น้ำเสียงของชายหนุ่มบางเบา แต่ละคำช่างเด็ดขาดทะลุเข้ามาในแก้วหูของซูย้าว
มือของเธอกำเข้าหากันอย่างไม่อาจควบคุมได้ เล็บของเธอนั้นจิกเข้าไปในผิวหนัง แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแม้แต่น้อย ดวงตาอันโกรธเคืองเป็นสีแดงเข้ม “คุณไม่ยอมปล่อยฉันไป และไม่ปล่อยลี่เฉินซีกับลูก ท้ายที่สุดแล้ว คุณต้องการจะเอาชีวิตพวกเราห้าคนไปจริงๆ ใช่ไหมคะ?”
ดวงตาของอานเจียเย้นไปเต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อน “ผมบอกคุณเมื่อไหร่ว่าจะเอาชีวิตของพวกคุณกัน?”
เขาเพียงแค่คุมเกมด้วยมือตนเองเท่านั้น แต่จุดจบยังมาไม่ถึงไม่มีใครรู้เหรอว่าเขาต้องการอะไรกันแน่
อาจจะเป็นทรัพย์สินของตระกูลใหญ่เช่นตระกูลลี่ อาจจะเป็นชีวิตของพวกเขาทั้งห้าคน หรืออาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้
เรื่องนี้ซูย้าวไม่ค่อยมั่นใจและไม่แน่ใจนัก
เธอยกมือขึ้นรวบผมยาวด้วยความเหนื่อยล้า วินาทีนี้เธอรู้สึกเหนื่อยหน่ายทั้งกายและใจ หรืออาจจะเป็นเพราะความสามารถที่มีขีดจำกัดของตัวเธอเองก็ได้ ในหลายๆ ครั้งอานเจียเย้นและลี่เฉินซี ผู้ชายสองคนนี้เธอคิดว่ารู้จักพวกเขาดี แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่
“ถ้าคุณไม่ต้องการชีวิตของพวกเรา ฉันเหนื่อยแล้ว เหนื่อยมากจริงๆ ถ้าอย่างนั้น……” เธอลากน้ำเสียงยาว ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง มันไม่มีความ เป็นประกายเหมือนในอดีตแต่กลับคลุมเครือยากจะอธิบาย ดุจดั่งน้ำพุใสที่พลุ่งพล่าน แต่ก็เต็มไปด้วยดินโคลนอันสกปรก “คุณอยากได้ฉันใช่ไหม?”
อานเจียเย้นไม่ได้พูดอะไรออก ดวงตาอันลึกซึ้งคู่นั้นผ่านการหักเหของแสงเลนส์แว่นก็มืดมนลง
“ถ้าการขอแต่งงานครั้งก่อนของคุณยังนับอยู่ ถ้าคุณยังต้องการฉัน ถ้าอย่างนั้น…… ถ้าอย่างนั้นพวกเราแต่งงานกันเถอะค่ะ” เธอพูดออกมาอย่างแผ่วเบา ดูเหมือนไม่ได้เต็มใจสักเท่าไหร่ เธอใช้น้ำเสียงอันเงียบสงบพูดมันออกมา
แม้เธอจะแสดงไม่ค่อยเก่งและไม่เหมาะสมกับการโกหกเลย แต่การที่ต่อหน้าอีกอย่างลับหลังอีกอย่างนั้น เธอก็ทำเสียจนเคยชินแล้ว
อานเจียเย้นสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “ผมเคยบอกคุณใช่ไหมว่าสิ่งที่ผมต้องการไม่ใช่เพียงแค่ตัวคุณ แต่ยังมีใจของคุณด้วย”
“ถ้าหากว่าคุณอยากจะอยู่กับผมจริงๆ ถ้าอย่างนั้นการขอแต่งงานก็มีผลเสมอ ไม่อย่างนั้นก็คงจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
เมื่อพูดจบเขาก็โน้มตัวมาข้างหน้าดูเหมือนจะตั้งใจเดินจากไป ก่อนที่จะหันกลับมาพูดขึ้นว่า “ท้องฟ้าไม่สว่างเร็วนักหรอกนะครับนอนต่ออีกหน่อยเถอะ”
เป็นคำพูดที่ดูเหมือนจะเป็นห่วงเป็นใย แต่ซูย้าวกลับได้ยินความหมายที่แตกต่างออกจากกัน นั่นสิ ท้องฟ้าที่มืดครึ้มอย่างนี้ จะมีแสงแดดขึ้นได้อย่างไร?
การที่เขาบงการทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเองเหล่านี้ จะเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากการร้องขอจากเธอเหรอ?
“เดี๋ยวก่อน” เธอรั้งเขาเอาไว้
อานเจียเย้นหยุดฝีเท้าลงเล็กน้อยแล้วหันกลับมา “มีอะไรครับ?”
ซูย้าวนอนตะแคงอยู่บนเตียง สายตาของเธอมองไปที่เขาและหันไปที่โต๊ะด้านข้าง “ช่วยฉันรินน้ำหน่อยสิ ฉันหิวน้ำน่ะ”
เขายิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่โต๊ะหยิบแก้วน้ำเย็นที่วางอยู่แล้วเทน้ำลงไป ก่อนจะหันไปสังเกตว่าขวดเหล้ารัมที่วางอยู่ด้านข้างเหลือเพียงครึ่งขวด ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
อานเจียเย้นรินน้ำมาวางให้เธอ เขายื่นมันไปพูดว่า “ดื่มไวน์ให้น้อยๆ ลงหน่อยได้มั้ย มันไม่ดีต่อสุขภาพ”
เธอไม่ได้สนใจคำพูดของเขา จากนั้นลุกขึ้นนั่งรับแก้วน้ำไปจิบดื่มก่อนจะหันไปทางเขาพูดว่า “พี่”
อานเจียเย้นชะงักลง “หืม?”
“ทำไมถึงปฏิบัติกับฉันพิเศษขนาดนี้” เธอเอ่ยถาม
อานเจียเย้นครุ่นคิดก่อนจะนั่งลงข้างกายเธอ มือใหญ่ของเขาสัมผัสไปที่แก้มของเธอ ซูย้าวไม่ได้เอี้ยวตัวหลบแต่กลับปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ “เราฉลาดขนาดนี้ทำไมถึงถามคำถามนี้ล่ะ?”
“คุณเคยช่วยฉันและทำลายฉัน ให้ตัวตนฉัน และให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับฉัน แม้ว่าจะปล่อยให้ฉันกลับไปที่ประเทศแต่ก็ยังส่งคนคอยจับตาดูอยู่เสมอ เพียงแค่มีอะไรผิดปกติไปคุณก็จะรับรู้ได้ทันที”
อย่างเช่นเรื่องของประธานหลี่ แม้ว่าตอนเกิดเหตุการณ์นั้นอานเจียเย้นจะไม่ได้ออกหน้าด้วยตนเองและไม่เคยส่งใครไป แต่ในคืนนั้นประธานหลี่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์และเสียชีวิตลง มันเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญอุบัติเหตุหรือเพราะอะไรเธอเข้าใจดี
อานเจียเย้นวางมือลง “ไม่ชอบเหรอ?”
ซูย้าวหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มไปอึกหนึ่ง เธอจิบน้ำเบาๆ ตรงขอบแก้วด้วยแววตาไม่แยแส “ฉันก็แค่อยากรู้ค่ะ ว่าเมื่อไหร่มันจะจบเสียที……”
“การมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ายึดติดกับมันมากไปก็จะเหนื่อยมาก” เขาพูดเบาๆ คำพูดนั้นลึกซึ้งและเข้าใจยาก ซูย้าวพยักหน้าจากนั้นเงยหน้าขึ้น มืออีกข้างหนึ่งเอื้อมขึ้นไปคว้าคอปกเสื้อของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว เรี่ยวแรงไม่มากไม่น้อยจนเกินไป เธอเพียงแค่ดึงเขาเข้ามาแล้วพูดว่า “ฉันอยากจะให้มันจบเร็วๆ “
เมื่อสิ้นเสียงลง เธอก็ไม่ให้โอกาสชายหนุ่มในการครุ่นคิด แต่กลับเอนตัวเขาไปด้านหน้าแล้วประทับริมฝีปากไปที่เขา จุมพิตเบาๆ จากนั้นก็หนักหน่วงรวดเร็วขึ้น
ซูย้าวไม่ค่อยถนัดในการจูบอะไรแบบนี้ ดังนั้นเธอจึงติดขัดและเกร็งเล็กน้อย
ลี่เฉินซีสอนเธอแบบนั้น แต่เธอก็ไม่เก่งในเรื่องนี้ บางทีอาจเป็นเพราะสัญชาตญาณของเธอเอง
อย่างไรก็ตาม แม้จะดูเกร็งแต่มันก็เพียงพอแล้ว อย่างน้อยก็ช่วยกระตุ้นความรู้สึกที่อดกลั้นของอานเจียเย้นได้สำเร็จและทำให้เขาตอบสนอง เขาจับที่ด้านหลังศีรษะของเธอแล้วบดขยี้อย่างรุนแรง จนเธอไม่ทันได้ตั้งตัว
ที่จริงแล้วเธอก็ไม่จำเป็นต้องป้องกันอะไร
บางทีอาจเพราะอานเจียเย้นเป็นคนรินน้ำเทน้ำให้กับเธอดื่มเอง หรืออาจเพราะเธอดื่มน้ำจนหมด ดังนั้นในใจของเขาจึงรู้สึกผ่อนคลาย และไม่ได้คิดอะไรมาก
เขาตกอยู่ในความอ่อนหวานนั้น ยากที่จะควบคุมตนเอง ส่วนเธอก็หลงอยู่ในความชื่นชมยินดีในความสำเร็จ เพลิดเพลินอยู่กับตัวเอง
ในไม่ช้า อานเจียเย้นก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
สิ่งที่เขาตั้งใจจะทำต่อไปหยุดนิ่งลงทันที ร่างกายของเขาเหมือนถูกแช่แข็งเขาก็หยุดนิ่งราวกับถูกอะไรมารั้งเอาไว้ เขามองมาที่เธอด้วยความประหลาดใจและตกตะลึง “คุณ……”
ซูย้าวนอนนิ่งอยู่บนเตียง ลมหายใจอันรวดเร็วของเธอดูเหมือนคนกำลังจะตาย ใบหน้าของเธอซีดเผือดไร้เส้นเลือดฝาด ไม่มีความแข็งแกร่งดุจเช่นใยแมงมุม ยิ้มและพูดว่า “ฉันเคยพูดว่าฉันจะตามคุณลงไปนรกด้วย คนเราควรพูดคำไหนคำนั้นไม่ใช่เหรอคะ?”
อานเจียเย้นตกตะลึง รู้สึกร่างกายเหน็บชา ความรู้สึกแผ่กระจายไปทั่วร่างกาย หลังจากนั้นก็แทบจะขยับตัวไม่ได้ ราวกับว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดถูกพรากจากไป และล้มลงอยู่ข้างเธอ
เมื่อเทียบกับสภาพของเขาแล้ว ตอนนี้ซูย้าวดูอาการหนักกว่ามาก เธอหายใจเหนื่อยหอบแทบหมดสติ
เขามองไปทางเธอที่อยู่ด้านข้าง เป็นเวลานานกว่าริมฝีปากที่เรียวบางได้รูปของเขาเผยถึงความเย้ยเยาะเย้ยออกมา เพื่อที่จะกำจัดเขาและปกป้องคนเหล่านั้นไว้ เธอไม่กลัวแม้แต่ความตาย เธอต้องการใช้วิธีตายไปพร้อมกับเขานี้……
ดวงตาของอานเจียเย้นค่อยๆ จางลง เขามองดูแก้วที่ตกลงมาจากมือของเธอตรงข้างเตียง คราบน้ำทำให้เตียงเปียกชุ่ม เหลือไว้เพียงแก้วเปล่า
ในสมองปรากฏฉากที่เธอดื่มน้ำ ในขณะที่ถือขอบแก้วเอาไว้เธอได้ป้ายพิษตรงแก้ว แล้วหันมาขอจูบอย่างกระตือรือร้น
เป็นจริงดังนั้น มีดที่อ่อนโยน มักฆ่าคนอย่างเจ็บปวด……
……
ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากเรื่องความแตกต่างของเวลา ที่อัลบาร์นเป็นเวลาประมาณสองทุ่ม งานเลี้ยงอาหารค่ำก็ดำเนินไปอย่างมีระเบียบเช่นกัน
ไวน์ชั้นเลิศ ชุดราตรีงดงาม เป็นงานเลี้ยงของบรรดานักธุรกิจ
ณ ห้องโถงขนาดใหญ่ มีฝูงชนพลุ่งพล่าน ซูหยวนโอบแขนของชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง พูดคุยหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติกับนักธุรกิจตรงหน้าเธอ
เป็นเวลาเนิ่นนานทีเดียว หลังจากที่งานพบปะสังสรรค์สิ้นสุดลง เธอจึงได้ว่างและหันมาจับแขนของลี่เฉินซีถามว่า “เฉินซีเป็นอะไรไปคะ?”
“เห็นคุณสีหน้าไม่ดีตั้งแต่เมื่อสักครู่แล้ว เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ?”
เธออยากรู้จริงๆ เพราะเมื่อสักครู่ที่สนทนากับนักธุรกิจเหล่านั้นก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องอะไรที่ต้องห้าม แต่จู่ๆ การที่เขาเปลี่ยนไปขนาดนี้จึงทำให้เธอรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่าง
ลี่เฉินซีไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาปัดมือหญิงสาวออกอย่างเยือกเย็น ก่อนทิ้งประโยคไว้ว่า “ผมจะออกไปสูดอากาศข้างนอก” เขาเดินตรงฝ่าเข้าไปในฝูงชน ร่างอันสง่างามนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เขาก้าวขาออกไปอย่างรวดเร็วออกจากห้องโถง ตรงไปยังระเบียงทางเดิน ก่อนจะสูดอากาศเย็นๆ จากด้านนอก แต่ก็ไม่อาจพัดพาความโศกเศร้าที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในดวงใจได้
เกิดอะไรขึ้นกัน?
เขาเองก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่ว่าจู่ๆ ก็มีความรู้สึกแปลกๆ มันเจ็บจี๊ดที่กลางใจ ดูเหมือนไม่อาจจัดการได้ง่าย และทวีคูณขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก……