วารุณีฟังคำพูดของเขาก็รู้สึกโกรธจัดจนหัวเราะออกมา ขณะที่หัวเราะ น้ำตาของเธอก็ยิ่งไหลออกมาหนักขึ้น “นัทธี คุณยังไม่เข้าใจอีกหรือไง ฉันต้องการให้คุณพูดความจริงกับฉัน ความจริง ! ฉันไม่รู้ว่าฉันทำอะไรผิดกันแน่ คุณถึงทำเช่นนี้กับฉัน ถ้าหากคุณคิดว่าไม่อาจอภัยให้ฉันได้ คุณก็ควรบอกฉันตรง ๆ จะหย่ากับฉันก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำสงครามเย็นกับฉัน คุณรู้ไหม……”
เธอสะอึกสะอื้นสักพัก “รู้ไหมว่าคุณทำกับฉันเช่นนี้ ทำให้ฉันทุกข์ใจมาก ฉันยินดีที่จะให้คุณขอหย่ามาตรง ๆ แต่ไม่อยากให้คุณทำเย็นชากับฉันเช่นนี้”
“ผมไม่หย่า” เมื่อได้ยินคำว่าหย่า นัทธีก็รู้สึกตกใจ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
อย่างไรก็ตาม คำพูดนี้ไม่อาจปลอบโยนวารุณีได้ วารุณีถอนหายใจออกมา “ไม่หย่า แล้วคุณจะเป็นแบบนี้ต่อไปอย่างนั้นหรือ ?”
นัทธีหลับตาลงโดยไม่พูดอะไร
วารุณีปิดตา “ฉันเข้าใจแล้ว แค่นี้แหละ”
พูดจบ วารุณีก็วางสายโทรศัพท์ จากนั้นจึงเดินขึ้นชั้นบนด้วยความอ่อนล้า และขังตัวเองเอาไว้ในห้อง แม้แต่อาหารเย็นก็ไม่ลงมาทาน
ป้าส้มรู้สึกกังวลใจอย่างมาก เธอขึ้นไปเคาะประตู วารุณีไม่เปิดประตู นั่นหมายความว่าไม่ต้องการให้ใครมายุ่ง
แต่ป้าส้มได้ยินเสียงร้องไห้ของเธอ เช่นนี้จะให้วางใจได้อย่างไรว่าเธอไม่เป็นอะไรจริง ๆ แต่ก็ไม่อาจกล่าวเตือนอะไรเธอได้ จึงส่ายหน้าพลางถอนหายใจ แล้วเดินกลับลงมา
ผ่านมาสองวัน วารุณียังคงจิตใจเลื่อนลอย หลายครั้งที่งานออกแบบที่ส่งให้ลูกค้าเกิดความผิดพลาด
หากไม่ใช่เพราะปาจรีย์ปรากฏตัวได้ทันท่วงที แล้วเก็บงานออกแบบกลับมาเสียก่อน คงไม่ต้องคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา
ปาจรีย์เห็นวารุณีมีสภาพเหมือนศพเดินได้ ก็รู้สึกทั้งสงสารและโกรธ เธอทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงผลักประตูห้องทำงานแล้วเดินเข้าไป “วารุณี เธอดูผลงานของเธอตลอดสองวันมานี้สิ !”
ปาจรีย์โยนผลงานออกแบบลงบนโต๊ะของวารุณี “สิ่งที่ควรแก้ก็ไม่ยอมแก้ สิ่งที่ควรวาดออกมาก็ไม่ได้วาด สิ่งที่ควรตกแต่งก็ไม่ได้ตกแต่ง แม้กระทั่งเอกสารที่ทางโรงงานส่งมาเธอก็ไม่ได้เซ็น การทำงานที่ผิดพลาดแบบนี้ ยังใช่เธอคนเดิมที่เคยมีความมุมานะคนนั้นหรือเปล่า ?”
“……” วารุณีมองผลงานออกแบบที่วางอยู่บนโต๊ะ ก็ก้มหน้าก้มตาอย่างสำนึกผิด แต่ไม่พูดอะร
ท่าทางของปาจรีย์อ่อนลงเล็กน้อย “วารุณี เธอดูสภาพของเธอตอนนี้สิ เมื่อก่อนเธอเคยยอดเยี่ยมแค่ไหน มาตอนนี้ในตัวของเธอกลับมีแต่พลังงานด้านลบแผ่ซ่านออกมา การแต่งตัวก็ไม่พิถีพิถันดังเดิม ก็แค่ผู้ชายคนเดียว ทำไมต้องทรมานตัวเองเช่นนี้ด้วย !”
วารุณียกมือขึ้นมาปิดหน้า “ปาจรีย์ เธอไม่เข้าใจ……”
“มีอะไรที่ฉันไม่เข้าใจ ใช่ว่าฉันไม่เคยเจ็บปวดจากความรักสักหน่อย เพื่อที่จะได้รักกับพงศกร มีอะไรที่ฉันไม่เคยผ่านมาบ้าง แต่ฉนไม่เหมือนกับเธอ ไม่ทรมานตัวเองเหมือนเธอเช่นนี้ อย่างน้อยฉันก็เข้มแข็งมาโดยตลอด” ปาจรีย์พูดตัดบทเธออย่างเย็นชา
ริมฝีปากของวารุณีขยับ เหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับไม่พูดอะไรออกมา
ปาจรีย์พูดถูก ถึงแม้จะเสียใจ แต่ก็ไม่ควรทำตัวไร้ค่าเช่นนี้
เรื่องนี้เธอเทียบไม่ติดจริง ๆ
“เอาล่ะวารุณี รีบจัดการกับอารมณ์ของตัวเองให้เรียบร้อยได้แล้ว” ปาจรีย์เดินเข้าไปแล้วกอดวารุณีเอาไว้ จากนั้นจึงปลอบโยนเธอด้วยนำเสียงอบอุ่น “เมื่อก่อนเธอเคยงดงามขนาดไหน แล้วดูเธอตอนนี้สิ ทำให้ฉันทนดูไม่ได้เลยจริง ๆ ฉันรู้ว่าเธอรักนัทธีมาก นัทธีทำให้เธอเสียใจ แต่เธอก็ไม่ควรที่จะทรมานตัวเองเช่นนี้ คนที่เธอควรทรมานก็คือนัทธีต่างหาก”
“ทรมานนัทธี ?” วารุณีเงยหน้าขึ้น
ปาจรีย์พยักหน้า “ก็ใช่นะสิ เขาทำให้เธอเสียใจ ทำไมจะทรมานเขาไม่ได้ล่ะ ? การทรมานตัวเองไม่ใช่วิธีที่สมควรและไม่ใช่วิธีที่ฉลาด อีกอย่าง ผู้ชายมีอยู่เยอะแยะมากมาย หากนัทธียังปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้ต่อไป เธอก็แค่หย่ากับเขาซะ แล้วหาคนใหม่”
วารุณีถูกเธอพูดหยอกล้อจนหัวเราะออกมา “เธอคิดว่ามันง่ายขนาดนี้เลยหรือ”
“ทำไมจะไม่ง่ายล่ะ อีกอย่างสภาพของเธอกับนัทธีในตอนนี้ ก็ไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนก่อนได้อีกแล้ว ก็ยอมจบกันไปเร็ว ๆ เสียยังดีกว่า ยิ่งรั้งไว้ก็จะยิ่งทรมาน ถึงแม้เธอจะไม่นึกถึงตัวเอง ก็ควรนึกถึงลูก ๆ ทั้งสองคนบ้าง”
“ลูก……” แววตาของวารุณีสั่นคลอน
ปาจรีย์ขานรับหนึ่งคำ “ก็ใช่นะสิ เธอคงไม่ปล่อยให้ลูก ๆ ทั้งสองคนต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้เงาอันมืดมนของเธอกับนัทธีหรอกนะ และเด็ก ๆ ทั้งสองคนยังไม่มีพ่อ ก็มีความสุขดีไม่ใช่หรือ ?”
มันก็จริง
วารุณีไร้ข้อโต้แย้ง
อีกทั้งสิ่งที่ปาจรีย์พูดมาก็ถูก ถ้าหากเธอและนัทธีไม่สามารถกลับไปคืนดีกันได้ และทำให้บรรยากาศภายในบ้านต้องตึงเครียดอยู่เช่นนี้ ก็คงส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อเด็ก ๆ ทั้งสองคน
เพื่อลูก ๆ ทั้งสองคน เธอจะเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
แต่ถ้าหากต้องแยกทางกับนัทธี……
วารุณีรู้สึกปวดใจเล็กน้อย เธออดไม่ได้ที่วางมือทาบลงบนอก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย
ในความเป็นจริงแล้ว เธอไม่อาจทำได้
ปาจรีย์ดูออกว่าวารุณีกำลังคิดอะไร จึงตบไหล่ของเธอเบา ๆ “จริงสิ เธอตั้งใจที่จะตรวจดีเอ็นเอให้นัทธีกับเด็ก ๆ ทั้งสองอีกครั้งไม่ใช่หรือ ?”
วารุณีพยักหน้า “ฉันวางแผนเอาไว้เช่นนี้ แต่เป็นเพราะเขาไม่อยู่ที่คฤหาสน์ ฉันจึงไม่มีโอกาสเก็บตัวอย่างจากเขา”
“ไม่เป็นไร ค่อยเป็นค่อยไป” ปาจรีย์ยักไหล่ จากนั้นจึงพูดขึ้นอีกว่า : “เมื่อเก็บตัวอย่างจากนัทธีมาได้ ก็ให้รีบทำการตรวจให้เด็กทั้งสองคน ถ้าหากผลลัพธ์ออกมาว่าเด็กทั้งสองคนเป็นลูกของเขา เธอก็ลองคุยกับนัทธีดี ๆ แต่ถ้าไม่ใช่ลูกของนัทธี เธอก็หย่ากับนัทธีเสียเถอะ อีกอย่าง……”
“อะไร ?” วารุณีหันมองเธอ
วารุณีหัวเราะ “ฉันรู้ดีว่าที่เธอแต่งงานกับนัทธี ไม่ใช่เพราะรักอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นเพราะนัทธีเป็นพ่อของเด็กทั้งสองคน เขาจึงมีหน้าที่ที่จะต้องอุปการะเด็กทั้งสอง แต่ถ้าหากเด็กทั้งสองไม่ใช่ลูกของเขาจริง ๆ แล้วเธอยังคิดที่จะให้นัทธีรับผิดชบเลี้ยงดูเด็กทั้งสองคนอยู่อีกหรือ ?”
สีหน้าของวารุณีเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นจึงส่ายหัว “ไม่แน่นอน”
เธอเลือกที่จะหย่ากับนัทธี เป็นเพราะเหตุผลทั้งสองข้อนี้จริง ๆ
ถ้าหากเด็กทั้งสองไม่ใช่ลูกของเขาจริง ๆ เธอก็ไม่อาจทนให้นัทธีช่วยเธอเลี้ยงลูกได้ เธอไม่ได้ไร้ยางอายขนาดนั้น
“ดังนั้น เธอลองคิดดูดี ๆ ก็แล้วกัน ฉันจะแวะเข้าไปดูที่โรงงานสักหน่อย” พูดจบ ปาจรีย์ก็เดินออกไป
วารุณีหลับตาลง แล้วครุ่นคิดถึงอนาคตระหว่างเธอกับนัทธี
หลังจากปาจรีย์ออกจากบริษัท ก็ไม่ได้ไปโรงงานตามที่พูดเอาไว้
แต่กลับขับรถไปยังบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป
ตอนนี้วารุณีมีสภาพเช่นนี้ เธอไม่าจทนดูได้อีกต่อไป จึงต้องการสั่งสอนนัทธีแทนวารุณีเสียหน่อย
เมื่อปาจรีย์มาถึงบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป กลับไม่ได้ไปที่แผนกต้อนรับ แต่กลับเดินตรงไปยังลิฟต์ส่วนตัวของประธานบริษัท
เมื่อพนักงานต้อนรับเห็นเข้าก็รู้สึกตกใจ จากนั้นจึงรีบเข้าไปขวางเอาไว้ “คุณผู้หญิงคะ ตรงนี้เข้าไปไม่ได้นะคะ มีเป็นลิฟต์ส่วนตัวของท่านประธาน หากขึ้นต้องการขึ้นไปชั้นบน ขอเชิญใช้ลิฟต์ธรรมดาที่อยู่ทางด้านโน้นค่ะ”
ปาจรีย์หยุดฝีเท้าลง “ลิฟต์ธรรมดาสามารถขึ้นไปชั้นบนสุดได้ไหม ?”
พนักงานต้อนรับรู้สึกตกใจกับคำถามของเธอ เมื่อตั้งสติได้จึงส่ายหน้า “ไม่ได้ค่ะ”
“ก็ถูกแล้วนี่ ฉันต้องการขึ้นไปชั้นบนสุด จึงจ้องใช่ลิฟต์ตัวนี้ ฉันเดินมาถูกแล้ว”
ขณะที่พูด ปาจรีย์ก็เตรียมจะกดปุ่ม
พนักงานต้อนรับเข้ามาขวางเอาไว้อีกครั้ง จับแขนของเธอเอาไว้ จากนั้นจึงฝืนยิ้มออกมา “คุณผู้หญิงคะ ชั้นบนสุดเป็นห้องทำงานของท่านประธานกรรมการและท่านประธาน คุณขึ้นไปไม่ได้ค่ะ”
“ฉันมาที่นี่ ก็เพื่อหาท่านประธานของพวกคุณ ทำไมจะขึ้นไปไม่ได้ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ !” ปาจรีย์สะบัดมือของพนักงานต้อนรับออกอย่างแรง
แต่พนักงานต้อนรับยังคงจับแขนเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ปาจรีย์รู้สึกโมโห ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง จู่ ๆ ลิฟต์ส่วนตัวของท่านประธานก็เปิดออก จากนั้นจึงมีคนสองคนเดินออกมา นั่นก็คือนวายาและมารุต
เมื่อทั้งสองเห็นพนักงานต้อนรับกำลังยื้อยุดอยู่กับปาจรีย์ก็รู้สึกตกใจ
“คุณปาจรีย์ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?” นวิยาเอ่ยถามขึ้นมาก่อน
ปาจรีย์หันมองเธอ แล้วขมวดคิ้ว “ฉันอยู่ที่นี่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย เธอต่างหากที่มาทำอะไรที่นี่ ?”