ความหวั่นไหวที่ส่องออกมาจากแววตาเย่หวูซวงเพียงแวบหนึ่ง ถูกหยางเฉินจับบันทึกไว้ได้อย่างง่ายดาย
เป็นดังที่คิด เจ้าหมอนี่ ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นจากเปลือกนอก
ขนาดยังรอดสายตาหยางเฉินไปได้ ใช่เป็นคนมีบทบาทจริง ๆ
แต่ไม่ว่าเขาจะเก่งกาจระดับไหน อยู่ต่อหน้าหยางเฉิน ล้วนเพียงภาพลวงตา
“พูดมา!”
หม่าชาวได้เดินไปถึงข้างหน้ารปภ.ทั้งสองคนนั้นแล้ว พูดด้วยเสียงครุกรุ่นของการฆ่า
สองรปภ.ตัวสั่นงันงก มองไปที่เย่หวูซวงด้วยสีหน้าวอนขอ
ใจของเย่หวูซวงตกวูบลงไป พูดใส่ด้วยความโกรธ “บอกให้เจ้าพูดก็พูด ถ้าขืนยังจะมีการปิดบัง ก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เกรงใจ!”
ฟังผ่าน ๆ ในคำพูดประโยคนี้ ดูเหมือนไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ใช้ในสถานการณ์แบบนี้ กลับเต็มไปด้วยความกดดันสุด ๆ
สองรปภ.สีหน้าขาวซีด คำนี้ของเย่หวูซวง เป็นคำเตือนชัด ๆ
พูดก็พูดในฐานะของพวกเขา ตระกูลเย่คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ จะไปกล้าล่วงเกินได้ไง?
“พวกผมได้แต่ปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่มีบัตรรับเชิญ ก็ต้องห้ามไม่ให้เข้า!”
ทั้งสองรปภ.ยืนกระต่ายขาเดียวพูด ก็เพราะไม่มีบัตรรับเชิญ เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถให้พวกหยางเฉินเข้าไปได้
หม่าชาวหัวเราะเสียงเยือก “ก็ในเมื่อพวกเจ้าเลือกเดินทางไปตาย ข้าก็จะส่งพวกแกเดินทาง!”
เพียงพูดขาดคำ เขาก็สะบัดขาขึ้นทันที ซัดไปที่ตัวของรปภ.
“พอได้แล้ว!”
สองรปภ.ตกใจจนเซ่อออกตา มองขาของหม่าชาวห่างหัวของเขายิ่งใกล้ยิ่งใกล้เข้ามา เสี้ยวเวลาเส้นยาแดงผ่าแปดนั้น เสียงที่เต็มไปด้วยอานุภาพดังขึ้น
ขาของหม่าชาวหยุดกึกลงในพริบตานั้นห่างกลางกระหม่อมไม่กี่มิล.
สองรปภ.หน้าซีดไปสุด ๆ โดยเฉพาะคนที่เกือบจะโดนเข้ากับขาของหม่าชาว ถึงกับเหงื่อแตกท่วม ตัวอ่อนปวกเปียก หมดเรี่ยวแรงไปเลย
“ในเมื่อเป็นการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ก็เป็นเหตุให้อภัยกันได้อยู่”
หยางเฉินพูด แล้วยิ้มหยีตามองเย่หวูซวงถามไปว่า “คุณเย่ ผมพูดไม่ผิดนะ?”
เย่หวูซวงถึงกับสั่นไปนิดหนึ่ง ไม่รู้ด้วยสาเหตุอะไร ทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนว่าหยางเฉินมองเห็นอะไรออกแล้ว
เขาหัวเราะแก้เขินนิด พูดสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ในเมื่อคุณหยางไม่ถือสา ผมก็คงไม่ไปพิจารณาในเรื่องหน้าที่การงานของเขาละ”
พูดจบ เย่หวูซวงมองไปที่รปภ.ทั้งสองคน พูดเสียงเยือก “ยังไม่รีบขอบคุณคุณหยางที่ได้ช่วยชีวิตเอาไว้อีก!”
สองรปภ.ดึงเอาสติกลับคืนมาได้ รีบกล่าวขอบคุณ “ขอบพระคุณท่านหยาง!ขอบพระคุณท่านหยาง!”
“คุณหยาง เชิญข้างในครับ!”
เย่หวูซวงสีหน้ากลับเป็นปกติ พูดยิ้ม ๆ
คนที่อยู่โดยรอบล้วนออกอาการให้รู้สึกประหลาดใจ สายตามองตามเย่หวูซวงนำพาหยางเฉินกับหม่าชาวเดินเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลเย่
เพียงครู่เดียว ที่หน้าโถงจัดงานเลี้ยง เย่หวูซวงหยุดยืน พูดด้วยเสียงหัวเราะว่า “คุณหยางครับ ที่นี่เป็นบริเวณจัดงานเลี้ยงฉลองแซยิดนะครับ ผมมีงานอีกนิดหน่อย ค่อยพบกันให้หลังนะครับ”
“ได้!” หยางเฉินผงกหัวตอบรับ
หลังจากเย่หวูซวงจากไปแล้ว หม่าชาวส่งเสียงฮึแล้วพูด “พี่เฉิง ที่เราถูกขวางอยู่หน้าประตูเมื่อกี้นี้ เห็นชัด ๆ ว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนจัดการอยู่เบื้องหลัง พี่เฉิงทำไมไม่ฉีกหน้ากากจอมปลอมของมันออกมาให้เห็น ๆ กันนะ?”
หยางเฉินหัวเราะแล้วพูดว่า “ยากนักที่จะได้เจอคนรุ่นเดียวกันที่ข้ามองข้ามไปได้ ถ้าไปฉีกหน้ากากของเขาออกในตอนนี้ จะไม่รู้สึกน่าเสียดายไปหน่อยหรือ?”
หม่าชาวส่ายหัวอย่างเสียไม่ได้ “มันก็มีพี่เฉิงนี่แหละ ที่ยังมีอารมณ์นึกสนุกด้วย เล่นกับไอ้พวกจอมลวงโลกแบบนี้ น่ากลัว งานเลี้ยงวันนี้ คงยังจะต้องมีเรื่องยุ่งยากอีกเป็นแน่”
“ข้าไม่กลัวเรื่องยุ่งยากอยู่แล้ว แต่กลัวว่าเรื่องมันจะเล็กเกินไป มีเหตุผลไม่พอจะให้ข้าเล่นงานตระกูลเย่ได้”
หยางเฉินพลันพูดขึ้นมากับเสียงหัวเราะเหอะ ๆ
พูดจบ เขาก็เดินตรงเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของงานจัดเลี้ยง
หม่าชาวงงขึ้นมาแวบหนึ่ง แล้วก็เข้าใจในความหมายที่หยางเฉินพูดในทันที
พี่เฉินเรา คิดจะจัดการกับตระกูลเย่แล้วหรือนี่?
ในความคิดของหม่าชาว เกิดเห็นบางสิ่งที่รอคอยขึ้นมาในทันที
ทั้งสองเดินตามกันก้าวเข้าไปในห้องโถงจัดงานเลี้ยง ในห้องโถงงานจัดเลี้ยง สว่างแสงไฟผนังเจิดจ้า จัดตกแต่งประดับประดาไว้อย่างหรูหราอลังการ
ได้มีคนเข้ามาแล้วมากมาย เห็นชัดว่าล้วนเป็นคนในตระกูลใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นคงไม่มีสิทธิ์ได้รับเชิญ
การปรากฏตัวของหยางเฉินกับหม่าชาว ดึงสายตามองเข้ามามากมายในทันที
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อยู่ในงาน ล้วนเป็นคนระดับมีหน้ามีตา ต่างคนต่างรู้จักถึงกันอยู่
มีแต่หยางเฉินกับหม่าชาว มองยังไงก็แปลกหน้ากันอยู่มาก เห็นชัด ๆ ได้ว่าต้องเป็นคนต่างถิ่น
“พี่เฉิน ดูเหมือนมีสาวสวยตั้งหลายคน ล้วนกำลังมองพี่อยู่”
หม่าชาวพูดเสียงหัวเราะ หุ ๆ
หยางเฉินถลึงตาใส่ พูดอย่างเอือมระอาว่า “ถ้าแกชอบ เดี๋ยวข้าช่วยแนะนำให้แกสักคนมั้ย?”
หม่าชาวส่ายหน้าหลายตลบ พูดหน้าเครียดว่า “ในใจผมมีแต่อ้ายหลินคนเดียว”
หยางเฉินในวันนี้ บรรจงใส่ชุดออกงานสีดำ อีกยังผูกเนกไทสีดำ คู่รองเท้าดำ
บุคลิกของหยางเฉินนั้นดูดีมากอยู่เป็นทุนเดิม ความคมคายชัดเจนทุกมุมมอง ราศีดูสูงส่ง มีเสน่ห์ดึงดูดสายตาสาว ๆ เป็นอย่างมากอยู่แล้ว
มาขณะนี้ หญิงสาวมากมายในบริเวณงาน ล้วนแล้วแต่สาวสังคมชั้นสูง กับกลิ่นไอหนุ่มงามหล่ออย่างหยางเฉินนี้ ย่อมเป็นที่น่าชื่นชมมากเป็นธรรมดา
“คุณรูปหล่อคะ ดูหน้าไม่คุ้นเอามากเลย ไม่ทราบเป็นคุณชายบ้านไหนคะ?”
ในขณะนั้นเอง หญิงในชุดราตรีสีดำคนหนึ่งเดินเข้ามา มองหยางเฉินถามเสียงหัวเราะคิก ๆ
ผู้หญิงนั้นมองดูคงจะอยู่ในวัยสามสิบห้า-สามสิบหก หน้าตาแต่งเต็มด้วยเครื่องสำอาง มองดูก็สวยได้การอยู่ บุคลิกก็ดูดีมาก
มองดูก็รู้ว่าเป็นสาวสังคมบริหารระดับสูง
เห็นผู้หญิงคนนี้เดินเข้าไปหาหยางเฉิน หลายคนมีสีหน้าทะเล้นแสดงออก
“นั่นซุจิ้นนี่ ประธานบริษัทการบันเทิงจิ้งอาน เห็นว่าศิลปินหนุ่ม ๆ หลายคนในสังกัดของหล่อน ล้วนโดนหล่อนเอาไปนอนแล้ว”
“เจ้าหนุ่มคนนี้ โดนซุจิ้นหมายตาแล้ว นับว่าดวงนารีอุปถัมภ์ไม่เบา”
“ดวงนารีอุปถัมป์อะไรกัน?ผู้หญิงคนนี้มันนางอสรพิษชัด ๆ กินคนได้อย่างไม่เหลือซาก
หลายคนซุบซิบกันเบา ๆ
“ประสาทฟังเสียงของหยางเฉินนั้นไม่ธรรมดา จากเสียงนินทากันค่อย ๆ ก็ให้เขารู้ได้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”
“คุณเข้าใจผิดแล้ว ตระกูลใหญ่ในเยี่ยนตูนี้ คงไม่มีตระกูลไหนมีคุณสมบัติพอให้ผมไปเป็นคุณชายใหญ่อะไรหรอก”
หยางเฉินพูดด้วยยิ้มเก๋ ๆ
ได้ยินดังนั้น ซุจิ้นสะอึกนิดหนึ่ง แล้วทำปิดปากหัวเราะเบา ๆ ค้อนตาใส่หยางเฉิน พูดว่า “เธอนี่อารมณ์ขันดีจัง”
พูดจบ หล่อนหัวเราะหุ ๆ พูดว่า “ดิฉันซุจิ้น ประธานบริษัทการบันเทิงจิ้งอาน เธอเรียกฉันว่าพี่ซุก็ได้นะ”
หยางเฉินพียงแค่ยิ้มชืด ๆ ไม่มีทีท่าจะเจรจาพาทีด้วย
ที่เขามาวันนี้ ไม่ได้จะมาหานารีอุปถัมภ์
“พ่อรูปหล่อ จะไม่ยอมแนะนำตัวหน่อยหรือ?”
ซุจิ้นกระพริบตาถี่ ยิ้มตาหยี ๆ ถาม
หยางเฉินส่ายหน้า “คุณอย่ารู้จักผมเลยดีกว่า มิฉะนั้นแล้ว หลังจากคืนนี้ไป คุณคงจะต้องเสียใจภายหลัง”
ซุจิ้น หัวเราะออกเสียงคิก “ก็ได้ ฉันขอบอกเธอตรง ๆ นะ หุ่นภายนอกของเธอ ถูกใจฉันมากเลย ถ้าเธอเห็นดีด้วย ฉันก็จะเป็นเพื่อนหญิงของเธอตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย”
หยางเฉินมองผู้หญิงคนนี้ด้วยสีหน้าแปลก ๆ เขาก็แสดงออกให้เห็นแล้วว่าไม่มีความรู้สึกสนุกอะไรกับหล่อนเลย ไหงหล่อนก็ยังจะฝืนเบียดตัวเข้ามาอีก?
“คุณอาผู้หญิงครับ คุณอาคงอายุได้สักห้าสิบแล้วไหมครับ?พี่เฉินของผมปีนี้ยังไม่ถึงสามสิบเลย คุณอาจะขอเป็นเพื่อนหญิงกับเขา มันจะเหมาะเหรอ?”
ทันใดนั้นหม่าชาวถลันก้าวเข้ามา ยืนขวางอยู่หน้าหยางเฉิน แสยะมุมปากพูดประชดไป
พอพูดออกไปแบบนี้ สดุ้งฮือฮากันไปทั้งบริเวณ
ซุจิ้น อายุเพียงแค่สามสิบหก แต่พอได้แต่งหน้าแต่งตาแล้วดูอ่อนวัยขึ้นโข มองดูก็เหมือนสาวรุ่นวัยสักยี่สิบต้น ๆ
หม่าชาวดันผ่าไปพูดเป็นอาซิ้มวัยห้าสิบกว่า นี่มันเป็นการหยามใส่ซุจิ้น กันอย่างชัด ๆ
พลันเห็นรอยยิ้มบนหน้าซุจิ้นหายวับไปในทันที กลายเป็นหน้านางร้ายเหี้ยมโหด ไม่พูดพล่ามทำเพลง ยกมือขึ้นฟาด ตบใส่หน้าของหม่าชาวเข้าให้