ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 689 ร่ายรำ

จากนั้นนางกำนัลก็ได้เข้ามาเชิญให้เสด็จไปทานพระกระยาหาร เฉินเสียนรีบหาข้ออ้างทิ้งซูเจ๋อและซูเซี่ยนไว้ แล้วตัวเองก็ได้รีบหนีออกมาทันที

ที่ลานสวนของเหลียนชิงโจวและเฮ่อโยว ทั้งคู่กำลังเตรียมจะทานอาหารเที่ยงกัน แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ เฉินเสียนก็วิ่งมาโผล่ที่ลานสวนของพวกเขา

เหลียนชิงโจวยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ฝ่าบาท จู่ๆ เสด็จมาได้อย่างไรกันหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

เฉินเสียนจึงตอบกลับไปว่า : “ข้ามาทานมื้อเที่ยง”

“คนเดียวนะหรือ?”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฉินเสียนก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา เธอพูดขึ้นว่า : “นกพิราบเข้ายึดรังของนกกางเขนแล้ว ข้าจำเป็นต้องมาปรึกษาพวกเจ้าเสียหน่อย”

เหลียนชิงโจวและเฮ่อโยวหันมาสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “นกพิราบเข้าไปยึดรังของนกกางเขนอย่างไร? ท่านอ๋องรุ่ยมาที่เรือนของฝ่าบาทหรือ? ฝ่าบาทถึงได้แอบหนีออกมาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

เฉินเสียนปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสองคนนี้ฉลาดเป็นอย่างมาก เพียงครู่เดียวก็สามารถเดาถูกได้

เธอพูดขึ้นด้วยอย่างครุ่นคิดและรู้สึกลังเลเล็กน้อยว่า : “วันนี้ข้าผิดปกติมากใช่หรือเปล่า? รู้สึกเหมือนโดนมนต์ดำยังไงอย่างงั้น ข้าสงสัยว่าท่านอ๋องรุ่ยเป็นคนทำไสยศาสตร์ใส่ข้า”

ทุกครั้งที่เธอเจอซูเจ๋อ ถึงได้ไม่มีแรงต่อสู้หรือขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น

เหลียนชิงโจวพูดขึ้นว่า : “ใครผูกก็ให้คนนั้นแก้ ฝ่าบาทสงสัยว่าท่านอ๋องรุ่ยเป็นคนทำไสยศาสตร์ใส่พระองค์ ก็ไม่ควรจะหลบหนี ควรจะไปหาเขาให้เขาอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่อโยวรีบพยักหน้าเห็นดีเห็นงาม พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “อีกอย่าง ฝ่าบาทดูไม่เหมือนผู้ที่จะให้นกพิราบมายึดครองรังนกกางเขนได้ง่ายๆ เช่นนี้ มันช่างน่าขายหน้าเสียนี่กระไร ฝ่าบาทควรจะกลับไปพ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “ไม่เป็นไร ข้าอยู่ทานอาหารกับพวกเจ้าให้อิ่มเสียก่อน”

เหลียนชิงโจวจึงพูดขึ้นว่า : “ข้าวจะเสวยตอนไหนก็ได้ ควรจะไปจัดการเรื่องนี้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่อโยวก็ได้พูดขึ้นว่า : “ฝ่าบาทไม่ทรงกลัวว่าท่านอ๋องรุ่ยจะลงมนต์ดำกับพระตำหนักขององค์รัชทายาทจนต้องมนต์ไปด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

เฉินเสียนเหลือบสายตามองไปที่ทั้งคู่อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “วันนี้ทำไมพูดมากจัง?”

เวลานี้เอง ซูเจ๋อก็ได้สั่งให้นางกำนัลมาถามว่า : “ขออนุญาตเจ้าค่ะ จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ได้ประทับอยู่ที่เรือนนี้หรือไม่ ฝ่าบาทอ๋องรุ่ยทรงรอจักรพรรดิแห่งต้าฉู่กลับไปเสวยพระกระยาหารอยู่เจ้าค่ะ”

เหลียนชิงโจวและเฮ่อโยวก็รีบหว่านล้อมเป็นการใหญ่ว่า : “ฝ่าบาท สถานการณ์โดยรวมสำคัญที่สุด ฝ่าบาทรีบเสด็จไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ ตรงนี้เราไม่ได้จัดเตรียมอาหารในส่วนของพระองค์”

ซูเจ๋อส่งคนมาเชิญแล้ว ทั้งคู่ไม่กล้าให้เฉินเสียนอยู่ต่ออย่างแน่นอน จึงรีบพากันเชิญเธอกลับไป ดูจากสภาพของเย่ซวิ่นเมื่อคืนนี้ พวกเขาไม่โง่จนกล้ามาแย่งคนกับซูเจ๋ออย่างแน่นอน

ทั้งคู่พากันเชิญเฉินเสียนกลับไปราวกับกำลังอัญเชิญเทพเซียนก็ไม่ปาน จนสามารถเชิญเฉินเสียนออกไปได้ในที่สุด เฉินเสียนเองก็พอจะดูออก ว่าทั้งคู่นั้นกลัวว่าตัวเองจะโดนหางเลขไปด้วย

เฉินเสียนกลับไปที่เรือนของตัวเองอีกครั้ง ตอนนี้ซูเจ๋อและซูเซี่ยนได้นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารเป็นที่เรียบร้อย และยังไม่ได้แตะอาหารเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งคู่ต่างก็รอเธออยู่

ซูเจ๋อเลิกคิ้วขึ้นสูง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านไปปรึกษากับพ่อค้าสองคนที่ท่านพามาด้วยนะหรือ?”

“อืม คุยเรื่องทางการ” เฉินเสียนเดินเข้านั่งลง

ซูเจ๋อยื่นมือไปตักซุปมาถ้วยหนึ่งให้เธอด้วยท่วงท่าที่สง่างาม นิ้วมือที่เรียวยาวกำลังจับถ้วยกระเบื้องสีขาว สองสิ่งนี้คอยช่วยเสริมส่งชูให้เด่นชัดขึ้น ขาวเนียนกระจ่างชัดเจน

เขาวางถ้วยซุปไว้ที่ข้างๆ มือของเฉินเสียน ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ทำไม พวกเขาไม่ได้เตรียมอาหารส่วนของท่านหรอกหรือ?”

พูดแล้วก็ช้ำใจเปล่าๆ เฉินเสียนจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หดหู่ว่า : “พวกเขาอยากให้ข้าอยู่ แต่ข้าไม่อยากอยู่เองต่างหาก”

“เพราะเหตุใด”

“รู้ทั้งรู้ว่าท่านอ๋องรุ่ยมาร่วมทานอาหารเที่ยงกับข้า แต่หากข้าติดธุระกลับมาไม่ได้ ท่านก็จะเข้าใจผิดคิดว่าข้ากลัวท่านโดยปริยาย”

“ที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” ซูเจ๋อมองไปที่เธอ พูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า : “หากท่านยังจะไม่กลับมา ข้าก็คงจะนึกว่าท่านรู้สึกผิดจริงๆ”

เฉินเสียนกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย ทำไมจะต้องรู้สึกผิดด้วย

ซูเจ๋อคีบกับข้าวลงบนถ้วยของเธอและซูเซี่ยน เฉินเสียนและซูเซี่ยนจึงค่อยเริ่มทานอาหารกัน

ซูเซี่ยนทานอาหารอย่างสงบและอิ่มเอมใจ

เฉินเสียนเห็นท่านทางของเขาแล้ว ก็อดคิดถึงช่วงเวลาที่ทั้งสามพ่อแม่ลูกได้เคยนั่งทานข้าวด้วยกันในอดีตที่ผ่านมา เธอคอยคีบกับข้าวให้ซูเซี่ยน ซูเจ๋อก็คอยคีบกับข้าวลงไปในถ้วยของเธอ เหตุการณ์ขณะนี้เป็นเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด

เฉินเสียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังย้อนกลับไปเมื่อในอดีต

ซูเจ๋อเห็นเธอจ้องมองอาหารด้วยความเหม่อลอย จึงพูดขึ้นเบาๆ ว่า : “รสชาติไม่ถูกปากหรือ? อยากทานอะไรบอกข้ามาได้” เขาคีบอาหารให้เธอโดยที่ไม่ได้ถามเธอเลย เขาเดาเอาเองทั้งนั้นว่าเธออาจจะชอบ

อาหารที่เขาคีบให้เธอล้วนแต่เป็นอาหารที่เธอชอบทานทั้งนั้น กลับกลายเป็นว่าเฉินเสียนเป็นคนตั้งตัวไม่ทันเสียเอง

“ข้าจัดการเอง”

ซูเซี่ยนที่นั่งเงียบมาตลอด จู่ๆ ก็พูดเสริมขึ้นมาว่า : “อาหารที่ท่านคีบให้ ล้วนเป็นอาหารที่ท่านแม่ข้าชอบทั้งนั้น”

เฉินเสียนเหลือบไปมองซูเซี่ยน แล้วจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า : “ยามรับประทานไม่สนทนา ยามนอนไม่พูดคุย ทานข้าวดีๆ”

ซูเซี่ยนจึงทานอาหารต่ออย่างเหงาหงอย แต่ขาทั้งคู่ของเขาที่อยู่ใต้โต๊ะนั้นก็ยังแกว่งไปมาไม่หยุด

พูดถึงเย่ซวิ่น มายังอาณาจักรเป่ยเซี่ยหลายวันแล้ว ไม่ค่อยเห็นออกมาเที่ยวนอกวังบ้าง เขาเกลียดซูเจ๋อเข้ากระดูกดำเลยเชียว เพราะมีคนคอยเข้ามาตรวจค้นในเรือนที่เขาพักทั้งคืน จนเขาไม่เป็นอันหลับอันนอน พอมากลางวันก็อ่อนล้าไม่กระปรี้กระเปร่า ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมาวนเวียนอยู่ข้างๆ เฉินเสียนได้

สถานการณ์ตอนนี้ ซูเจ๋อจึงเป็นผู้ยึดครองเฉินเสียนแต่เพียงผู้เดียว

เย่ซวิ่นจะทำใจยอมรับได้อย่างไรกัน ในเมื่อจุดประสงค์ที่เขามาในครั้งนี้ ไม่ได้มาเพื่อช่วยเฉินเสียนประชดหรือยั่วโมโหซูเจ๋อจริงๆ เสียหน่อย เขาตั้งใจจะแยกเฉินเสียนและซูเจ๋อออกจากกันอย่างสิ้นเชิงต่างหาก

สองสามวันมานี้ กลางวันและกลางคืนของเขาถูกสลับสับเปลี่ยนมั่วไปกันหมด กลางคืนไม่ได้นอนดีๆ กลางวันจึงต้องนอนพักผ่อน ดังนั้นเมื่อถึงเวลาค่ำคืน แต่ละคนจึงตาสว่างและกระปรี้กระเปร่าเป็นอย่างมาก

ในเมื่อกลางคืนก็ไม่ได้นอนดีๆ อยู่แล้ว เย่ซวิ่นจึงได้พาคนของเขาไปยังเรือนที่เฉินเสียนพักอยู่

เวลานี้เฉินเสียนกำลังเตรียมตัวจะพาซูเซี่ยนออกไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ ก็เห็นว่าในเรือนมีชายรูปงามอยู่ จึงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ใบหน้านั้นงดงามและหล่อเหล่าเอาการ เฉินเสียนเคยเจอมาแล้วสองครั้ง แต่เมื่อพบเจออีกครั้ง กลับจำไม่ได้ว่าใครเป็นใครบ้าง

แม้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงเบื้องหน้านี้จะน่ามองสักแค่ไหน แต่สำหรับเฉินเสียนแล้ว ชายรูปงามเหล่านี้ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของเธอได้เลย

ไม่รอให้เฉินเสียนได้ทันพูดอะไร เย่ซวิ่นก็หัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “หลายคืนมานี้ มีคนมาตรวจค้นนักฆ่าทั้งคืน ช่วยไม่ได้ กลางวันและกลางคืนของพวกข้าจึงสลับกันไปหมด ยามค่ำคืนทั้งยาวนานและแสนจะน่าเบื่อ พวกข้าจึงได้มาหาองค์จักรพรรดินีสนทนาสักหน่อย”

เฉินเสียนจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า : “เจ้าอยากหาคนร่วมสนทนา พวกเจ้าก็สามารถนั่งคุยกันเองก็ได้นี่”

เย่ซวิ่นยิ้มขึ้นอย่างมีเสน่ห์ท่ามกลางบรรยากาศที่พึ่งจะเข้าสู่ยามค่ำคืน เขาพูดขึ้นว่า : “พวกเขาต่างเดินทางมาตั้งไกล แต่กลับทำได้แค่เปลี่ยนสถานที่สนทนาเท่านั้น นี่ไม่เหมือนกับการปรนนิบัติรับใช้และการทำให้องค์จักรพรรดินีพึงพอพระทัยเสียหน่อย”

เฉินเสียนหรี่ตาลง สีหน้าและแววตาเข้มขรึม เธอพูดขึ้นว่า : “คนเหล่านี้ไม่ใช่คนจากวังหลังของข้าเสียหน่อย และข้าเองก็ไม่ได้ต้องการให้ใครมาปรนนิบัติรับใช้ แต่หากว่าเจ้ารู้จัก ก็พาพวกเขากลับไปเสียเดี๋ยวนี้”

เย่ซวิ่นเดินเข้ามาข้างหน้า แสงเปลวไฟกระทบลงไปในดวงตาของเขา เขาพูดขึ้นอย่างเสียดสีว่า : “องค์จักรพรรดินีไร้ซึ่งความรู้สึกและเย็นชาเสียจริง ตอนที่ต้องการใช้พวกเขา ก็เอาพวกเขาไปประชดประชันชายผู้อื่น ตอนนี้ไม่ต้องการใช้แล้ว ก็ละทิ้งไม่สนใจไยดี เช่นนี้ ท่านจะแตกต่างอะไรกับคนโลเลสองจิตสองใจกันเล่า”

เฉินเสียนไม่เคยคิดจะใช้คนเหล่านี้ไปประชดประชันซูเจ๋อ เพียงแต่ว่าตอนที่เธอเจอนั้น คนเหล่านี้ก็อยู่บนเรือแล้ว เย่ซวิ่นนี่แหละเป็นหัวโจกนำขบวน เพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองไม่รู้สึกผิดจนเกินไป เธอจึงได้พาคนเหล่านี้เข้าวังมาด้วยอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

นอกจากงานเลี้ยงครั้งล่าสุดนี้ นอกเหนือจากการที่เธอได้รับปากบางอย่างกับองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยแล้ว ก็ไม่เคยที่จะเข้าใกล้คนเหล่านี้อีกเลย

ในตอนแรกเฉินเสียนคิดว่าอีกวันสองวันหลังจากที่พาคนเหล่านี้กลับไปยังราชอาณาจักรต้าฉู่แล้ว เจอกันอย่างไร ก็แยกย้ายกันอย่างนั้น เพียงแค่พวกเขาประพฤติตนเหมาะสมและปฏิบัติตนอย่างสงบเสงี่ยม โดยที่ไม่ก่อความโกลาหลและความวุ่นวายใดๆ ก็ถือว่าเฉินเสียนพอได้โล่งใจสักหน่อย

แต่ดูแล้วบรรยากาศในค่ำคืนนี้ ไม่ใช่ค่ำคืนที่เงียบสงบอย่างแน่นอน

เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “เจ้าอย่าคิดว่ามาเป็นหัวโจกนำขบวนแล้วจะสามารถฉกฉวยผลประโยชน์จากความชุลมุนวุ่นวายนี้ได้ พวกเขาไม่ใช่คนในวังหลังของข้า พวกกลอุบายที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งและความไม่ลงรอยกัน ทางที่ดีควรจะเพลาๆ เสียหน่อย ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะเหมือนกับพวกเจ้า เจ้าเป็นถึงองค์ชายหกแห่งราชอาณาจักรเย่เหลียง การถูกเจ้ายุโยงแค่เดี๋ยวเดียวสำคัญกว่า หรือชะตาชีวิตของพวกเขาสำคัญกว่า พวกเขาจะไตร่ตรองและชั่งน้ำหนักเองได้”

คำพูดประโยคนี้ไม่ได้เสียงดังหรือเสียงเบาจนเกินไป แต่เพียงพอที่จะทำให้คนในลานสวนได้ยินชัดเจนกันถ้วนหน้า สีหน้าพวกเขาจึงเปลี่ยนไปชั่วขณะในทันที

เป็นจริงดังที่ว่า พวกเขานั้นเทียบไม่ได้กับเย่ซวิ่น หากพวกเขาได้ล่วงเกินองค์จักรพรรดินีเข้า ก็อาจจะโดนกุดหัวได้ทุกเมื่อ

เฉินเสียนยืนอยู่บนขั้นบันได มองดูเย่ซวิ่นด้วยสายตาที่เย็นชา เธอแสยะยิ้มที่มุมปาก พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “กับคำพูดที่เจ้าบอกว่าข้าไร้ความรู้สึกและเย็นชานั้น จักรพรรดิไม่ควรต้องไร้ความรู้สึกและเย็นชาหรอกหรือ? นอกจากเขาแล้ว ใครเข้ามาก็ไม่มีประโยชน์หรอก”

เย่ซวิ่นเองก็ไม่ได้โวยวายอะไร เขาเพียงแต่ยิ้มบางๆ แต่รอยยิ้มนั้นได้ขาดบางส่วนไป กลับเพิ่มความไม่พอใจและความเศร้าสร้อยมาแทน

เย่ซวิ่นจ้องมองเธอ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “หากว่าทั้งชีวิตนี้ท่านไม่อาจที่จะเคียงคู่เขาได้ และไม่ว่าคนรอบข้างจะพยายามสักเพียงใด ก็ไม่มีวันที่จะทำให้หัวใจของท่านอบอุ่นขึ้นมาได้เลยหรือ? หลายปีที่ผ่านมานี้ ใครกันที่คอยอยู่เคียงข้างท่าน คอยทำให้ท่านมีความสุข คอยคลายความเบื่อหน่ายให้กับท่าน มันไม่ได้อยู่ในสายตาของท่านบ้างเลยหรือ?”

เฉินเสียนไม่ได้ตอบอะไรเขา

เย่ซวิ่นเข้าไปพำนักที่วังหลังของเธอหลายปี ถึงแม้ว่าเฉินเสียนจะไม่มีความรู้สึกว่าเขาเป็นศัตรูแล้ว แต่เธอก็ไม่อาจจะมีความรู้สึกแบบอื่นให้กับเขาเลยแม้แต่น้อยนิด

เย่ซวิ่นถอนลมหายใจ แล้วจึงพูดขึ้นต่อว่า : “ช่างเถอะ การรอให้ท่านเปลี่ยนใจหันกลับมา เกรงว่าทั้งชั่วชีวิตของข้าคงจะไม่มีความหวังอีกแล้ว แต่หากไม่สามารถได้หัวใจของท่านมาครอบครอง ก็ขอให้ข้าได้อยู่ใกล้ๆ องค์จักรพรรดินีก็ยังดี”

ความเศร้าในดวงตาเมื่อครู่นี้ได้หายไปแล้ว เย่ซวิ่นยิ้มขึ้นอย่างสบายใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นคนในวังหลังขององค์จักรพรรดินี แต่ก็ถือว่าได้รับคำสั่งมา ได้ยินมาว่ายังรับเงินแลกกับการทำภารกิจอีกด้วย พวกเขามากด้วยศิลปะและความสามารถ หน้าที่ของพวกเขาก็คือการทำให้องค์จักรพรรดินีพอพระทัย แต่หากไม่สามารถปฏิบัติได้ ก็ไม่เท่ากับรับเงินมาเปล่าๆ หรอกหรือ”

เวลานี้เอง ชายคนหนึ่งก็ได้เดินเข้ามาข้างหน้า กล่าวขึ้นอย่างสุภาพและอ่อนโยนว่า : “ที่องค์ชายหกตรัสมานั้นเป็นเรื่องจริงมิมีเท็จ กระหม่อมมาเพื่อลดคลายความกังวลพระทัยของฝ่าบาท หากว่าไม่สามารถทำอะไรได้เลย ก็จะละอายใจเป็นที่สุด หากฝ่าบาทไม่ต้องการจะใช้เหล่ากระหม่อมไปทำสิ่งอื่นใด กระนั้นให้กระหม่อมร้องเพลงดีดพินให้ฝ่าบาทก็ได้ กระหม่อมจะทำอย่างเต็มที่ที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเสียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า : “ข้าจะพาองค์รัชทายาทไปเดินเล่น ไม่มีเวลามาฟังเพลงเสียงพินหรอก”

เย่ซวิ่นจึงพูดขึ้นว่า : “ไม่มีเวลาก็ไม่เป็นไร ไม่ได้เดินเล่นทั้งคืนเสียหน่อย ให้พวกเขาไปเตรียมตัวก่อน รอท่านกลับมาแล้ว ก็จะได้รับฟังเพลงเสียงพินพอดี”

เฉินเสียนไม่ได้สนใจอะไรต่อ เธอจูงมือซูเซี่ยนแล้วเดินออกไปทันที แต่เมื่อหันกลับไปดู ภายใต้การหนุนนำของเย่ซวิ่นนั้น ก็เห็นว่าคนเหล่านั้นไม่มีท่าทีที่จะจากไปเลย กลับเตรียมเครื่องดนตรีมาด้วย และกำลังจะเข้าสู่ห้องโถงเพื่อเตรียมการ

ลานสวนที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้องค์จักรพรรดินีแห่งต้าฉู่ แน่นอนว่าไม่เล็กอยู่แล้ว นอกจากห้องบรรทมแล้ว ยังมีห้องเสวยพระกระยาหาร ห้องโถงและอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับวังหลวงแล้ว เทียบเท่ากับตำหนักเพียงตำหนักเดียวของวังหลวงแห่งอาณาจักรต้าฉู่เท่านั้น เพียงแต่ว่าการจัดวางและการตกแต่งละเอียดมากกว่าหน่อย

เฉินเสียนสีหน้าบึ้งตึง จ้องมองเย่ซวิ่นพาคนทั้งกลุ่มเข้าไปในห้องโถงรับรองแขก ก่อนหน้านี้เฉินเสียนแทบจะไม่ค่อยได้ใช้ห้องนี้เลย ตอนนี้ภายในห้องถูกจุดไฟสว่างไสว บวกกับด้านในที่มีการดีดพิน จึงได้ทำลายบรรยากาศที่เงียบสงบของลานกว้างนี้ไป กลายเป็นดูหรูหราขึ้นมาทันตาเห็น

หากสองแม่ลูกนี้จะออกไปเดินเล่นจริงๆ แล้วล่ะก็ ไม่แน่คนเหล่านี้อาจจะก่อความวุ่นวายให้กับที่นี่ขนาดไหนก็ไม่รู้

ท้ายที่สุด เฉินเสียนก็ไม่เป็นอันจะเดินเล่นต่อ เธอจูงมือซูเซี่ยนย้อนกลับไปในที่สุด เข้าไปนั่งในห้องโถง มองดูพวกเขาก่อความวุ่นวาย

เดิมทีเฉินเสียนตั้งใจจะฟังแค่สองบทเพลง ให้พวกเขาได้แสดงความตั้งใจแล้วก็แยกย้ายทันที และแล้ว ค่ำคืนนี้ก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ไม่มีความง่วงนอนเลยสักนิด เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นผู้ชายเต้นในยุคโบราณร่ายรำเป็นครั้งแรก จึงค่อนข้างรู้สึกแปลกใหม่

ถูกต้อง คนกลุ่มนี้เคยผ่านการฝึกฝนมาแล้ว ร้องบรรเลงเพลงเป็นก็ช่างแล้วเถอะ แต่นี่ยังจะลุกขึ้นมาร่ายรำอีก!

พวกเขามากด้วยศิลปะและความสามารถ ไม่ใช่เพียงแค่คุยโวหรือโอ้อวดเท่านั้น

เฉินเสียนเห็นชุดที่พวกเขาสวมใส่นั้นค่อนข้างเรียบ แขนเสื้อของพวกเขาสะบัดพลิ้วไหว บางเบาดุจขนนกก็ไม่ปาน ดูสวยงามตระการตาไม่น้อย เธอนั่งอยู่พักหนึ่ง นึกในใจว่าทำไมบทเพลงนี้ถึงไม่มีท่าทีว่าจะจบสักที เย่ซวิ่นนั่งลงด้านข้าง หยิบพิณขึ้นมาหนึ่งคัน วางลงบนตักของเขา ดึงชุดของเขาเบาๆ แล้วก็เริ่มบรรเลงตามจังหวะเพลง

มือของเขากำลังบรรเลงดีดสายบนพิณ คมดาบมากเหลือ ชำนาญเป็นอย่างยิ่ง ฟังเสนาะเพราะพริ้ง เฉินเสียนนึกไม่ถึงเลยว่าเขาเองก็มีความสามารถมากมายเช่นนี้

เฉินเสียนนั่งอยู่นานอย่างไม่รู้ตัว เธอกำลังมองดูการแสดงด้วยสีหน้าท่าทางที่ชื่นชมก็เท่านั้น ไม่ว่าฝีมือการร่ายรำของบรรดาผู้ชายเหล่านี้จะดีสักแค่ไหน ก็ไม่อาจทำให้เธอรู้สึกคิดมากเป็นอื่นใดได้

แต่แล้ว เหล่าบรรดาชายรูปงามเหล่านี้ยิ่งร่ายรำก็ยิ่งใจกล้าบ้าบิ่นมากขึ้น โบกสะบัดแขนเสื้อผ่านหน้าของเฉินเสียนเชิงหยอกเย้าและล้อเล่น

เฉินเสียนรู้สึกลายตาไปหมด เธอจึงพูดกับเย่ซวิ่นว่า : “พอแล้ว ให้พวกเขาออกไป”

เย่ซวิ่นไม่ได้หยุดมือของเขา จึงทำให้เสียงพิณก็ไม่ได้หยุดตามไปด้วย เขาที่เหมือนยังจมปลักอยู่ พูดขึ้นว่า : “องค์จักรพรรดินีไม่เชยชมต่ออีกสักหน่อยหรือ ลองดูว่ามีคนไหนตรงกับรสนิยมท่านบ้าง อยากจะหาคนที่เหมือนกับซูเจ๋อ ท่านสามารถหาได้จากที่นี่”

พูดจบ สายตาก็จับจ้องไปที่ชายผู้หนึ่งบนแท่นของห้องโถง มีคนหนึ่งในกลุ่มนั้นเดินออกมาข้างหน้าอย่างโดดเด่น

ดูจากส่วนสูงของร่างกายแล้ว ก็มีสอดคล้องคล้ายคลึงกับซูเจ๋ออยู่บ้าง จู่ๆ เฉินเสียนก็นึกถึงซูเจ๋อในชุดสีขาวบริสุทธิ์ขึ้นมา จากนั้นก็มองคนตรงหน้าอีกครั้ง สายตาของเธอได้ก็กลายเป็นแหลมคมและเรื่องมากขึ้นมาในทันที

เฉินเสียนเอียงศีรษะไปมอง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เจ้าว่าส่วนไหนในร่างกายของเขามีค่าพอที่จะเอาเปรียบเทียบกับซูเจ๋อหรือ?”

เย่ซวิ่นพูดขึ้นว่า : “รูปร่างพอได้ก็เพียงพอแล้ว หลังดับไฟก็เหมือนๆ กันหมด”

เฉินเสียนหรี่ตาลงด้วยความเย็นชา : “เย่ซวิ่น เจ้าอย่าได้ไร้ยางอายจนเกินไป” อีกอย่างซูเซี่ยนเองก็ยังอยู่ในห้องโถงนี้ด้วย

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset