ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 31 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 31 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ

 

ตอนที่ 31 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ

 

เมื่อคืนนี้ แม้แต่จางฝูยังข่มตาหลับลงได้อย่างยากเย็นแล้วมีหรือที่จ้าวโจวเฉินจะสามารถนอนหลับได้อย่างเป็นปกติสุข?

 

เขาเฝ้าครุ่นคิดหาหนทางอยู่ตลอดทั้งคืนว่า จะทําอย่างไรจึงจะสามารถเรียกความรู้สึกประทับใจ และความรู้สึกดีๆ จากหลิวเฟิงเจิ้นที่เคยมีต่อตนเองกลับมาได้?

 

เขาไม่รู้ด้วยซ้ําว่า จะสามารถแก้ไขสิ่งที่ทําลงไปเมื่อวานได้อย่างไร? จ้าวโจวเฉินเพิ่งจะตระหนักว่า ทั้งคําพูด และการกระทําของตนเองเมื่อวานนี้ ได้ทําลายความน่าเชื่อถือที่หลิวเฟิงเจิ้นเคยมีให้จนหมดสิ้น เวลานี้ ต่อให้เขาไปกระโดดแม่น้ําฮวงเหอ ก็คงไม่อาจล้างความผิดที่ทําลงไปได้

 

หลังจากครุ่นคิดอยู่ตลอดทั้งคืน จ้าวโจวเฉินก็ไม่เห็นใครที่จะช่วยเขาได้ในเรื่องนี้ นอกจากฉีเลย!

 

แต่ถึงอย่างไรฉีเล่ยก็เป็นเพียงแค่แพทย์ฝึกหัด ซึ่งไม่รู้ว่าจะอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ไปนานแค่ไหน? อีกอย่าง เขาเองก็ไม่ได้รู้จักเลยเป็นการส่วนตัว และด้วยเหตุการณ์เมื่อวานนี้ ชายหนุ่มอาจจะไม่ต้องการพูดคุยกับเขาก็เป็นได้

 

และในที่สุด จ้าวโจวเฉินก็นึกถึงจางฟูขึ้นมาได้

 

จางผู้เป็นคนบอกเองว่า ฉีเล่ยเป็นแพทย์ฝึกหัดที่เขารับเข้ามาอยู่ในแผนกด้วยตัวเอง แสดงให้เห็นว่า ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก่อน หากเขาทําดีกับจาง ย่อมต้องเป็นสะพานเชื่อมไปยังฉีเลยด้วย

 

ไม่แน่ว่า จับพลัดจับผลูฉีเลยอาจได้รับความไว้วางใจให้รับตําแหน่งสําคัญๆ จางฝูเองก็จะมีโอกาสเติบโตด้วยเช่นกัน และหากเขาทําดีกับจางฝูไว้ ก็ไม่มีอะไรเสียหาย

 

จ้าวโจวเฉินรู้ตัวว่าพลาด ที่ได้พูดจารุนแรง และแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกไปเมื่อวานนี้ แต่ในเมื่อทุกอย่างก็เกิดขึ้นไปแล้วจะย้อนกลับไปแก้ไขก็ทําไม่ได้ แต่หากอยู่เฉยๆไม่ลงมือทําอะไรสักอย่าง ก็เกรงว่าจะกระทบต่อหน้าที่การงานในวันข้างหน้า ไม่แน่ว่า อนาคตของเขาอาจจะดับ วูบไปเลยก็ได้

 

ด้วยเหตุนี้ จ้าวโจวเฉินได้แต่เปรียบเทียบว่า ระหว่างเสียหน้า กับสูญเสียความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เขาจะเลือกอะไร?

 

หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้ว เขาจึงรีบขับรถมาโรงพยาบาลแต่เช้า และมายืนรอจางฝอยู่ที่หน้าตึกด้วยความกระวนกระวายใจ!

 

เมื่อเปิดประตูห้องผู้ปวยเข้าไป จ้าวโจวเฉิน และจางสู่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะสดใสดังออกมา สีหน้าของหลิวเฟิงเจิ้นกลับมาสดชื่นแจ่มใส และมีสง่าราศีสมกับเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งเช่นเดิม ใบหน้าของเธอเปล่งปลั่งมีน้ํามีนวล ท่าทางการแสดงออกก็สง่างาม ต่างจากสภาพใกล้ตายเมื่อวานนี้ ราวกับเป็นคนละคนเลยทีเดียว!

 

แต่เมื่อเห็นจ้าวโจวเฉันเดินเข้ามาในห้อง ใบหน้ายิ้มแย้มของหลิวเฟิงเจิ้นก็เปลี่ยนเป็นบึงตึงขึ้นมาทันที และได้แต่คิดในใจว่า

 

“ยังกล้ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกเหรอ? ให้ฉันนอนรักษาตัวอยู่ตั้งนาน แต่กลับไม่มีปัญญารักษาฉันให้หายได้ มิหนําซ้ํายังจะคิดวิธีรักษาบ้าๆ แล้วก็น่าสะอิดสะเอียนนั่นออกมาได้! ต่างกับหมอฉีที่รักษาฉันเพียงแค่ครั้งเดียว ก็ดีขึ้นทันตาเห็น!”

 

เมื่อได้เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของหลิวเฟิงเจิ้นจ้าวโจวเฉินก็รู้ดีว่า สถานการณ์ต้องไม่ดีแน่ แต่เขาก็จําเป็นต้องรวบรวมความกล้า และเดินเข้าไปทักทาย

 

“คุณนายหลิวครับ! วันนี้ผมมีข่าวดีจะมาแจ้งครับ ทางคณะผู้บริหารของโรงพยาบาล ได้พิจารณาตัดสินใจให้คุณหมอฉีเล่ยเข้ารับตําแหน่งแพทย์แผยจีนประจําโรงพยา บาลแล้วครับ!”

 

หลิวเฟิงเฉินทําเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ พร้อมตอบกลับไปด้วยน้ําเสียงเย็นชา “คงไม่ จําเป็นแล้วละผู้อํานวยการจ้าวคุณไม่ต้องห่วงเรื่องขอ งคุณหมอฉีอีกเพราะฉันได้สั่งให้คนของฉันจัดการส่งชื่อขอ งคุณหมอฉีเข้าไปเป็นทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษของกรมอนามัยแล้วพรุ่งนี้เขาก็สามารถเริ่มงานได้เลย!”

 

หลิวเฟิงเจิ้นนั้น ไม่เพียงเป็นภรรยาของผู้ว่าไต่คุน แต่เธอยังเป็นผู้บริหารระดับสูงของกรมสุขภาพและอนามัยประจํามณฑลอีกด้วย

 

“ห้ะ?!”

 

จ้าวโจวเฉินถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจพร้อมกับอ้าปากค้างอยู่เช่นนั้น!

 

“ไอ้หนุ่มนั่นทําไมถึงได้ดวงดีแบบนี้? การจะเข้าไปเป็นทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษของกรมอนามัย ไม่ใช่เรื่องที่หมอคนไหนจะเข้าไปเป็นได้ง่ายๆเลย?”

 

หลี่ฮั่วเฉินนั้นเป็นถึงแพทย์หลวง และมีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลรักษาผู้นําระดับสูงของประเทศ ส่วนแพทย์พิเศษของกรมอนามัยประจํามณฑลหนานเจียงนั้น จะมีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลรักษาเจ้าหน้าที่ระดับสูงขอมณฑล

 

ด้วยเหตุนี้ การที่แพทย์คนหนึ่งจะได้เข้าไปอยู่ในทีมแพทย์พิเศษนี้ เรียกได้ว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถเฉพาะทางที่โดดเด่นอย่างมาก!

 

แพทย์ทุกคนในมณฑลหนานเจียง หากต้องการที่จะเข้าไปอยู่ในทีมแพทย์พิเศษนี้ นอกจากจะต้องมีความสามารถโดดเด่นแล้ว ยังจะต้องมีสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมอนามัยด้วย ไม่เช่นนั้น อนาคตของพวกเขาจะรุ่งโรจน์โชติช่วงได้อย่างไรกัน?

 

เพื่อคอยดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ฉีเลยจึงต้องอยู่ในห้องผู้ป่วยกับหลิวเฟิงเฉินตลอดทั้งคืน และเมื่อคืนนี้ เขาก็นอนที่เตียงคนไข้อีกเตียงซึ่งอยู่ข้างๆ

 

การที่เขาต้องทําเช่นนี้ ก็เพราะไต่คุนได้ฝากฝังไว้ก่อนที่จะจากไป และนี่คือภารกิจที่อาวุโสต่งได้ร้องขอให้เขาช่วย!

 

แต่หลังจากที่ได้ยินคําพูดของหลิวเชิงเฉินเมื่อครู่ ฉีเล่ยถึงกับประหลาดใจอย่างมาก เพราะหลิวเฟิงเจิ้นไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเขามาก่อน แต่แล้วจู่ๆ วันนี้กลับบอกว่า เขาเป็นแพทย์พิเศษของกรมอนามัย!

ฉีเล่ยรีบปฏิเสธทันที “เรื่องนี้ไม่น่าจะเหมาะสมนะครับ! ผมอายุยังน้อย และยังขาดประสบการณ์ คงไม่มีคุณสมบัติที่เข้าไปทํางานในทีมแพทย์พิเศษได้ อีกอย่าง ผมไม่สามารถแบกความรับผิดชอบที่หนักหนานี้ไว้ได้”

 

“เห็นที่จะปฏิเสธไม่ได้แล้วล่ะคุณหมอฉี” หลิวเฟิงเจิ้นพูดขึ้นยิ้มๆ

 

ความจริงแล้ว ไต่คุนได้ส่งข้อความบอกหลิวเฟิงเจิ้นตั้งแต่เมื่อคืน และนี่เป็นการตัดสินใจของไต่คุนเอง ซึ่งหลิวเฟิงเจิ้นรู้จักนิสัยและอารมณ์ของผู้เป็นสามีดี อีกทั้งเรื่องนี้เธอเองก็เห็นด้วยเช่นกัน

 

ฉีเล่ยเป็นแพทย์หนุ่มที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ําเลิศอย่างมาก ควรจะต้องได้เข้าไปอยู่ในที่ที่เหมาะสม และคงจะไม่มีที่ไหนดีไปกว่าใต้ปีกของพวกเขาทั้งสอง จากนั้นจึงค่อยๆส่งเสริมให้เติบโตก้าวหน้าในหน้าที่การงานต่อไป

 

และด้วยการส่งเสริมจากสองสามีภรรยา ยังมีอะไรต้องลังเลใจอีกเล่า?

 

หลิวเฟิงเจิ้นอธิบายต่อทันที “เธออายุยังน้อย และไม่มีประสบการณ์แล้วยังไง? ขึ้นจะรับแต่หมอที่มีอายุ แล้วก็ประสบการณ์มากๆ กรมอนามัยคงไม่ต้องกลายเป็นบ้านพักคนชราไปหรือยังไง?”

“นั่นน่ะสิครับ คุณนายหลิวพูดได้ถูกต้อง!”

 

จ้าวโจวเฉินรีบพยักหน้าเห็นด้วยกันที่ “คุณนายหลิวเป็นคนที่มีสายตาแหลมคมมากทีเดียว!”

 

จากนั้น จึงหันไปพูดกับฉีเลยว่า “เท่าที่ผมได้เห็นความสามารถของคุณหมอฉีเมื่อวานนี้ คงต้องยอมรับว่า ทักษะทางด้านการแพทย์แผนจีนของคุณนั้น ยากที่จะหาใครในเจียงหนานเทียบได้จริงๆ หากคุณหมอฉีเข้าร่วมเป็นหนึ่งในทีมแพทย์พิเศษ รับรองได้ว่า ทีมแพทย์พิเศษของหนานเจียงจะต้องเป็นทีมที่เก่งมากทีเดียว!”

 

“กรุณาอย่าปฏิเสธเลยนะคุณหมอฉี! ที่คุณนายหลิวทําแบบนี้ ก็เพราะเห็นถึงพรสวรรค์ของคุณ อย่าทําให้คุณนายหลิวต้องผิดหวังเลย!”

 

“จะทําได้หรือไม่ได้ ก็ต้องลองไปทําดูก่อนถึงจะรู้”

 

หลิวเฟิงเจิ้นล้มตัวลงนอนบนเตียง ก่อนจะหันไปพูดกับฉีเล่ยต่อว่า “ พรุ่งนี้ชื่อของคุณหมอฉีก็จะถูกส่งให้คณะกรรมการแล้ว!”

 

จ้าวโจวเฉินได้แต่แอบอิจฉานายแพทย์ฝึกหัดหนุ่มอยู่ในใจภายในโรงพยาบาลแห่งนี้มีหมออยู่เป็นร้อย แต่กลับมีเพียงสองสามคนเท่านั้น ที่ได้เข้าไปอยู่ในทีมแพทย์พิเศษ แม้แต่เขาซึ่งเป็นถึงผู้อํานวยการของโรงพยาบาล ก็ยังไม่สามารถเข้าไปอยู่ในทีมนี้ได้

 

ในเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่มุ่งมั่นของหลิวเฟิงเจิ้น ฉีเลยจึงได้แต่ยอมรับไปก่อน “ขอบคุณคุณนายหลิวมากครับ!”

 

ส่วนเรื่องจะเข้าร่วมทีมแพทย์พิเศษหรือไม่นั้นฉีเล่ยคงต้อง ใคร่ครวญดูอีกครั้งหลังจากนี้

 

หลิวเฟิงเฉินตอบกลับทันที “หมอฉีเป็นคนรักษาอาการปวยให้กับฉัน ฉันต่างหากที่ตอบขอบคุณเธอ แล้วต่อไปก็ไม่ต้องมาพิธีรีตรองอะไรกับฉันมากนัก เลิกเรียกฉันว่าคุณนายหลิวได้แล้ว แต่ให้เรียกว่าป้าหลิวแทนก็แล้วกัน”

 

หลิวเฟิงเจิ้นพูดกับฉีเล่ยด้วยน้ําเสียงกึ่งดุและกิ่งอ่อนโยน

 

“ป้าหลิว?!”

 

ภายในใจของจ้าวโจวเฉินถึงกับร้อนรุ่มด้วยความอิจฉาคล้ายกับมีคนจุดชนวนระเบิด นั่นเพราะหลิวเฟิงเจิ้นเป็นคนที่ค่อนข้างถือเนื้อถือตัว ใบหน้าเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลาใครๆในกรมอนามัยต่างก็ให้ฉายาเธอว่า “แม่สิงห์”

 

น้อยนักที่จะมีใครได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ หรือเห็นเธอพูดคุยกับใครสักคน ด้วยน้ําเสียงที่สนิทสนมและเป็นกันเองแบบที่พูดกับฉีเล่ย!

 

จ้าวโจวเฉินไม่เคยปวยด้วยอาการถ่ายไม่หยุดอย่างที่หลิวเฟิงเจิ้นเป็นอยู่ จึงไม่สามารถเข้าใจความทุกข์ทรมานของเธอได้ และไม่เข้าใจว่า ความดีอกดีใจเมื่อหายป่วยนั้นมีความสุขมากเพียงใด?

 

ความจริงแล้ว จ้าวโจวเฉินเข้ามาหาหลิวเฟิงเจิ้นเช้านี้ก็เพ ราะว่า ต้องการมารายงานเรื่องของฉีเลย แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก หลังจากแสดงความยินดีกับ ฉีเลยพอเป็นพิธีแล้ว ผู้อํานวยการจ้าวก็ได้เข้าไปตรวจอา การของหลิวเฟิงเฉิน

 

เพียงแค่คืนเดียว อาการป่วยของหลิวเฟิงเจิ้นกลับเปลี่ยนไปในทางที่ดีมาก นอกจากจะหยุดถ่ายแล้ว ไข้ก็ยังลดลงอีกด้วย อาการโดยรวมนับว่าปกติดี

 

เวลานี้ จ้าวโจวเฉินจําเป็นต้องเชื่อแล้วว่า อาการปวยของหลิวเฟิงเจิ้น ที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายนายไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่แพทย์ฝึกหัดคนนี้ กลับรักษาได้ภายในคืนเดียว

 

จ้าวโจวเฉินหันไปยิ้มให้หลิวเฟิงเจิ้น พร้อมกับพูดขึ้นว่า“คุณนายหลิวครับ อาการโดยรวมเป็นปกติแล้ว คิดว่าอีกสองสามวันน่าจะกลับบ้านได้”

 

หลิวเฟิงเจิ้นหันไปมองจ้าวโจวเฉินด้วยสายตาเย็นชา และเวลานี้ เธอก็กลับมาเป็นแม่สิงห์เหมือนเดิมแล้ว

 

หลิวเฟิงเฉินได้แต่คิดในใจว่า “หึ! ตอนฉันเข้ามาโรงพยาบาลวันแรกก็พูดแบบนี้ แล้วสุดท้ายเป็นยังไง?

 

จากนั้น หลิวเฟิงเจิ้นก็หันไปทางฉีเลย พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ําเสียงอ่อนโยน “หมอฉี เธออยู่เฝ้าดูอาการของฉันทั้งคืน คงจะเหนื่อยมากสินะ? เอาล่ะ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว เธอกลับไปพักผ่อนเถอะนะ!”

 

“ครับ.. ถ้ามีอะไรให้คนโทรเรียกผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับแล้วผมจะรีบมาทันที!”

 

ฉีเลยรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยจริงๆ แต่ก่อนจะออกไปก็ไม่ลืมที่จะเตือนหลิวเฟิงเจิ้นว่า “อย่าลืมทานยานะครับ แล้วก็ ช่วงนี้ต้องงดของเย็น แล้วก็หลีกเลี่ยงอาหารที่ย่อยยาก..”

 

หลังจากนั้น ฉีเล่ยก็ได้ร่ําลาหลิวเฟิงเจิ้น จ้าวโจวเฉิน และจางฟู แล้วจึงเดินออกจากห้องผู้ปวยไปทันที

 

แต่เมื่อเขาเดินออกมา และปิดประตูห้องเรียบร้อยเมื่อหันหลังกลับไป ก็ได้พบใครบางคนกําลังยืนยิ้มให้กับเขาอยู่ที่ทางเดินพอดี

 

เป็นหลี่ฮั่วเฉินนั่นเอง และดูเหมือนว่า เขาจะตั้งใจมายนรอฉีเลย!

 

“สวัสดีครับท่านหมอหลี่!” ฉีเล่ยยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยทักทาย

 

หลี่ฮั่วเฉินเดินตรงเข้ามาหาฉีเล่ย พร้อมกับยกมือขึ้นตบไหล่เขาเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เธอรู้มั้ยว่า ความจริงฉันต้องกลับปักกิ่งตั้งแต่เมื่อคืนนี้ แต่เหตุผลที่ฉันต้องอยู่ต่อก็เพราะต้องการรอพบเธอ..”

 

หลี่ฮั่วเฉินหยุดนิ่งไปเล็กน้อยพร้อมกับหันมองไปรอบตัวก่อนจะพูดต่อว่า “พวกเราไปหาที่เงียบๆคุยกันหน่อยจะได้มั้ย?”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset