จะแปรปรวนอย่างมาก และจะทำให้การบินบนท้องฟ้ายากขึ้นไปอีก
ทว่าเชี่ยตงหลายและชราชราสองคนกลับบินบนท้องฟ้าได้ด้วยแสงสีทองดังกล่าว เห็นได้ชัดนั่นจะต้องเป็นยันต์อาคมที่ถูกสร้างขึ้นโดยจอมยุทธระดับดาราขึ้นไป
ในเมื่อตระกูลเชี่ยมีจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะสร้างยันต์อาคมให้กับคนรุ่นต่อไป
อย่างไรก็ตาม ตระกูลเชี่ยมีจำนวนคนมาก มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์จะสร้างยันต์อาคมได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน ดังนั้นยันต์อาคมดังกล่าวน่าจะเป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลเชี่ย ที่แม้แต่คนอย่างเชี่ยตงหลายยังมียันต์อาคมดังกล่าวแค่ใบเดียวเท่านั้น
แต่มันก็คุ้มค่าที่ทำให้รักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้
หลิงฮันส่ายหัวและเก็บดาบอสูรนิรันดร์กับบุปผาหมอกครอบงำจิต ในความเป็นจริงการใช้บุปผาหมอกครอบงำจิตนั้นมีข้อจำกัด อย่างน้อยที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คืออู๋เมี่ยน ยิ่งฝ่ายตรงข้ามมีจิตใจที่แกร่งกล้ามากเท่าไหร่ก็จะสามารถต่อต้านอำนาจของบุปผาหมอกครอบงำจิตได้มากขึ้นเท่านั้น
หลังจากเรื่องทั้งหมดผ่านไป อูเมี่ยนก็ไม่ได้ถามหลิงฮันว่าเขามีความบาดหมางอะไรกับเชี่ยตงหลายและจูหลี่หยุน แต่เลือกที่จะแลกเปลี่ยนวรยุทธกับหลิงฮันแทน หลังจากผ่านไปเจ็ด เขาก็กล่าวอำลากับหลิงฮัน
การแลกเปลี่ยนวรยุทธครั้งนี้มีประโยชน์สำหรับเขามากและทำให้เขามีแรงบันดาลใจมากมาย ถึงขั้นทำให้เขาอยากจะปิดด่านฝึกตนสักสองสามเดือนหรืออาจสองสามปีเพื่อทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุด
หลิงฮันเข้าไปในหอคอยทมิฬ
นี่ก็ครบสามเดือนแล้วตั้งแต่ที่เขาขัดเกลากายหยาบด้วยเปลวเพลิงนิรันดร์ครั้งล่าสุด
เมื่อพูดถึงเรื่องการขัดเขลากายหยาบด้วยเปลวเพลิงนิรันดร์แล้ว มันทำให้หลิงฮันมีความทรงจำอันเจ็บปวด ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากจะถูกเผาให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
แต่เพื่อความแข็งแกร่ง เขาก็ทำได้แค่เผชิญหน้ากับมันเท่านั้น
สามวันต่อมา หลังจากที่หลิงฮันขัดเกลากายหยาบด้วยเปลวเพลิงนิรันดร์เสร็จ ร่างกายของเขาก็กลายเป็นเด็กน้อยอีกครั้ง แต่ถ้าเทียบกับครั้งแรกที่เขาดูเหมือนเด็กน้อยอายุไม่เกินสามเดือนแล้ว ครั้งนี้เขามีอายุอย่างน้อยเจ็ดเดือน
นี่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดใหม่จากเถ้าถ่าน
อย่างไรก็ตาม มันก็ทำให้เขาสามารถกินเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งได้อีกครั้ง!
กำเนิดใหม่จากเถ้าถ่าน ทำให้กายหยาบแข็งแกร่งขึ้นทีละเล็กน้อย แต่ถ้ากินเม็ดยาปราณโลหิตเข้าไปมันจะเห็นผลทันที และทำให้ทะลวงผ่านขั้นเล็กๆ
ใต้ต้นสังสารวัฎ หลิงฮันกำลังนั่งฝึกฝนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลาสามวัน
ระดับบ่มเพาะพลังของเขาทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราขั้นกลางชั้นกลาง แต่ความเข้าใจของระดับพลังตัวเองยังค่อนข้างแย่ นั่นเป็นเพราะเขาใช้เวลาฝึกฝนอยู่ใต้ต้นสังสารวัฎแค่สามปีเท่านั้น ยิ่งมีระดับบ่มเพาะพลังสูงเท่าไหร่ การทำความเข้าใจก็จะยิ่งยากขึ้นเท่านั้น
หลิงฮันจึงตัดสินใจฝึกฝนต่ออีกสักพัก จนกระทั่งพลังของตัวเองมั่นคง ก่อนที่จะกลับไปที่เมืองเขี้ยวหมาป่าเพื่อไปหาสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ โอกาสที่เขาจะพบนางได้คือเดือนละหนึ่งครั้ง หากพลาดเดือนนี้ไปเขาก็จะเสียโอกาสที่จะได้พบเจอนาง
เขาไปที่กองทัพจันทราม่วงและพูดคุยกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะอยู่ซักพัก แต่เมื่อหลิงฮันต้องการแสดงความรักที่เขามีให้กับนาง เขาก็ถูกสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะตบหน้าทันทีเมื่อริมฝีปากของเขาเริ่มเข้าใกล้ริมฝีปากของนาง
อย่างที่คิด นางไม่ได้เปลี่ยนไปเลย!
อันที่จริงนางไม่ได้รังเกียจหลิงฮัน นางแค่ประหม่าและเผลอตบหลิงฮันเท่านั้น
“หึ่ม! เมื่อข้าทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราขั้นสมบูรณ์เมื่อไหร่ ข้าจะทำให้เจ้าต้องสยบต่อข้า!”
เมื่อพูดจบ หลิงฮันก็ออกจากค่ายทหารและเดินไปบ่นไป แต่ยังไงก็ตามตอนนี้เขายังไม่แข็งแกร่งเท่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ ดังนั้นตอนนี้เขาเลยยังสยบนางไม่ได้
“โอ้ นั่นมันเจ้าเด็กฮันมิใช่หรือ?”
“ทำไมเจ้าสีหน้าของเจ้าถึงดูบูดบึ้งราวกับกินแมลงวันเข้าไปร้อยตัวกัน?”
เจ้ากระต่ายและโสมเฒ่าปรากฏตัวออกมาอย่างเงียบๆ และพูดจาเยาะเย้ยหลิงฮันสนุกปาก
สีหน้าของหลิงฮันกลายเป็นดุร้ายและพูดข่มขู่ว่า “ถ้าพวกเจ้ายังไม่หุบปากอีก พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถทำให้พวกเจ้ากลายเป็นซุปกระต่ายตุ๋นโสมได้?”
ทั้งเจ้ากระต่ายและโสมเฒ่าต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน พวกมันไม่กลัวคำพูดข่มขู่ของหลิงฮันเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าเด็กฮัน เจ้าอยากให้ข้าสอนกระบวนท่าให้เจ้าสักสองกระบวนท่าแบบตัวต่อตัวหรือไม่?” โสมเฒ่ากล่าว
หลิงฮันเค้นเสียง “สอนกระบวนท่าแบบตัวต่อตัวงั้น?”
“ใช่แล้ว ตอนนี้ข้ากำลังจะทะลวงผ่านระดับ ข้าอยากให้เจ้ามากับข้าและปกป้องข้า!” โสมเฒ่ากล่าว
หลิงฮันส่ายหัวในใจ ที่แท้เหตุผลที่พวกมันมาหาเขาก็คือ โสมเฒ่ากำลังจะรับทัณฑ์สวรรค์และขอให้เขาปกป้องมันนี่เอง
“ก็ได้ ไปกันเลย”
เมื่อหนึ่งคนกับสองตัวเดินทางไปที่สถานที่ที่ห่างไกล โสมเฒ่าก็เตรียมตัวที่จะรับทัณฑ์สวรรค์ มันมีความมั่นใจมากว่าสามารถผ่านทัณฑ์สวรรค์ครั้งนี้ไปได้ แต่หลังจากที่รับทัณฑ์สวรรค์เรียบร้อยแล้ว ร่างกายของมันจะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอมาก ถ้าในเวลานั้นเกิดมีใครเห็นมันเข้า…แล้วใครจะไม่อยากนำมันไปทำยาบำรุงกัน?
ซึ่งประเด็นหลักคือการรับทัณฑ์สวรรค์จะดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากที่อยู่ใกล้เคียง
ตูม โสมเฒ่าเริ่มทะลวงผ่านระดับ ทันใดนั้นเมฆสายฟ้าก็เคลื่อนที่มาจากทุกทิศทางและมาบรรจบกันอยู่ด้านบน
เมื่อโสมเฒ่ารับทัณฑ์สวรรค์ หลิงฮันก็จะเข้าไปรับด้วยเพื่อทำความเข้าใจพลังของสวรรค์และปฐพี
“รีบหนีเร็วเข้า!” เจ้ากระต่ายตะโกนและรีบวิ่งหนีไปไกลอย่างรวดเร็ว มันไม่ต้องการโดนลูกหลงจากทัณฑ์สวรรค์ มีเพียงแค่หลิงฮันเท่านั้นที่ยืนนิ่ง ราวกับต้องการเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์