ในขณะเดินไปยังหุบเขาลานประลอง หลิงฮันก็ยังคงคิดถึงทักษะจิตเจ็ดสังหาร ในขณะที่ศึกษาทักษะนี้เขาอดนึกกลับไปถึงอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ไม่ได้
ทักษะจิตเจ็ดสังหาร มันคือขั้นที่สูงกว่าของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์
หากฝึกฝนสำเร็จในส่วนต้นจะทำให้สามารถใช้สัมผัสสวรรค์โจมตีศัตรูได้ ผู้ที่ถูกโจมตีจะเป็นอัมพาตไปชั่วขณะทำให้สูญเสียความสามารถในการต่อสสู้
ยกตัวอย่างเช่นหากจอมยุทธสองคนมีพลังต่อสู้เท่ากันหรือต่างกันเล็กน้อย หากใช้ทักษะจิตเจ็ดสังหารหยุดการเคลื่อนของอีกฝ่ายเอาไว้ ก็จะสามารถใช้โอกาสใช้จู่โจมและคว้าชัยชนะมาได้อย่างง่ายดาย
เพียงแต่ว่าหากอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่ามาก แม้จะหยุดการเคลื่อนไหวแต่ก็คงไม่อาจจู่โจมจนได้รับชัยชนะ
แต่ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็ถือว่าเป็นทักษะยุทธระดับศักดิ์สิทธิ์ที่ฝืนสวรรค์อย่างแท้จริง มันสามารถทำให้จอมยุทธต่อกรกับศัตรูที่มีระดับพลังสูงกว่าได้
ยิ่งกว่านั้นหลังจากฝึกฝนทักษะจนบรรลุขั้นสูงสุดแล้ว ผู้ใช้จะสามารถสังหารวิญญาณของศัตรูได้โดยตรง
ในขณะที่คิดเช่นนี้เขาก็เดินมาถึงหุบเขาที่ใช้ประลองแล้ว
นี่คือหนึ่งในสามหุบเขาที่สูงที่สุดของสำนัก ลานประลองขนาดถูกสร้างเอาไว้ที่บริเวณไหล่เขา วัสดุที่ได้สร้างนั้นถูกเสริมให้แข็งทนทาน แม้แต่จอมยุทธระดับภูผาวารีก็ยังยากที่จะทำลาย
“หลิงฮันมาแล้ว!”
เมื่อเห็นหลิงฮันปรากฏตัวที่เชิงเขา ทุกคนก็ส่งเสียงด้วยความตื่นเต้น
การประลองเป็นตายไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยในสำนัก ลูกศิษย์ที่นี่นั้นยังเยาว์วัยและมักจะมุ่งเน้นไปกับการบ่มเพาะพลังเพียงอย่างเดียว พวกเขาไม่มีโอกาสได้มีประสบการณ์นองเลือดมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกสนใจในการกระลองเป็นตายอย่างมาก
เส้นทางแห่งวรยุทธนั้นหลีกหนีชะตาแห่งการนองเลือดและการสังหารไม่พ้น
ทุกคนจ้องมองมายังหลิงฮัน ชายคนนี้เป็นตำนานที่แท้จริง ถึงแม้เขาจะเข้าสำนักมาเพียงเดือนเดียว แต่ชื่อเสียงของเขามีมากขนาดไหน?
จักรพรรดิที่เปิดสวรรค์สำเร็จ
ตบหน้าหลัวป้าและข่มขู่ตระกูลหลัว
ได้ครอบครองเทพธิดาของสำนักอย่างสุ่ยเยี่ยนยวี่จนทำให้ทุกคนรู้สึกอิจฉาและยั่วยุจ้าวหลัวจนถูกหมายหัว
ศิษย์ใหม่คนใดบ้างจะอุกอาจได้ขนาดนี้?
“อืม… จักรพรรดิที่เปิดสวรรค์สำเร็จงั้นรึ เช่นนั้นพลังต่อสู้ของเขาก็คงจะบรรลุขีดจำกัดยี่สิบดาว” บนต้นไม้ใหญ่มีรุ่นเยาว์ชุดคลุมเหลืองยืนอยู่ มือทั้งสองข้างของเขาพาดเอาไว้ด้านหลังและมีใบหน้าที่องอาจ
“พี่ชายเย่ ทำไมท่านต้องหวาดกลัวด้วย? ท่านคือจอมยุทธอันดับหนึ่งของสำนักฝ่ายตะวันออก ไม่ใช่ว่าเมื่อสิบปีก่อนท่านก็ขัดเกลาพลังต่อสู้จนถึงยี่สิบดาวแล้วรึ?” ข้างๆเขาปรากฏรุ่นเยาว์อีกคนหนึ่ง รุ่นเยาว์ผู้นี้สวมชุดเขียวตั้งแต่หัวจรดเท้า
รุ่นเยาว์ชุดเหลืองแสดงสีหน้าที่แสนภูมิใจออกมาและกล่าว “จวิ้นเหริน เจ้าเองก็ไม่ยอมฝึกฝนให้หนัก พลังต่อสู้ของเจ้าถึงได้หยุดนิ่งอยู่ที่สิบเก้าดาวไม่บรรลุยี่สิบดาวเสียที”
“ฮ่าๆ ท่านก็รู้จักนิสัยข้าดีไม่ใช่รึไง” รุ่นเยาว์ชุดเขียวยิ้ม
ชายชุดเหลืองมีชื่อว่าเย่เชิงหยุน จอมยุทธระดับทลายมิติอันดับหนึ่งของสำนักฝ่ายตะวันออก ส่วนชายชุดเขียวมีชื่อว่าโม่จวิ้นเหริน เป็นสหายคนสนิทของเย่เชิงหยุน พวกเขาทั้งสองเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กราวกับเป็นพี่น้อง
“พี่ชายเย่ นี่ก็ผ่านมานานแล้วแต่ท่านไมยอมทะลวงผ่านระดับภูผาวารีเสียที ท่านคงจะอยากขัดเกลาพลังต่อสู้ในระดับทลายมิติให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ในระยะเวลาร้อยปี ข้าสงสัยจริงๆว่าตอนนี้ท่านจะมีพลังต่อสู้มากถึงกี่ดาวแล้ว?” โม่จวิ้นเหรินกล่าว
เย่เชิงหยุนหัวเราะ “ถ้าหลิงฮันแข็งแกร่งจริง เจ้าก็คงมีโอกาสได้เห็นพลังของข้า”
“พี่ชายเย่ ท่านจะท้าประลองกับจอมยุทธจากโลกใบเล็กรึ?” โม่จวิ้นเหรินแปลกใจ
“นี่ก็หลายปีแล้วที่ข้าไม่ได้สู้ประลอง ข้าก็กลัวว่าคนอื่นจะลืมข้าไปแล้วเหมือนกัน ฮ่าๆ” สายตาของเย่เชิงหยุนมองตามแผ่นหลังหลิงฮัน ทันใดนั้นเมื่อหลัวป้าปรากฏตัว เขาก็อดแสดงท่าทีตกตะลึงออกมาไม่ได้ “หลัวป้าผู้นี้ไม่ง่ายเสียแล้ว ดูเหมือนพลังต่อสู้ของเขาจะเกินกว่าขีดจำกัดยี่สิบดาว”
“อะไรกัน!” โม่จวิ้นเหรินตกตะลึง
“เขาจะต้องดูดซับสมบัติบางอย่างไปแน่นอน สมบัติที่ว่าจะต้องเป็นสมบัติระดับศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ให้เกินยี่สิบดาว” เย่เชิงหยุนคาดเดา
สายตาของเขาเฉียบแหลมมาก สถานการณ์ของหลัวป้าเป็นอย่างที่เขาคาดเดาจริงๆ ศิลาหยาดโลหิตไม่ใช่สมบัติที่ช่วยขัดเกลาพลังต่อสู้ดั้งเดิมของหลัวป้าแต่มันช่วยเพิ่มพลังต่อสู้แทน แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็ไม่ต่างอะไรกันอยู่ดี
“ข้าเริ่มคันมือแล้วสิ!” เย่เชิงหยุนหัวเราะและกระโดดลงจากต้นไม้ เขาปรากฏตัวด้านหน้าหลังป้าก่อนจะปล่อยฝ่ามือและกล่าว “หลัวป้า พวกเรามาแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันสักสามกระบวนท่า!”
ในสำนักนั้นตราบใดที่มีพลังบ่มเพาะเท่ากัน การขอแลกเปลี่ยนกระบวนท่าก็สามารถทำได้ทุกเมื่อหากไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายตกตายหรือพิการ
หลัวป้าอดคำรามออกมามาได้ ตอนนี้เขารอที่จะฉีกกระชากหลิงฮันให้เป็นชิ้นๆและทำให้อีกฝ่ายอับอายต่อสู้ฝูงชนไม่ไหวแล้ว
เมื่อต้องมาถูกเย่เชิงหยุนรบกวน เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอารมณ์เสีย
“ฮึ่ม!” หลัวป้าเค้นเสียงเย็นชาและปล่อยฝ่ายมือต่อต้านเย่เชิงหยุน
‘ปัง!’
เมื่อมือเข้าปะทะกันก็ปรากฏภาพเงาของสิ่งมีชีวิตที่เหมือนนก ร่างของมันมีสีแดงราวกับเปลวเพลิง มีหกขาสี่ปีกและไม่มีทั้งห้วและปากเนื่องจากมีปีคู่หนึ่งงอกขึ้นมาบนหน้าของมันแทน
แม้ภาพเงาของนกที่ปรากฏจะดูน่าตลกแต่คนที่ดูเหตุการณ์อยู่กลับไม่มีใครกล้าหัวเราะแม้แต่น้อย
“ตี่เจียง” ใครบางคนอุทานด้วยเสียงสั่น
มันคือสัตว์อสูรระดับพระเจ้า ตี่เจียง!
บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์สัตว์อสูรที่ถูกจัดอยู่ในระดับพระเจ้านั้นไม่ใช่สัตว์อสูรระดับภูผาวารีแต่เป็นระดับสร้างสรรพสิ่ง
หนึ่งฝ่ามือทำให้ปรากฏภาพเงาของสัตว์อสูรระดับพระเจ้านั้นเป็นไปได้อย่างไรกัน?
เย่เชิงหยุนไม่แสดงท่าทีประหลาดใจแต่กลับหัวเราะ “เจ้าดูดซับศิลาหยาดโลหิต? ถ้างั้นการที่มีภาพเงาของเจ้าของโลหิตปรากฏก็ไม่ใช่เรื่องแปลก! แต่ว่ามันก็เป็นแค่ภาพ หากคิดจะชนะข้าแค่นั้นมันยังไม่พอ!”
เย่เชิงหยุนคำรามพร้อมกับแสงสีทองที่ส่องประกายไปทั่วร่าง แสงสีทองนี้ทำให้เย่เชิงหยุนดูแข็งแกร่งอย่างมาก
‘ตูม’ เขายกหมัดและโจมตีเข้าใส่หลัวป้า