แม้คำว่าพี่ชายอู๋กับศิษย์พี่อู๋จะต่างกันแต่คำเดียว แต่ความหมายที่ใช้สื่อออกมานั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ศิษย์พี่อู๋คือคำเรียกเพื่อแสดงความเคารพที่ยอมรับในความสามารถของอีกฝ่าย ส่วนพี่ชายอู๋นั้นคือคำที่ใช้เรียกอย่างสุภาพแต่ผู้พูดไม่ได้คิดว่าตนเองอ่อนด้อยกว่าอีกฝ่าย
ก็เหมือนกับเหอเต๋ากับอู๋เจ๋อที่เรียกกันว่า ‘พี่ชาย’ ไม่มีฝ่าใดฝ่ายหนึ่งแทนอีกฝ่ายว่า ‘ศิษย์พี่’ นั่นเพราะว่าพวกเขาต่างคิดว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่าย แล้วจะให้พวกเขาก้มหัวให้กันได้อย่างไร?
แต่พวกเขาคือเหอเต๋ากับอู๋เจ๋อที่เป็นหกราชา ส่วนในกรณีหลิงฮันเขาจะมีคุณสมบัติเช่นนั้นรึ?
ใบหน้าของอู๋เจ๋อเปลี่ยนเป็นมืดมน ร่องรอยแห่งความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า เจ้าหนูนี่คิดว่าตนเองมีสิทธิ์ทัดเทียมเขาเพียงเพราะโค่นจางหลงได้? ที่เขามีความระมัดระวังต่อจางหลงเป็นเพราะศักยะไม่ใช่ความสามารถในตอนนี้ ในอนาคตอีกฝ่ายมีโอกาสก้าวขึ้นมาทัดเทียมกับตัวเขาเท่านั้นเอง
ถ้าเป็นในด้านของความสามารถ แน่นอนว่าเขาย่อมเหยียบย่ำจางหลงได้ด้วยอำนาจของภูผาวารีสายที่ห้า
ในทางตรงข้าม เหอเต๋ายิ้มเล็กน้อย เขายังคงใช้เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้มชาด้วยความสงบนิ่ง
“ศิษย์น้องฮัน ดูเหมือนจะเจ้าอวดดีไปหน่อยนะ” อู๋เจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ศิษย์น้องอู๋ ข้าว่าเจ้าควรจะเรียกข้าว่าศิษย์พี่จะดีกว่า หากเรียกข้าเช่นนั้นต่อให้เจ้าพ่ายแพ้ก็ยังถือว่าไม่น่าอับอาย” หลิงฮันตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
พรวด!
ศิษย์คนอื่นๆตกตะลึงจนอ้าปากค้าง พวกเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหลิงฮันนั้นอวดดีมาก แต่พวกเขาไม่คิดว่าหลิงฮันพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้!
พวกเขาทุกคนเป็นศิษย์ของนิกายสวรรค์เยือกเย็นเหมือนกัน ทำไมหลิงฮันจะต้องมีท่าทีเหยียดหยามอู๋เจ๋อเช่นนั้นด้วย?
ถ้าเขาแพ้ในการต่อสู้นี้เขาจะยังมีหน้าอยู่ที่นิกายแห่งนี้ต่ออีกรึไง? ใครที่กล้าเป็นสหายกับเขาหลังจากที่เขากลายเป็นเป้าหมายของอู๋เจ๋อหนึ่งในหกราชา?
หลิงฮันจะสามารถชนะได้จริงๆรึ?
นอกจากคนที่ชื่นชมสรรเสริญเขาอยากมากเช่นหูเฟยหยินแล้ว แทบจะไม่มีใครเลยที่เชื่อว่าหลิงฮันจะเอาชนะอู๋เจ๋อได้
…ต่อให้หลิงฮันเอาชนะจางหลงได้ อู๋เจ๋อก็โค่นล้มพวกซูจิงกับตูนอันได้เช่นกัน อัจฉริยะที่เป็นถึงหกราชา ชื่อเสียงเช่นนี้เพียงพอจะทำทุกคนเชื่อมั่นในตัวเขา
ในนิกายไม่มีใครมีสถานะทัดเทียมกับศิษย์หกราชา
ไม่มีใครเข้าใจได้เลยว่า ทำไมหลิงฮันถึงดูเหมือนจะท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่ออู๋เจ๋อ?
พวกเขาคาดเดาไม่ผิด หลิงฮันเป็นคนมีนิสัยปกป้องคนของตัวเอง ก่อนหน้านี้อู่เจ๋อเล่นไม่ซื่อกับจักรพรรดิพิรุณ จะให้เขาทำเป็นไม่เห็นรึได้อย่างไร?
“ศิษย์น้องฮัน เจ้าเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ!” ใบหน้าของอู๋เจ๋อเต็มไปด้วยความฉุนเฉียว เขายื่นมือขวาออกไป ‘พรึบ’ มือของเขาเปลี่ยนเป็นสีทองบริสุทธิ์ราวกับถูกหลอมด้วยแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์
การต่อสู้หลายครั้งที่ผ่านมาเขาไม่ได้เอาจริง แต่ตอนนี้เขาเตรียมพร้อมจะลงมือเต็มพลังแม้การต่อสู้จะยังไม่เริ่มเนื่องจากเขารู้สึกโมโหอย่างแท้จริง แต่แน่นอนว่ามีอีกเหตุผลที่เขาเอาจริง หลิงฮันแข็งแกร่งพอที่จะโค่นจางหลงด้วยการโจมตีเดียว ต่อให้เป็นอู่เจ๋อก็ไม่กล้าไร้กังวล
หลิงฮันก็ไม่กล้าดูถูกคู่ต่อสู้เช่นกัน กายหยาบของเขาแข็งแกร่งพอให้เขาไร้เทียมทานก็จริง แท้เขาไม่ต้องการใช้วิธีนี้ในการเอาชนะคู่ต่อสู้
เขาต้องการทวงความยุติธรรมให้จักรพรรดิพิรุณ เพราะงั้นเขาจึงต้องชนะอย่างภาคภูมิใจ
“ส่วนศิษย์น้องอู๋ไม่เห็นน่าสนใจแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นเจ้าจะดื้อรั้นไปเพื่ออะไร ทำไมไม่เรียกข้าว่าศิษย์พี่แต่โดยดี?” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าพล่ามพอรึยัง!!” อู๋เจ๋อคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ‘ครืนน’ เสียงคำรามของเขาก่อให้เกิดคลื่นเสียงอันทรงพลัง ทุกคนมองเห็นคลื่นกระแทกเสียงสีทองแพร่กระจายไปทั่วทิศทาง
ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ คนรอบข้างอย่างน้อยครึ่งหนึ่งร่วงหล่นจากหินที่นั่ง
อำนาจของเสียงคำรามสามารถแข็งแกร่งได้เพียงนี้!
ทุกคนตกตะลึง ตลอดที่ผ่านมาอู่เจ๋ออาจจะยังใช้พลังไม่ถึงสามในสิบส่วนด้วยซ้ำ
แล้วทีนี้หลิงฮันจะต้านทานไหวได้อย่างไร?
หลิงฮันยืนนิ่งอย่างไม่หวั่นเกรงราว เสียงคำรามเมื่อครู่ทำให้เสื้อคลุมของเขาสะบัดผมปลิวสยายออกเท่านั้น ไม่ได้ทำให้เขาบาดเจ็บใดๆ เขากล่าวออกไปอย่างสงบนิ่ง “การต่อสู้ไม่ได้ตัดสินด้วยการที่ว่าใครเสียงดังกว่าเสียหน่อย ไม่ว่าเจ้าจะคำรามยังไง ศิษย์น้องก็ยังคงเป็นศิษย์นน้อง เรื่องนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้”
“เจ้า!!” อู๋เจ๋อแทบจะเป็นบ้า เขาปล่อยหมัดออกไป
รัศมีแสงสีทองนับไม่ถ้วนสาดลงมาจากท้องฟ้าและเปลี่ยนเป็นใบมัดจำนวนมากฟันลงมาใส่หลิงฮัน
หลิงฮันยกมือขวาขึ้นและสร้างโล่พลังปราณขึ้นเหนือหัว ออร่าที่ทรงพลังไม่แพ้อู๋เจ๋อแม้แต่น้อยถูกปลดปล่อยออกมา
ปัง ปัง ปัง ปัง!
ใบมีดสีทองร่วงลงมาอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่มีเล่มไหนเลยที่ทะลวงโล่พลังปราณของหลิงฮันได้ ในตอนนั้นเอง อู๋เจ๋อก็พุ่งเข้ามาใกล้และปล่อยหมัดที่รุนแรงราวกับดวงดาวจะร่วงหล่นลงมาออกไป
หลิงฮันยกหมัดขึ้นมาด้วยท่าคล้ายๆกันเพื่อจะรับหมัดของอีกฝ่ายด้วยหมัดของเขา
ตูม!
หมัดสองหมัดเข้าปะทะกันเกิดเป็นประกายแสงอันเจิดจ้า คลื่นทำลายแพร่กระจายไปทั่ว ผู้คนที่เพิ่งนั่งบนที่นั่งหินถูกพลักร่วงหล่นจากที่นั่งอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ย่ำแย่กว่า พวกเขาถูกพลักจนร่วงจากยอดเขา
โชคดีที่ยอดเขาไม่สูงมาก พวกเขาร่วงไปไม่ไกลมากก่อนจะตั้งหลักยืนได้
คลื่นพลังจากการปะทะกันของอู๋เจ๋อและหลิงฮันยังไม่จบเท่านั้น อำนาจราชาของทั้งสองคนต้องการกดขี่สยบคนอื่นๆให้พังพินาศ
ครืนนน พลังอันไร้ที่สิ้นสุดก่อตัวขึ้นมาในรูปแบบของคลื่นแสงที่ค่อยๆขยายกว้าง เสียงอึกทึกดังก้องราวกับสวรรค์กำลังพังทลาย
ปัง!
ในที่สุดหมัดของทั้งคู่ก็ปะทะกันเสร็จสิ้น อู๋เจ๋อกะเด็นถอยกลับและพลิกร่างตีลังกาลงพื้นอย่างปลอดภัย ในขณะเดียวกัน หลิงฮันถูกทำให้ก้าวถอยหลังเจ็ดก้าวก่อจะรักษาสมดุลได้
ใครเป็นฝ่ายเหนือกว่า?
พวกเขาไม่เข้าใจสถานการณ์ที่กำลังดูอยู่ ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะเสมอกัน
หลิงฮันขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเพิ่งจะทะลวงผ่านขั้นสมบูรณ์มาไม่นาน ในด้านของพลังแล้วอีกฝ่ายเหนือกว่าเขาเล็กน้อยเท่านั้น ความแตกต่างไม่ได้มากจนเกินไป ในสถานการที่พลังของพวกเขาทั้งคู่พอๆกัน สิ่งที่จะนำมาตัดสินคือทักษะยุทธของใครเหนือกว่าและใครมีพรสวรรค์ในการต่อสู้มากกว่า
สีหน้าของอู๋เจ๋อเปลี่ยนเป็นจริงจังและกล่าว “ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าอวดดีถึงเพียงนั้น ที่แท้ศิษย์น้องฮันก็บรรลุขั้นสมบูรณ์ได้เช่นกัน!”
‘ว่าไงนะ!’
ทุกคนรู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง เจ้าคนอวดดีคนนี้เองก็สร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้สำเร็จ?
ไม่น่าแปลกใจที่เขาสามารถทัดเทียมกับอู๋เจ๋อได้ ทั้งสองยืนอยู่บนขั้นสมบูรณ์ของระดับภูผาวารีเหมือนกัน
“เช่นนั้นพวกเราก็มาต่อสู้กันด้วยพลังทั้งหมดดีกว่า!” อู๋เจ๋อคำรามลั่น เขายื่นแขนทั้งสองข้างออกไป แขนของเขาค่อยๆเล็กลงและเปลี่ยนเป็นใบดาบสีทอง ดาบทั้งข้างถูกปกคลุมไว้ด้วยรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ จำนวนของรูปแบบอาคมมีมากถึงเจ็ดสิบเก้าอัน
เขาคำรามและพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน แขนใบดาบทั้งสองข้างกวัดแกว่งอย่างต่อเนื่องปลดปล่อยปราณดาบโมตีออกไป
หลิงฮันไม่น้อยหน้า เขาใช้สองนิ้วเป็นดาบและพุ่งเข้าไปรับการโจมตี
เฉ้ง เฉ้ง เฉ้ง เฉ้ง!
ทั้งสองคนปะทะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทั้งสองคนใช้ร่างกายของตนเองโจมตี แต่การปะทะกันของพวกเขากลับเป็นเสียงของโลหะกระทบกัน ผู้คนโดยรอบตะลึง สองคนนี้ขัดเกลากายหยาบจนน่ากลัวถึงขั้นไหนกันแน่?
แต่คนที่รู้สึกตกตะลึงมากที่สุดไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นอู๋เจ๋อ!