“ตามที่คุณไคพูด คนแรกต้องรับผิดชอบในการเดิมพันบนม้าทุกตัว” ฉินเฉิงยิ้ม “คุณชายไค 12คนเท่าไหร่หรอ? คุณคิดเอาเองละกัน”
ไคเตาโยนเสื้อผ้าในมือของเขาลงไปที่พื้นแล้วชี้หน้าด่าฉินเฉิง “แม่งเอ้ย แกล้งฉันเล่นหรอ แกโกงหรือเปล่าเนี่ย”
ฉินเฉิงเหลือบมองเขาและพูดอย่างเย็นชา “นายไม่ต้องการนิ้วแล้วหรอ”
ออร่าสังหารที่เยือกเย็นก็ระเบิดออกมา ไคเตาจัวสั่นเทาด้วยความตกใจและดึงมือกลับมาโดยไม่รู้ตัว
“นี่… แก ฉันจำแกได้แล้ว แกชื่ออะไรนะ” ไคเตาถาม
“ฉินเฉิง”
“นายคือฉินเฉิงหรอ” สีหน้าของไคเตาเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขารีบอธิบาย “โอ้ คุณคือฉินเฉิงนี่เอง คุณเป็นเพื่อนกับเจ้านายของเราใช่ไหมเขาเคยพูดถึงคุณ เขาพูดว่า…”
ไคเตายังพูดไม่จบ ฉินเฉิงก็หันหลังกลับและเดินจากไป
หลังจากเดินออกจากสนามแข่งกับหนานหวางแล้ว หนานหวางก็ยิ้มและพูดว่า “คนสมัยนี้ประสบความสำเร็จก็จะยโสโอหังมองไม่เห็นหัวผู้อื่น”
“ใช่” ฉินเฉิงพยักหน้าและพูด
“ไปเถอะ พวกเราไปเล่นกอล์ฟกันสักหน่อย” หนานหวางเอามือตบบนไหล่ของฉินเฉิง
ฉินเฉิงกำลังจะตอบตกลงแต่แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ยกมือมาตบหน้าผากของเขาทันที
ที่โทรมาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเจ้าสำนักตำหนักเทพโอสถ
ฉินเฉิงได้นัดหมายกับเจ้าสำนักเพื่อไปดูอาการของจินฮู่ แต่เขาก็ลืมเรื่องนี้ไปในพริบตา!
“พี่หนานหวาง ฉันเกรงว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว” ฉินเฉิงพูดอย่างช่วยไม่ได้
พูดเสร็จก็หยิบโทรศัพท์มารับสายพร้อมกับเดินจากไป
“ฉันถึงปินเฉิงแล้ว” ทันทีที่รับโทรศัพท์ ก็ได้ยินเสียงอันเย็นชาและเงียบสงบของเจ้าสำนัก
ฉินเฉิงพูดตะกุกตะกัก “ท…ท่านเจ้าสำนัก รอฉันสักครู่ ฉันจะรีบกลับไปทันที
ฉินเฉิงวางสายอย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะรอเจ้าสำนักตอบ
“พี่หนานหวาง ช่วยหารถและพาฉันไปที่สนามบินได้ไหม” ฉินเฉิงยิ้มเจื่อนๆ
“รีบอะไรขนาดนั้น” หนานหวางถามด้วยความประหลาดใจ
ฉินเฉิงโบกมือ ไม่มีคำอธิบาย
“งั้นไปกันเถอะ ฉันจะพากลับเดี๋ยวนี้เอง” หนานหวางดึงประตูรถและพาฉินเฉิงไปที่สนามบิน
ระหว่างทาง หนานหวางเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ถ้ามีเวลาต้องมาเล่นกับฉันนะ มาคุยเรื่องศิลปะป้องกันตัวด้วย!”
ฉินเฉิงพยักหน้าอย่างจริงจังและพูดว่า “เมื่อฉันทำงานเสร็จ ฉันจะมาแน่นอน!”
“เออใช่ ใกล้จะถึงเวลาที่นายจะสู้กับซูหยู่แล้วนี่?” จู่ๆหนานหวางก็นึกขึ้นได้
ฉินเฉิงยิ้มอย่างขมขื่น “ใช่แล้ว เหลือเวลาไม่ถึงสองเดือน”
หน่านหวางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถึงตอนนั้น ฉันจะไปที่นั่นแน่นอน!”
รถขับไปจนถึงสนามบิน หลังจากที่ฉินเฉิงลงจากรถ เขาก็รีบกลับ
เจ้าสำนักเดินทางมาด้วยตนเอง ซึ่งหาได้ยากนักในตำหนักเทพโอสถ
นอกจากคนที่ยืนอยู่บนยอดปิรามิดที่มีเพียงไม่กี่คน ไม่มีใครสามารถทำให้เจ้าสำนักมารักษาอาการเจ็บป่วยได้ด้วยตนเอง อาจพูดได้ว่าฉินเฉิงเป็นคนแรก
ในขณะเดียวกัน มีคนแอบตามไปปินเฉิง
“ในที่สุดโอกาสก็มาแล้ว” ชายที่ดูดุร้ายพูดอย่างเย็นชา
“โทรหาคุณนายเสียวหยู่เชี้ยนก่อน” อีกคนพูด
ดังนั้นพวกเขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและกดหมายเลขของเสียวหยู่เชี้ยน
หลังจากรับสายแล้ว เสียวหยู่เชี้ยนก็ถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
“นางเสียวหยู่เชี้ยน เจ้าสำนักตำหนักตำหนักเทพโอสถไปปินเฉิง อยากให้ลงมือไหม?”
เสียวหยู่เชี้ยนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกระซิบ “ถ้าจะลงมือ ต้องมีความมั่นใจเต็มที่เข้าใจไหม นอกจากนี้จะต้องไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลซู”
“คุณนาย อย่ากังวลไป ฉันได้ตรวจสอบแล้ว เจ้าตำหนักตำหนักเทพยาเป็นเพียงแค่จอมยุท์ระดับ 7 เท่านั้น ครั้งนี้เราได้ส่งจอมยุทธ์ไปสิบสองคน นางจะต้องตายอย่างแน่นอน!” ชายผู้ที่เป็นผู้นำ พูดอย่างเย็นชาว่า “รอฉันจัดการเรื่องเสร็จแล้วเราจะออกนอกประเทศทันที”
เสียวหยู่เชี้ยนทำเสียงฮืมพอใจ “รอฟังข่าวดีจากนายอยู่นะ”
แล้วก็วางสายไป
…
“เจ้าสำนัก ผู้อาวุโสฉินยังไม่มาหรือ?” เหยาถงที่ติดตามมาเอ่ยถาม
เจ้าสำนักหวีผมเบา ๆ และไม่ตอบคำถามนี้ แล้วพูดอย่างเบาๆ “เราไปหาที่พักกันก่อนเถอะ”
“ครับ ท่านเจ้าสำนัก” เหยาถงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
พวกเขาพบโรงแรมที่ดีที่สุดในปินเฉิงผ่านทางอินเตอร์เน็ต แล้วก็เดินไปหาทันที
เมื่อเช็คอินที่แผนกต้อนรับ ชายข้าง ๆ เขาจ้องไปที่เจ้าสำนักอย่างไม่กระพริบตา
วันนั้น เจ้าสำนักใส่รองเท้าส้นสูงและสวมชุดกี่เพ้า ทำให้รูปร่างที่สมบูรณ์แบบและเซ็กซี่ของเธอดูมีเสน่ห์อย่างยิ่ง
เอวที่เพรียวบางราวงูน้ำ ต้นขาเรียวและสีขาว และหน้าอกที่สูงตระหง่าน ทุกๆส่วนช่างยอดเยี่ยม!
ชายคนนั้นกลืนน้ำลาย ก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “คนสวย คุณสวยมาก!”
เจ้าสำนักไม่แม้แต่จะมองเขา หลับตาลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ชายผู้นั้นเอื้อมมือไปที่ก้นของเจ้าสำนักอย่างกล้าหาญ
“ป้าบ!”
ก่อนที่มือของเขาจะสัมผัสเจ้าสำนัก ร่างกายของเขาก็กระเด็นลอยกลับหัว แล้วก็ล้มลงกับพื้น เลือดก็ไหลออกมาไม่หยุด!
“กล้าพูดจาหยาบคายใส่เจ้าสำนัก รนหาที่ตายจริงๆ!” เหยาถงตะโกนอย่างโกรธจัด
แผนกต้อนรับดูแน่นิ่งไปซักพัก ผู้หญิงคนนี้สวยแต่ดุมาก!
ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากบินมาหลายชั่วโมง ในที่สุดฉินเฉิงก็มาถึงปินเฉิง
เขารีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและกดหมายเลขของเจ้าสำนัก
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านอยู่ที่ไหน” ฉินเฉิงถาม
“หือ? ที่นี่คือที่ไหน?” เจ้าสำนักถามเหยาถง
เหยาถงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ผู้อาวุโสฉิน ตอนนี้เราอยู่ที่ห้อง 1903 ของโรงแรมรุ่ยห่าว”
“โอเค ฉันจะรีบไป” หลังจากวางสาย ฉินเฉิงก็รีบไปที่โรงแรมรุ่ยห่าว
หลังจากใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดฉินเฉิงก็มาถึงห้องของเจ้าสำนัก
เขาพูดอย่างสำนึกผิด “ท่านเจ้าสำนัก ฉันขอโทษจริงๆ ฉันมีเรื่องนิดหน่อย ฉันปล่อยให้ท่านรอเป็นนาน”
เจ้าสำนักพยักหน้าเบา ๆ เธอเหลือบมองที่ฉินเฉิงและพูด “นายก้าวหน้าเร็วมาก แม้แต่ระดับจอมยุทธ์ก็ไม่สามารถจะสู้กับร่างกายของนายได้”
ฉินเฉิงพูดด้วยความประหลาดใจ: “ท่านดูออกเหรอ”
เจ้าสำนักไม่ตอบ แต่ยังคงถามต่อไปว่า “มั่นใจไหม?”
ฉินเฉิงรู้ดีว่าเจ้าสำนักหมายถึงอะไร เขาถอนหายใจและพูดว่า “ถ้าฉันก้าวเข้าไปในระดับจอมยุทธ์ ฉันคงมั่นใจแน่ๆ แต่ตอนนี้… ฉันไม่กล้าพูด”
เจ้าสำนักถอนหายใจแล้วพูดอย่างเป็นกันเองว่า “หนึ่งเดือนจากนี้ สสมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตูมีประสบการณ์อย่างโชกโชน ฉันได้ขอให้คนไปลงทะเบียนให้นายแล้ว บางทีนี่อาจเป็นโอกาสของนาย”
ฉินเฉิงได้ยินคำพูดนั้นจึงตอบว่า “ขอบคุณครับท่านเจ้าสำนัก!”
ในขณะนี้ ตาของเจ้าสำนักก็หรี่ลงอย่างกะทันหัน คิ้วของนางขมวดเล็กน้อย และกระซิบว่า “มีคนกำลังมา”