ติงผิงวางก้อนลงขนาดใหญ่ลงกับพื้นและจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยท่าทางสงสัย อีกฝ่ายไม่ได้มีอายุมากไปกว่าเขาเลย แล้วจะเป็นอาจารย์ให้กับเขาได้อย่างไร? เขาพูดว่า “แล้วเจ้าสามารถสอนอะไรข้าได้ และข้าจะได้เรียนรู้อะไรจากเจ้า?”
ประโยคแรกคือคำถามว่าหลิงฮันจะสอนอะไรเขาได้ ส่วนประโยคที่สองคือเขาที่เป็นคนไร้ค่าจะมีทักษะหรือเทคนิคใดบ้างที่เขาสามารถเรียนรู้ได้ภายในท้องฟ้าแห่งนี้?
หลิงฮันยิ้มและเดินไปที่ก้อนหินขนาดใหญ่ เขายื่นมือออกไปและยกก้อนหินขนาดใหญ่ขึ้นมาด้วยมือข้างเดียวได้อย่างง่ายดาย ราวกับว่ามันไม่ใช่ก้อนหิน
“พรวด!”ดวงตาของติงผิงเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถฝึกฝนบ่มเพาะพลังได้ แต่ด้วยความแข็งแกร่งทางกายของเขา ทำให้เขาแข็งแกร่งกว่าคนอื่นในเมืองเท่านั้น แต่ยังไงเขาก็ไม่สามารถยกก้อนหินขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ด้วยมือข้างเดียวอยู่ดี
หลิงฮันโยนก้อนหินขนาดใหญ่ออกไปเพื่อให้ดูง่ายดายมากยิ่งขึ้น
แน่นอน ถ้าเขาไม่กลัวว่าเจ้าเด็กที่ชื่อผิงติงจะตกใจตาย เขาคงยกภูเขาให้อีกฝ่ายเห็นไปแล้ว! ระดับพลังของเขาในปัจจุบันเองก็ทะลวงผ่านระดับทลายมิติแล้ว ถึงแม้จะไม่ใช่พลังปราณก่อเกิด เพียงแค่พละกำลังก็เพียงพอแล้ว
ช่วยไม่ได้ที่ติงผิงจะรู้สึกตกตะลึง อีกฝ่ายไม่ได้ยกก้อนหินขนาดใหญ่ได้ด้วยมือข้างเดียวเท่านั้น แต่ยังสามารถปาออกไปได้ด้วยราวกับเป็นก้อนกรวด นี่เขาจะเป็นฝันเป็นแน่
“จับตาดูให้ดี!” หลิงฮันยิ้มและขว้างก้อนหินขนาดใหญ่อีกก้อนขึ้นไปบนฟ้าราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่
ติงผิงอ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึงเพียงพอที่จะเขมือบหัวมนุษย์เข้าไปได้ และแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเปล่งประกาย
นี่สินะสิ่งที่เรียกว่าพลัง!
“หากไม่มีรากฐานวิญญาณก็ยังสามารถบดขยี้ทุกอย่างได้เมื่อแข็งแกร่งเพียงพอ!” หลิงฮันกล่าวและหยุดพูดชั่วขณะ แล้วทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ตุบ ก้อนหินขนาดใหญ่ตกลงมาในมือของเขา และนำมันกลับไปวางลงบนพื้นแล้วพูดต่อว่า “และรากฐานวิญญาณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้!”
“ท่านอาจารย์!” ติงผิงคุกเข่าลงกับพื้นทันที และคำนับหลิงฮันในฐานะอาจารย์
หลิงฮันเบื่อที่จะให้คนอื่นมากราบไหว้ เขารีบพยุงตัวติงผิงขึ้นมาและพูดว่า “เจ้าจะเป็นศิษย์คนที่ห้าของข้า…”
ติงผิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หลิงฮันดูไม่ได้แก่ไปกว่าเขาเลย แต่เขากลับมีลูกศิษย์สี่คนแล้ว? แต่ยังไงเสียเขาก็สามารถโยนก้อนหินขนาดใหญ่ได้ นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากในความคิดของเขา
“กระบวนการที่ข้าจะทำต่อไปนี้จะกินเวลาหลายวัน อย่างแรกข้าจะชำระล้างไขกระดูกของเจ้าก่อน และจะเริ่มลงมือทันทีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา” หลิงฮันกล่าว
ติงผิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น เขารีบไปทำให้เนื้อตัวสะอาดทันที
จากนั้นหลิงฮันก็นำเตาหลอมและสมุนไพรจำนวนมากออกมากองเอาไว้
เมื่อเห็นหลิงฮันนำของมากมายออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าได้ ช่วยไม่ได้ที่ติงผิงจะรู้สึกตกใจ อาจารย์ของเขาเป็นพระเจ้าหรือไงกัน? และดูเหมือนจะมีสมบัติมากมายอยู่ภายในตัวเขา
“ฮ่าฮ่าฮ่า แล้วเจ้าจะรู้ทีหลัง” หลิงฮันยิ้มและโยนสมุนไพรและจับติงผิงเข้าไปในเตาหลอม แล้วพูดว่า “กระบวนการที่ข้าจะทำจะทำให้ผิวหนัง กระดูก และเลือดเนื้อของเจ้าแข็งแกร่งขึ้น แต่กระบวนการนี้ก็จะทำให้เจ้ารู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมากเช่นกัน”
หลิงฮันหยุดพูดและพูดต่อว่า “เจ้าสามารถยอมแพ้ได้ทุกเมื่อ แต่เมื่อใดที่เจ้ายอมแพ้ เจ้าจะไม่มีคุณสมบัติที่จะได้เป็นศิษย์ของข้าอีกต่อไป!”
“อาจารย์ ข้าเตรียมใจพร้อมแล้ว!” แววตาของติงผิงดูแน่วแน่ เขาคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่า แต่ในเมื่อมีแสงแห่งความหวังปรากฏอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะยังไงก็ตามเขาก็จะต้องคว้ามันเอาไว้ให้ได้
ความเจ็บปวดที่ได้รับมันจะเจ็บปวดกว่าความเจ็บปวดที่เขาประสบมาตลอดทั้งชีวิตได้อย่างไร?
หลิงฮันส่งเสียงหัวเราะและเปลี่ยนติงผิงให้กลายเป็นเตาหลอมและเริ่มขัดเกลาร่างกายของเขา
ตอนนี้เขาแข็งแกร่งขนาดไหน และสมุนไพรที่เขาใช้มีค่ามากแค่ไหน? สมุนไพรที่เขาใช้กับติงผิงแต่จอมยุทธระดับทลายมิติยังต้องจ้องมองด้วยความอิจฉา ในทวีปฮงเทียนมีจอมยุทธมากมายมหาศาล แต่จะมีสักกี่คนกันที่สามารถยกระดับกายหยาบให้เทียบเท่ากับแร่เหล็กระดับสิบ?
สองคน!
หม่าตั๋วเป่าและเฮ่อเหลียนเทียนหยุน ส่วนอ้าวเจี้ยนที่มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถือว่าไม่นับ
และถ้ากายหยาบได้รับการขัดเขลาทุกวัน มันเป็นไปได้สูงที่จะทำให้คนธรรมดามีกายหยาบเทียบเท่ากับแร่เหล็กระดับสิบ แต่สิ่งที่ต้องใช้คืออะไร? สมุนไพรล้ำค่านับไม่ถ้วนบวกกับจักรพรรดินักปรุงยาที่เป็นจอมยุทธระดับทลายมิติขั้นเก้าลงมือด้วยตัวเอง
อาจกล่าวได้ว่าไม่มีใครอื่นนอกเหนือจากหลิงฮันที่สามารถทำได้
“อ๊าก-” ติงผิงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดราวกับหมูโดนเชือด
นี่มันเจ็บปวดเกินไป!
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาส่งเสียงกรีดร้องออกมาได้สักพัก เขาบังคับให้ปากของตัวเองหุบลงและกัดฟันแน่นแบกรับความเจ็บปวดที่ได้รับ
ร่างกายของเขาปกคลุมไปด้วยหยาดเหงื่อ และกระดูกของเขาก็เริ่มส่งเสียงดังออกมา
นี่ไม่ใช่การชำระไขกระดูกธรรมดา แต่เป็นการทำลายกระดูกเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกและสร้างขึ้นมาใหม่ และทำลายอีกครั้งและสร้างขึ้นมาใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนกับใช้กระดูกเป็นเหล็กและตีมันซ้ำไปซ้ำมา
หลังจากนั้นไม่นาน ติงผิงส่งเสียงกรีดร้องอยู่ในลำคอ และมีโลหิตไหลออกมาจากดวงตาของเขา แต่เขาก็ยังคงกัดฟันแน่น
ไม่เลว!
หลิงฮันพยักหน้าอยู่ในใจ โครงสร้างกระดูกของเจ้าเด็กนี่แตกต่างจากคนทั่วไป และมีความแข็งแกร่งที่น่าประหลาดใจ ซึ่งทำให้เขาอยากยื่นมือเข้ามาช่วยอีกฝ่ายฝึกฝนกายหยาบ อย่างไรก็ตาม แค่พรสวรรค์เพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอที่จะปีนไปถึงจุดสูงสุดของวีถีวรยุทธได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหัวใจที่ไม่มีวันยอมแพ้
อาจกล่าวได้ว่าผู้คนที่มีพรสวรรค์สูงส่งและต่ำต้อยอาจปีนไปไม่ถึงจุดสูงสุดของวิถีวรยุทธ แต่บรรดาผู้คนที่มีพรสวรรค์ต่ำต้อยมักจะมีความมุ่งมั่น แต่แน่นอนว่าถ้าจะให้ดีที่สุดคือต้องมีทั้งพรสวรรค์และความมุ่งมั่น
ตอนนี้ติงผิงมีทั้งพรสวรรค์และความมุ่งมั่น ซึ่งทำให้หลิงฮันรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
กระบวนการขัดเกลาร่างกายดำเนินต่อไปตลอดทั้งวันทั้งคืน ในช่วงเวลานั้น ตระกูลติงไม่ส่งคนออกตามหาติงผิงแม้แต่คนเดียว นี่แสดงให้เห็นว่าติงผิงถูกตระกูลของตัวเองทอดทิ้งอย่างเห็นได้ชัด
หลิงฮันเปิดเตาหลอมและพาติงผิงออกมา แล้วพูดว่า “ตามข้ามา ข้าจะถ่ายทอดเทคนิคบ่มเพาะกายาให้กับเจ้า!”
เทคนิคเก้ามังกรทรราช!
ในที่สุดติงผิงก็เป็นอิสระจากขุมนรก และค้นพบทันทีว่าเขาก้าวหน้ามากขึ้นแค่ไหน ตอนนี้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพละกำลังราวกับว่าเขาสามารถทำลายภูเขาได้ด้วยหมัดเดียว
ติงผิงรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ขอรับ!”
หลิงฮันถ่ายทอดเทคนิคให้อีกฝ่ายฟังอย่างละเอียด ถ้อยคำบางอย่างก็ไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูด เขาจึงถ่ายทอดเทคนิคผ่านสัมผัสสวรรค์โดยตรง
หลิงฮันที่เป็นจอมยุทธระดับทลายมิติขั้นเก้าแล้วเขาจะไม่มีความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไร?
แปดราชันเองก็สามารถถ่ายทอดทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์ให้กันได้ผ่านสัมผัสสวรรค์ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึงหลิงฮันเลย
ติงผิงเริ่มที่จะฝึกฝนเทคนิคเก้ามังกรทรราช แต่หลังจากนั้นชั่วครู่ ท้องของเขาก็ส่งเสียงร้องออกมาราวกับฟ้าผ่า จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่ใบหน้าของเขาจะกลายเป็นสีแดงด้วยความเขินอายเล็กน้อย
หิว!