“พวกเจ้าหัวเราะอะไร?” หูเฟยหยินถามอย่างไม่พอใจ “หลิงฮันเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดและทรงพลังที่สุด!”
ทุกคนดูแปลกใจ พวกเขาไม่คิดว่าจะมีคนพูดปกป้องหลิงฮัน และนางก็เป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์เหมือนกัน ดังนั้นโดยปกติแล้วศิษย์เมล็ดพันธุ์จะมีความภาคภูมิใจและหยิ่งยโสเป็นของตัวเอง
ดังนั้นทุกคนจึงเกิดความอยากรู้อยากเห็นว่าชายหนุ่มคนนี้จะแข็งแกร่งแค่ไหน?
อู๋เจ๋อเกิดความรู้สึกอิจฉาในใจ เพราะเส้าสือสือกับหูเฟยหยิน สาวงามทั้งสองต่างแสดงความรักที่มีต่อหลิงฮัน ส่วนหูเฟยหยินไม่จำเป็นต้องพูดถึง หากมีใครพูดจาว่าร้ายใส่หลิงฮัน นางจะออกตัวปกป้องเขาทันที
นี่ทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก ทั้งที่เขาเป็นหนึ่งในหกราชัน โดยปกติแล้วจะมีศิษย์หญิงหลายคนคอยเข้ามาหว่านเสน่ห์ใส่ ทว่าในตอนนั้นเขาสนใจแค่การฝึกฝนวรยุทธเท่านั้นและไม่สนใจเรื่องความรักอะไรนั่นเลย แต่ในท้ายที่สุดเขาพบเส้าสือสือกับหูเฟยหยิน ซึ่งทำให้เขาหลงรักตั้งแต่แรกพบ ทว่าพวกนางทั้งสองคนกลับมีใจให้ชายอื่น
“มันเป็นแค่เรื่องล้อเล่นเท่านั้น เจ้าจะคิดมากไปทำไม?” ชายหนุ่มชุดเขียวกล่าว เขาคือฟูเหลียงเย่ที่พ่ายแพ้ให้กับหลิงฮันเมื่อหลายวันก่อน ตอนที่เขาหาผู้ติดตาม
ตอนนี้ที่มือของเขามีผ้าสีขาวพันอยู่ การโจมตีของหลิงฮันที่แฝงมาด้วยเจตจำนงแห่งเต๋าจะสามารถขับไล่ออกไปง่ายๆได้อย่างไร?
หากเจตจำนงแห่งเต๋าไม่หายไป แผลของเขาก็จะไม่ดีขึ้น
“ข้าคิดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่ขยะ อีกเป่าก็ปลิวแล้ว” ฟูเหลียงเย่กล่าวเหยียดหยาม
“สาวห้าว!” ติงผิงกระโจนออกไปทันทีและชี้นิ้วใส่ฟูเหลียงเย่ “ขอโทษเดี๋ยวนี้!”
“เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?” ฟูเหลียงเย่ไม่กล้าประมาท ถึงแม้ว่าติงผิงจะพ่ายแพ้ให้กับหลันหลวน แต่ยังไงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็ไม่ควรมองข้าม และบางทีเขาก็อาจไม่มีโอกาสชนะ
“เพราะหลิงฮันเป็นอาจารย์ของข้า!” ติงผิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หากไม่มีหลิงฮัน เขาก็คงไม่มีโอกาสมายืนอยู่ที่นี่ สำหรับติงผิงแล้วหลิงฮันเป็นผู้มีพระคุณ ไม่ว่าหลิงฮันจะพูดอะไร เขาก็จะไม่สงสัยในคำพูดของหลิงฮัน แล้วในเมื่อมีคนพูดจาไม่ดีใส่หลิงฮัน เขาจะปล่อยไปได้อย่างไร?
อะไรนะ!
ทุกคนดูตกตะลึงและภาพของหลิงฮันก็ผุดขึ้นมาในหัว
เขาสามารถฝึกฝนศิษย์ของตัวเองให้กลายเป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์ได้อย่างไร?
“เข้ามา!” ติงผิงคำราม เขาโกรธเกรี้ยวมากจนพลังภายในร่างกายเดือดพล่านมากกว่าปกติ
“หืม?”
หลิงฮันประหลาดใจที่เห็นว่าศิษย์คนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ หรือว่าพลังสายเลือดของเขากำลังตื่นขึ้นภายในความโกรธเกรี้ยวและเข้าสู่ระดับใหม่?
ฟูเหลียงเย่พูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นกลาง ข้าไม่อยากรังแกเจ้าให้เสียเวลา!”
เขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะติงผิงได้ อย่างที่สองเขายังบาดเจ็บที่มืออยู่ แม้เขาจะมีระดับบ่มเพาะพลังที่เหนือกว่าไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว แต่ในกรณีที่เขาเป็นฝ่ายแพ้โดยศัตรูที่มีระดับบ่มเพาะพลังต่ำกว่า เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
ติงผิงกำลังจะท้าทายอีกฝ่ายอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นจักรพรรดิพิรุณกระโจนออกมาและกดไหล่ของเขาเอาไว้และส่ายหน้า ติงผิงจึงหมดความคิดที่จะต่อสู้ นั่นเป็นเพราะจักรพรรดิพิรุณคือพี่รอง ถ้าอาจารย์ไม่อยู่เขาก็ต้องเชื่อฟังคำพูดของพี่รอง
“ข้าเองก็เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นกลาง หากข้าเสนอตัวต่อสู้กับเจ้า เจ้าจะถือว่าเป็นการรังแกข้าหรือไม่?” จักรพรรดิพิรุณกล่าว
อึก!
ฟูเหลียงเย่ถึงกับพูดไม่ออก ถึงแม้เขาจะพูดจาไม่ดีใส่คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่มันก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นมิใช่หรือ?
“แล้วเจ้ามีความสัมพันธ์กับหลิงฮันยังไง?” ฟูเหลียงเย่ถาม และเขารู้สึกหวาดกลัวจักรพรรดิพิรุณมากกว่าติงผิง
หากเขาต่อสู้กับติงผิง อย่างน้อยเขาก็ยังมีแต้มต่ออยู่บ้าง แต่ถ้าเขาต่อสู้กับจักรพรรดิพิรุณ เขายังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะต่อกรด้วยได้
จักรพรรดิพิรุณยกกำปั้นขึ้นมาและพูดว่า “หลิงฮันเป็นน้องสี่ของข้า!”
พรวด!
ทุกคนรู้สึกตกใจอีกครั้ง ศิษย์คนนี้้เป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์และน้องชายของเขาเองก็ยังเป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์ นี่พวกเจ้าเป็นสัตว์ประหลาดกันหรือไง?
“เข้ามาสู้กับข้า!” จักรพรรดิพิรุณคำราม
ใบหน้าของฟูเหลียงเย่เปลี่ยนไปมาก อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่มีความมั่นใจที่จะต่อสู้กับจักรพรรดิพิรุณ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้รับบาดเจ็บที่มืออยู่ ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “ข้าขอโทษ!”
มันคงเป็นเรื่องน่าละอายถ้าศิษย์เมล็ดพันธุ์กล่าวขอโทษผู้อื่นต่อหน้าทุกคน แต่มันก็ยังดีกว่าพ่ายแพ้ต่อหน้าทุกคน
จักรพรรดิพิรุณพยักหน้าและกลับไปยังที่เดิมเพื่อนั่งลง
น่าเกรงขาม!
ทุกคนจ้องมองจักรพรรดิพิรุณ ซึ่งเขาได้สร้างภาพลักษณ์ที่น่าเกรงขามขึ้นมา ถึงแม้ระดับบ่มเพาะพลังของเขาจะไม่ได้เหนือกว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ แต่ความน่าเกรงขามของเขาช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง และมีไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถปะมือกับเขาได้
ใบหน้าของอู๋เจ๋อดูน่าเกลียดขึ้นมาเล็กน้อย เดิมทีเขาเป็นคนควบคุมบรรยากาศที่อยู่ที่นี่ ทุกอย่างหมุนรอบตัวเขา ซึ่งเขาคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลาง แต่ตอนนี้กลับถูกใครบางคนแย่งชิงความโดดเด่นนั้นไป โดยคนที่เขาไม่เคยพบมาก่อน
“ศิษย์พี่อู๋ ท่านต่อสู้มาหลายคนแล้ว ดังนั้นท่านควรไปพักผ่อนและยกเวทีประลองนี้ให้กับข้า” ชายหนุ่มชุดขาวกระโจนออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้า
“ศิษย์น้องจาง!” ดวงตาของอู๋เจ๋อเบิกกว้างด้วยความดีใจ
ชายหนุ่มชุดขาวมีชื่อว่าจางหลง ในตอนแรกเขากับจางหลงนั้นมีชื่อเสียงพอกันและมีความแข็งแกร่งเท่ากัน แต่เมื่อร้อยปีก่อนเขาสามารถสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้สำเร็จ ในขณะที่จางหลงยังไม่ประสบความสำเร็จและช่องว่างระหว่างพวกเขาก็กว้างขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว
ถึงกระนั้น อู๋เจ๋อก็ไม่กล้าดูหมิ่นจางหลง เพราะพรสวรรค์ของอีกฝ่ายไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย อาจกล่าวได้ว่าโชคของอีกฝ่ายไม่ดีเท่าเขา แต่วันใดที่จางหลงสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้สำเร็จ เขาก็จะกลายเป็นคู่ที่น่าหวาดกลัว
“ฮ่าฮ่าฮ่า เช่นนั้นข้าจะมอบเวทีประลองนี้ให้กับศิษย์น้องจาง” อู๋เจ๋อคิดอยู่ชั่วครู่และพยักหน้า ก่อนที่จะเดินออกมาจากเวทีประลอง
เขาแสดงความแข็งแกร่งให้ทุกคนได้เห็นพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องแสดงมากไปกว่านี้
จางหลงกวาดสายตามอง ถึงแม้เขาจะจ้องมองธรรมดา แต่ก็สามารถทำให้คนที่ถูกจ้องมองรู้สึกหนาวสั่นจากก้นบึ้งของหัวใจราวกับกำลังถูกอสรพิษร้ายจ้องมอง จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่หลายคนจะก้มหน้าลงและไม่กล้าสบตาเขา
ถึงแม้เขาจะสร้างภูผาวารีสายที่ห้าไม่สำเร็จ แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็สามารถบดขยี้จอมยุทธที่อยู่ในระดับเดียวกันได้
ในที่สุดสายตาของเขาก็หยุดอยู่ที่หลิงฮัน
“ศิษยน้องคนนั้น เจ้าสนใจสู้กับข้าหรือไม่?” เขาพูดท้าทาย
ทุกคนรู้สึกแปลกใจ จางหลงต้องการต่อสู้กับหลิงฮัน?
ต้องทราบก่อนว่า จางหลงไม่ได้เข้าร่วมนิกายสวรรค์เยือกแข็งปีก่อน แต่เข้าร่วมเมื่อเก้าร้อยปีที่แล้ว ช่วงเวลาที่เขาฝึกฝนอยู่ในนิกายสวรรค์เยือกแข็งเป็นเวลาเก้าร้อยปี ถึงแม้เขาจะสร้างภูผาวารีสายที่ห้าไม่สำเร็จก็ตาม แต่มันก็ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น
กังสือหยุนแสยะยิ้ม ในที่สุดหลิงฮันก็จะถูกสั่งสอนต่อหน้าทุกคน