“ฉันไม่เห็นว่าเธอจะมีดีตรงไหนเลย”
“ฉันลาออกแล้วค่ะ มาพูดอย่างนี้กับฉันไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ต่อไปนี้คุณก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบแล้ว ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอคะ” ถังอี้เฉินเหยียดยิ้ม “อย่าบอกนะคะว่าคุณก็ยังไม่สบายใจถึงฉันจะไม่อยู่น่ะค่ะ”
“เธอก็ตัดสินใจถูกแล้วนี่ ยังไงก็ไม่มีใครแย่งของที่ฉันต้องการไปได้หรอก”
ถังอี้เฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา หากลู่กวงหลีล่อลวงง่ายขนาดนั้นเขาคงจะไม่อยู่ตัวคนเดียวแบบนี้
“โชคดีแล้วกันนะคะ”
สิ้นคำ ถังอี้เฉินเดินผ่านอีกฝ่ายจากไป ทว่าในจังหวะที่พวกเธอสวนกัน ลูกสาวผู้อำนวยการโรงพยาบาลกลับว่าสำทับ “พอถึงเวลาฉันจะเชิญเธอไปงานแต่งงานของเราแล้วกันนะ”
อย่างไรก็ตามเธอคงไม่อาจคว้าโอกาสนั้นไว้ได้อีกแล้ว เพราะลู่กวงหลีได้ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังพวกเธอ เมื่อได้ยินสิ่งที่พวกเธอพูดกัน เขาเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวทั้งสองคนก่อนคว้าแขนถังอี้เฉินและประกบจูบลงบนริมฝีปากของเธอต่อหน้าทุกคน…
“โว้ว…”
ผู้คนต่างส่งเสียงอย่างแตกตื่นเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แม้แต่ถังอี้เฉินยังนิ่งค้างไป
ไม่นานหลังจากนั้น เขาผละออกมาจากเธอพร้อมรอยยิ้มบางที่หลงเหลืออยู่ “เธอควรจะหลับตาตอนที่ฉันจูบเธอไม่ใช่หรือไง”
ถังอี้เฉินตกตะลึงจนไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร
ลู่กวงหลีรั้งกายเธอเข้ามาในอ้อมแขนก่อนเอ่ยกับลูกสาวผู้อำนวยการ “ไหนๆ ถังอี้เฉินก็ลาออกแล้ว คงไม่จำเป็นต้องปกปิดความสัมพันธ์ของเราอีกแล้วล่ะครับ”
“เราไปมีความสัมพันธ์อะไรกันไม่ทราบ” ถังอี้เฉินพยายามสะบัดตัวออก
“แล้วเธอคิดว่าอะไรล่ะ” เขาถามเสียงเข้ม เธอไม่ตอบพลางก้มหน้างุด
“นอกจากเธอแล้วฉันเคยจูบแค่กับหมาที่บ้านนะ…”
“ไม่จริง พวกคุณจะมีความสัมพันธ์ อย่างนั้น กันได้ยังไง” ลูกสาวผู้อำนวยการท้วงขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ “เห็นๆ กันอยู่ว่าพวกคุณไม่ได้…”
“เราต้องรายงานเรื่องส่วนตัวกับคุณด้วยหรือยังไงครับ” เขาถามกลับอย่างเยาะเย้ยก่อนหันไปมองหน้าถังอี้เฉิน “เธอไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะตามไปหาคืนนี้”
ถังอี้เฉินหลบออกไปทันที เธอไม่รู้ว่าลู่กวงหลีกำลังคิดทำอะไรอยู่
ชายคนนี้อันตรายเกินไป เธอต้องอยู่ให้ห่างจากเขาที่สุดเท่าที่จะทำได้
เป็นเรื่องปกติที่ถังอี้เฉินผู้ไม่สนโลก แท้จริงแล้วจะนึกขี้ขลาดเมื่อเป็นเรื่องของความรัก เมื่อคนอื่นแผ่รังสีอันตรายออกมาแม้เพียงนิดเธอก็จะหลบหนีไปซ่อนทันที
ลู่กวงหลีรู้ดีว่าถังอี้เฉินเป็นคนอย่างไร เขาจึงตัดสินใจอ้างสิทธิ์ในตัวเธอก่อนที่เจ้าตัวจะยอมทำตามความต้องการของตระกูลถังและแต่งงานกับคุณชายเศรษฐี
ความจริงแล้วเขาคิดถูก เพราะถังอี้เฉินคิดจะทำเช่นนั้นจริงๆ เธอได้วางแผนจะอยู่ให้ห่างตัวเองจากลู่กวงหลีอย่างเด็ดขาด
“แล้วมาดูกันว่าครั้งนี้เธอจะหนีฉันไปได้ยังไง”
…
หลังจากกลับมาที่โรงพยาบาลของอาจารย์หมอ ใบหน้าของถังอี้เฉินขึ้นสีแดงระเรื่อพร้อมภาพของลู่ กวงหลีและจูบของพวกเขาที่ลอยวนเวียนอยู่ในหัวอย่างสลัดไม่ออก
ถังหนิงสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอจึงเอ่ยถาม “ตั้งแต่กลับมาเธอก็ทำตัวแปลกๆ ไปนะ คิดอะไรอยู่ หน้าแดงอะไรขนาดนั้นกัน”
“ไม่มีอะไรหรอก” ถังอี้เฉินกระแอมในลำคอและหันไปสนใจกับข้อมูลของถังหนิง “เราจะทดสอบกับเธอพรุ่งนี้ว่าเธอพร้อมกับการผ่าตัดไหม คืนนี้ก็นอนเร็วสักหน่อยดีกว่านะ”
ถังหนิงพยักหน้า
“ไม่ต้องห่วงนะ มันมีความเสี่ยงแน่อยู่แล้วล่ะ แต่อาจารย์ของฉันจะช่วยให้ควบคุมทุกอย่างเอาไว้เอง”
ถังหนิงพยักหน้ารับอีกครั้ง
ความจริงแล้วการผ่าตัดของถังหนิงไม่ใช่เรื่องใหญ่โต และเธอไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงขนาดนั้น ในเมื่อเธอฝากชีวิตไว้ในมือหมอแล้ว การกังวลเกินเหตุจึงไม่ได้ส่งผลดีกับเธอและลูก
คืนก่อนการผ่าตัด โม่ถิงมาถึงพร้อมกับซย่าอวี้หลิงและเจ้าตัวแสบทั้งสองคนเพื่อให้กำลังใจ
พี่ชายคนโต โม่จื่อซี มีท่าทีงุนงงขณะที่เขามองสำรวจสิ่งใหม่ๆ รอบตัวในโรงพยาบาล ในขณะเดียวกันโม่จื่อเฉินกลับนั่งอยู่เงียบๆ บนเตียงและแอบช่วยดึงผ้าห่มให้แม่ของตัวเองตอนที่ไม่มีใครสังเกตเห็น เมื่อถังหนิงหันหน้ามามองเขาก็ทำเฉยใส่เสียอย่างนั้น
ถังหนิงเคยชินกับพฤติกรรมแปลกๆ ของเด็กคนนี้เสียแล้ว เธอจึงไม่ได้แปลกใจและทำเพียงแสร้งมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
ด้วยมาถึงป่านนี้เธอก็ยังคงไม่อาจอธิบายได้ว่าเหตุใดโม่จื่อเฉินถึงได้ทำตัวเกินวัยของเขาขนาดนี้
“เมื่อก่อนตอนที่แม่คลอดลูกมาก็ทุลักทุเลมากเหมือนกัน บางทีนี่อาจจะเป็นกรรมพันธุ์ก็ได้ ลูกถึงต้องมาลำบากแบบนี้ โชคดีที่ลูกมีโม่ถิงอยู่ข้างๆ ”
ซย่าอวี้หลิงเอ่ยสำทับ “ตอนนี้เลิกคิดถึงเรื่องในวงการบันเทิงไปได้เลย หลังจากลูกสาวคลอดออกมา ลูกจะต้องยุ่งจนหัวหมุนแน่ๆ ”
“แม่คะ ขอบคุณที่ช่วยดูแลเจ้าตัวป่วนให้นะคะ”
“ทำไมต้องเกรงใจขนาดนั้นด้วยเล่า” ซย่าอวี้หลิงมองค้อนเข้าให้
ถังหนิงหลุดขำออกมาและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก มีครอบครัวอยู่ข้างๆ เช่นนี้เธอไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย
เช้าวันถัดมา ถังหนิงลองเข้าทดสอบและเข้าผ่าตัดในเวลา 8 โมงเช้า
โม่ถิงอยู่ข้างๆ เธอจนกระทั่งมองเธอจะเข้าไปในห้องผ่าตัด “ตอนที่คุณออกมาทุกอย่างจะต้องเป็นไปได้ด้วยดีครับ”
“ฉันไม่ได้ป่วยสักหน่อยค่ะ ฉันแค่คลอดลูกเองนะ” ถังหนิงหัวเราะ “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ”
“ผมจะรออยู่ข้างนอกนะครับ” โม่ถิงโน้มตัวลงประทับจูบที่หน้าผากของเธอ
“โอเคค่ะ”
“ไม่ต้องกังวลนะ ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น” เสียงถังอี้เฉินว่าขึ้นดังมาจากอีกด้านของเตียง “เรากำลังจะเข้าไปกันแล้วนะ…”
เวลานี้ทั้งโรงพยาบาลตกอยู่ในความเงียบ ด้วยโม่ถิงจัดการดูแลความปลอดภัยอย่างแน่นหนา
ไม่นานถังหนิงก็ถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัดพร้อมกับป้าย อยู่ระหว่างการปฏิบัติการ ที่สว่างพรึบขึ้น
…
ในขณะที่ถังหนิงกำลังอยู่ระหว่างการผ่าคลอด ใครบางคนกำลังเอาชื่อมินิถังหนิงมาหากิน ทุกคนรู้ว่าศิลปินคนนี้ทำศัลยกรรมมาจึงกลายเป็นประเด็นใหญ่โตอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าก็ต้องยอมรับว่าในวงการนี้ช่างเต็มไปด้วยผู้เล่นมากมายเหลือเกิน
แล้วถ้าหากผู้คนรุมต่อว่าเธอกันล่ะ
บางคนคล้อยตามและทำให้เธอก้าวขึ้นมามีชื่อเสียงได้ในที่สุด
ถังหนิงถูกใช้เป็นเครื่องมือบ่อยครั้ง ไห่รุ่ยจะตามไล่บี้ทีละคนจริงๆ หรือ
“เธอไม่มีปัญญาโด่งดังเองจนบ้าไปแล้วหรือไง”
“ให้ตายเถอะ เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าน่ารังเกียจขนาดไหนน่ะ”
“หน้าตาของถังหนิงไม่มีใครเหมือน กล้าดียังไงมาเลียนแบบเธอ! ”
“ถังหนิงก็มีดีแค่ที่รูปร่างนั่นแหละ…น่าเสียดายที่ตอนนี้เธอแก่แล้ว”
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ถังหนิงจะไม่ได้อยู่ในวงการอีกแล้ว แต่ก็ยังคงมีการหยิบยกเธอมาพูดถึงอยู่เสมอ
หลงเจี่ยไม่สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“คนพวกนี้มันหน้าด้านจริงๆ… ถังหนิงประกาศลาวงการไปแล้วแท้ๆ ทำไมพวกเขายังตามรังควานเธอไม่เลิกอีก”
“เพราะเขามีสิทธิ์ที่จะทำอย่างนั้นไงล่ะ ต่อให้จะหมายความว่าต้องทำศัลยกรรมก็ตาม! ” หันซิ่วเช่อเอ่ยอย่างระมัดระวังในตอนที่เขามาถึงพร้อมกระดาษในมือ “อีกอย่างถังหนิงก็ไม่ได้อยู่ในวงการแล้ว จะผิดอะไรถ้าจะเลียนแบบเธอกันล่ะ”
“คุณพูดอย่างนั้นเพราะพวกเขาไม่ได้เลียนแบบคุณต่างหาก ถึงได้ไม่รู้ว่ามันน่ารังเกียจขนาดไหนไง”