ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 643 วันแห่งงานมงคล

เฉินเสียนยืนอยู่ในเงามืดบริเวณใกล้ๆ จวนอ๋องรุ่ยเป็นเวลานาน จ้องมองไปที่โคมไฟสีแดงที่หน้าประตูสีแดงสดใสอย่างเงียบๆ ด้านล่างของโคมไฟยังมีทหารยามเฝ้าอยู่อย่างละเอียดรอบคอบ

รู้ว่าเขาอยู่ข้างใน แต่นางไม่อาจจะหุนหันพลันแล่นไม่ได้ นางต้องจะกดมันต่อไป ยิ่งเร่งรีบ ยิ่งรีบไม่ได้

อ๋องมู่ไม่พบร่องรอยของแรงกระตุ้นในตัวนาง เช่นนี้เขาจึงสบายใจมากขึ้น

เฉินเสียนกล่าวว่า “จะรบกวนท่านอ๋องสักเรื่องได้หรือไม่?”

“หากข้าทำได้ พูดมาคงไม่เป็นไร”

“ท่านเป็นอาของเขา ท่านเข้าไปได้ ช่วยข้าเข้าไปดูเขาหน่อยได้หรือไม่? ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อรอท่านอ๋องออกมา”

อ๋องมู่ทรงยืดเสื้อผ้าของพระองค์แล้วพูดว่า “ข้าจากเมืองหลวงไปนานแล้ว ความจริงที่เป็นอาก็ควรไปดูสักหน่อย”

เฉินเสียนมองดูเขาเข้าไปในจวนอ๋องมู่ และทหารยามที่อยู่ข้างประตูได้คำนับให้เขา

นางรออยู่ครู่หนึ่ง ลมในตอนกลางคืนที่เป่ยเซี่ยยังคงพัดผ่านทุกสองนาที นางยังคงอยู่ท่าเดิม ไม่ขยับเขยื้อน เหมือนถูกผสมผสานเข้าไปกับคืนที่มืดมิด

ต่อมาอ๋องมู่ออกมาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ทันทีที่ไปถึงตรงหน้าเฉินเสียนได้กล่าวว่า “เป็นข่าวดี เขาได้ตื่นแล้ว”

หัวใจของเฉินเสียนชะงักงัน จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ และความเหนื่อยล้าจากสองสามวันที่ผ่านมาถูกเช็ดออกไปด้วยรอยยิ้มบนริมฝีปากของนาง นางพูดว่า “เป็นข่าวดีจริงๆ”

อ๋องมู่กล่าวว่า “ไปเถอะ ข้าจะพาท่านกลับไปที่โรงเตี๊ยม” ระหว่างทางก็คิด และพูดขึ้นอีก “ข้าช่วยท่านเพียงแค่นี้ พรุ่งนี้ข้าไม่สะดวกออกหน้า หนังสือเชิญจะมีคนมาส่ง ทุกอย่างท่านต้องทำด้วยตัวเอง แต่ข้าขอเตือนท่าน ถ้าหากท่านต้องการจะปล้นใครสักคน จักรพรรดิของข้าคงไม่ปล่อยไปง่ายๆ”

เฉินเสียนเงียบ และหลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว นางก็พูดขึ้นว่า “ทำไมท่านอ๋องต้องช่วยข้าถึงเพียงนี้?”

อ๋องมู่นิ่งไปสักพัก จากนั้นหัวเราะและพูดว่า “ข้าชอบหลานชายอาเซี่ยนมาก เขาสบายดีหรือไม่?”

เฉินเสียนกล่าวว่า “แค่หวังว่าพ่อของเขาจะสามารถกลับไปได้”

อ๋องมู่กล่าวรู้สึกปลงอนิจจังว่า “เป็นเด็กดีที่น่ารักมากคนหนึ่ง” ผ่านไปครู่หนึ่ง ได้กล่าวกับตัวเองว่า “เพราะว่าข้าอิจฉาพวกท่านอยู่เสมอ ที่มีความกล้าหาญมากกว่าข้า ข้าไม่สามารถทำเช่นนี้เหมือนพวกท่าน ในปีนั้นข้าไม่สามารถปล่อยวางทางโลกได้ ได้แต่มองดูหญิงที่รักของข้าแต่งงานไปที่บ้านเขา และกลายเป็นความเสียใจไปตลอดชีวิต”

เฉินเสียนมีคำตอบอยู่ในใจของนางแล้ว

อ๋องมู่มองดูนางแล้วโล่งใจเล็กน้อย “เมื่อปีนั้น นางเรียกข้าในนามว่าลุง ตอนนี้ลูกสาวของนางโตขึ้นแล้ว โชคดีจริงๆ และลูกสาวของนางควรเรียกคนที่นางรักในนามว่าลุงด้วย บางทีพระเจ้าอาจต้องการเติมเต็มความปรารถนาของข้า และให้ข้าชดเชยความเสียใจที่อยู่ในใจ ข้าหวังว่าทุกอย่างของพวกท่านยังมีเวลา เพียงแค่ไม่ขี้ขลาดเหมือนข้าในตอนนั้น”

นางไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับซูเจ๋อ คนหนึ่งเป็นลูกสาวของราชวงศ์ต้าฉู่ และอีกคนเป็นลูกชายของราชวงศ์ของเป่ยเซี่ย ไม่เพียงแต่ว่าฐานะแม่ของนางเคยเป็นองค์หญิงของเป่ยเซี่ยและได้แต่งงานไปที่ต้าฉู่ ดังนั้นจึงถูกกำหนดให้มีความคับข้องใจที่พัวพันไม่ชัดเจนเช่นนี้

เฉินเสียนกล่าวว่า “ขอบพระทัยเพคะ ขอบพระทัยท่านอ๋องสำหรับความรักที่มีต่อเสด็จแม่ของข้า และขอบพระทัยท่านอ๋องที่ช่วยข้า เฉินเสียนรู้สึกขอบพระทัยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”

อ๋องมู่โบกมือและกล่าวว่า “สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องพูด พรุ่งนี้ข้าขอให้ท่านโชคดี”

คืนนั้นนางได้เจรจากำหนดเส้นทางกับฉินหรูเหลียงและผู้ติดตามของนาง และเตรียมรถม้าไว้สองคันในเช้าวันรุ่งขึ้น และทุกอย่างเป็นไปตามแผน

ในวันที่สอง ฆ้องและกลองในเมืองหลวงถูกตีอย่างคึกคักและมีชีวิตชีวามาก กองเกียรติยศเดินไปตามถนนสายยาว ราษฎร์ต่างแยกจากกันเป็นสองฝั่งและเฝ้าดูด้วยความตื่นตาตื่นใจ

จวนอ๋องรุ่ยมีแขกเต็มไปหมด และมีเฉินเสียนปะปนอยู่ในนั้น และผู้ติดตามของนางก็กระจัดกระจายไปทุกที่

นางแต่งกายด้วยเสื้อคลุมยาวแขนแคบ ร่างกายทั้งสูงเพรียว ปิ่นปักผมหยกขาวปักไว้บนผมยาวๆ ของนาง และใบหน้าที่สะอาดผอมเพรียวปรากฏออกมาอย่างชัดเจน ดวงตาสีเหลืองอำพันคู่หนึ่งที่เฉียบคม ลักษณะที่นิ่งเงียบ ที่บ่งบอกถึงความดุดัน

ข้างนอกมีคนร้องเพลงเสียงดัง และเจ้าสาวเข้ามาประตูมาแล้ว

ที่ห้องโถงใหญ่ถูกจัดวางอย่างประณีต แต่กลับไม่เห็นเจ้าบ่าวไม่ออกมา หญิงสาวที่น่ารักท่านหนึ่งที่ยืนถือดอกไม้มงคลอยู่บนห้องโถง ได้ยินว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเจ้าบ่าว

ตามธรรมเนียมพื้นบ้านเมือง เวลาที่ใช้งานมงคลมาขจัดเสนียดจัญไร เมื่อเจ้าบ่าวไม่สามารถออกมาสักการะได้ ต้องน้องสาวมาทำแทน

ท่ามกลางสถานการณ์ที่แออัดเช่นนี้ องค์หญิงที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กก็ไม่ควรมาปรากฏตัวให้เห็น ลูกพี่ลูกน้องท่านนี้เป็นลูกสาวของอ๋องมู่ มีนิสัยที่มีชีวิตชีวาและชอบธรรมโดยธรรมชาติ เต็มใจที่จะออกมาทำพิธีไว้เทวดาฟ้าดินกับเจ้าสาวแทนพี่ชาย

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยพอใจ และพระราชทานพระนามว่าองค์หญิงจาวหยาง

องค์หญิงจาวหยางเกิดมารูปงาม และวันนี้แต่งตัวเรียบง่ายและสง่างาม สวมชุดสีแดง น่ารื่นรมย์มาก เมื่อได้ยินว่าเจ้าสาวเข้ามาแล้ว นางจึงยืดคอมองดู

ฉินหรูเหลียงยังคงปะปนอยู่กับฝูงชนที่มาคอยชื่นชม และได้เบียดมาถึงด้านข้างเฉินเสียน และกระซิบที่หูของนางว่า “ได้ตรวจสอบสวนหลังจวนแล้ว และได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา หากไม่ทำให้เกิดความโกลาหล จะเข้าไปอาจถูกพบเห็นได้ง่าย”

เฉินเสียนเหล่มองดูเจ้าสาวเข้าไปในห้องโถงที่มีสี่ผัวคอยประคองแขน จากนั้นท่ามกลางเสียงตะโกนให้รอฤกษ์มงคลเพื่อเตรียมพิธีไหวเทวดาฟ้าดิน

นางรู้ดีอยู่ในใจว่า ซูเจ๋อไม่มาปรากฏตัวในวันนี้ ไม่ได้ยืนอยู่ในห้องโถงแห่งความสุขนี้ด้วยตัวเอง แต่น้องสาวในนามของเขาได้เข้าพิธีไหว้เทวดาฟ้าดินกับเจ้าสาวแทน

เฉินเสียนพูด “พวกเจ้าจัดการเถอะ ข้าไม่อยากเห็นพิธีแต่งงานนี้จนเสร็จสิ้น”

ฉินหรูเหลียงรู้แล้ว และหันกลับและหายตัวไปในฝูงชนทันที แม้ว่าจะรู้ว่าทุกอย่างไม่ใช่ความตั้งใจของซูเจ๋อ เฉินเสียนก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ และเขาคงจะเข้าใจมากพอ

วันนี้ในจวนมีแท่นบูชาที่มีเหล้ามงคลเรียงไว้เป็นแท่นๆ ประสิทธิภาพการทำงานของฉินหรูเหลียงสูงมาก ได้ทำเหล้ามงคลที่มีอยู่ทุกทีในจวนตกแตก จากนั้นก็สามารถจุดไฟเผาขึ้นมาได้

ขณะที่องค์หญิงจาวหยางและเจ้าสาวกำลังถือผ้าไหมสีแดงเตรียมการสักการะ ในจวนอ๋องก็มีควันลอยพลุ่งพล่าน ในหลังเรือนก็มีคนรีบวิ่งออกมา และตะโกนว่า “ไฟไหม้! หลังเรือนเกิดไฟไหม้!”

วันนี้มีลมพัด และไฟก็ลุกลามอย่างรวดเร็ว โชคดีที่กองไฟอยู่ในลานทั้งหมด และลานหลักในจวนอ๋องก็ปลอดภัยดี แต่ตอนนี้พิธีไหว้เทวดาฟ้าดินก็ได้สนใจ ต้องไปดับไฟก่อนค่อยว่ากัน

และแล้วจึงเกิดความโกลาหลขึ้นในจวนท่านอ๋อง ที่ต่างก็ยุ่งกับการตักน้ำดับไฟ

เมื่อเฉินเสียนเห็นลมพัดห้องโถง ยกผ้าคลุมสีแดงของเจ้าสาวขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่ตื่นตระหนกภายใต้ผ้าคลุมสีแดง

เฉินเสียนเหลือบมองเบาๆ จากนั้นหันหลังกลับและเดินเข้าไปในสวนหลังเรือน

เมื่อเทียบกับเสียงและความตึงเครียดในพื้นที่ห่างไกล ลานหลักเงียบมาก และลานด้านหน้าที่สงบหน้าอยู่ ด้านในมีการว่างภูเขาปลอมไว้หนึ่งลูก บนภูเขามีหินสีเขียววางอยู่ และด้านล่างมีสระน้ำขนาดเล็ก ในสระน้ำเล็กๆ มีปลาสีสดใสไม่กี่ตัวกำลังว่ายน้ำอย่างสบายๆ

ทุกคนในเรือนหลักออกไปดับไฟ และเหลือเพียงสาวใช้หลานเอ๋อร์ที่ดูแลในวันธรรมดาเท่านั้น แต่ยังมีทหารยามเฝ้าอยู่ในลานที่อยู่ใต้ทางเดิน

เมื่อเห็นเฉินเสียนเข้ามา เขาสั่งให้หยุดพร้อมพูดว่า “แขกต่างเมืองโปรดไปที่ลานด้านหน้า นี่คือลานด้านในของจวนท่านอ๋อง ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่สามารถบุกรุกได้!”

แต่ทันทีที่เสียงหยุดไป ฉินหรูเหลียงปีนขึ้นไปบนกำแพงเพียงลำพังและต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ของลานด้านใน

ลานหลักปิดประตู และด้านนอกมีเสียงความโกลาหลดังอยู่ และจะมีใครได้ยินเสียงด้านในว่าเกิดอะไรขึ้น

ฉินหรูเหลียงไม่ได้ใช้ออกแรงมากในการจัดการกับพวกเขา แต่ได้ทิ้งชีวิตที่ริบหรี่ไว้ไม่ทำให้เขาตาย

เฉินเสียนใช้จังหวะที่กำลังต่อสู้ เงยหน้ามองขึ้นไปที่ประตูห้องนั้นในเรือนหลัก และเดินไปที่ประตูห้องนั้นทีละก้าวทีละก้าว

นางรู้สึกราวกับว่าตัวเองเดินตามทางมาไกลมาก และเพิ่งเดินมาถึงด้านหน้าประตูห้อง

มีแค่ประตูบานเดียวกั้นอยู่ เฉินเสียนเกิดลังเลขึ้น ไม่รู้ว่าหากนางเปิดประตูบานนี้เข้าไป จะสามารถเจอซูเจ๋อตามที่หวังหรือไม่? คนที่อยู่ข้างใน เป็นเขาไหม?

เฉินเสียนยืนอยู่ในเงามืดบริเวณใกล้ๆ จวนอ๋องรุ่ยเป็นเวลานาน จ้องมองไปที่โคมไฟสีแดงที่หน้าประตูสีแดงสดใสอย่างเงียบๆ ด้านล่างของโคมไฟยังมีทหารยามเฝ้าอยู่อย่างละเอียดรอบคอบ

รู้ว่าเขาอยู่ข้างใน แต่นางไม่อาจจะหุนหันพลันแล่นไม่ได้ นางต้องจะกดมันต่อไป ยิ่งเร่งรีบ ยิ่งรีบไม่ได้

อ๋องมู่ไม่พบร่องรอยของแรงกระตุ้นในตัวนาง เช่นนี้เขาจึงสบายใจมากขึ้น

เฉินเสียนกล่าวว่า “จะรบกวนท่านอ๋องสักเรื่องได้หรือไม่?”

“หากข้าทำได้ พูดมาคงไม่เป็นไร”

“ท่านเป็นอาของเขา ท่านเข้าไปได้ ช่วยข้าเข้าไปดูเขาหน่อยได้หรือไม่? ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อรอท่านอ๋องออกมา”

อ๋องมู่ทรงยืดเสื้อผ้าของพระองค์แล้วพูดว่า “ข้าจากเมืองหลวงไปนานแล้ว ความจริงที่เป็นอาก็ควรไปดูสักหน่อย”

เฉินเสียนมองดูเขาเข้าไปในจวนอ๋องมู่ และทหารยามที่อยู่ข้างประตูได้คำนับให้เขา

นางรออยู่ครู่หนึ่ง ลมในตอนกลางคืนที่เป่ยเซี่ยยังคงพัดผ่านทุกสองนาที นางยังคงอยู่ท่าเดิม ไม่ขยับเขยื้อน เหมือนถูกผสมผสานเข้าไปกับคืนที่มืดมิด

ต่อมาอ๋องมู่ออกมาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ทันทีที่ไปถึงตรงหน้าเฉินเสียนได้กล่าวว่า “เป็นข่าวดี เขาได้ตื่นแล้ว”

หัวใจของเฉินเสียนชะงักงัน จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ และความเหนื่อยล้าจากสองสามวันที่ผ่านมาถูกเช็ดออกไปด้วยรอยยิ้มบนริมฝีปากของนาง นางพูดว่า “เป็นข่าวดีจริงๆ”

อ๋องมู่กล่าวว่า “ไปเถอะ ข้าจะพาท่านกลับไปที่โรงเตี๊ยม” ระหว่างทางก็คิด และพูดขึ้นอีก “ข้าช่วยท่านเพียงแค่นี้ พรุ่งนี้ข้าไม่สะดวกออกหน้า หนังสือเชิญจะมีคนมาส่ง ทุกอย่างท่านต้องทำด้วยตัวเอง แต่ข้าขอเตือนท่าน ถ้าหากท่านต้องการจะปล้นใครสักคน จักรพรรดิของข้าคงไม่ปล่อยไปง่ายๆ”

เฉินเสียนเงียบ และหลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว นางก็พูดขึ้นว่า “ทำไมท่านอ๋องต้องช่วยข้าถึงเพียงนี้?”

อ๋องมู่นิ่งไปสักพัก จากนั้นหัวเราะและพูดว่า “ข้าชอบหลานชายอาเซี่ยนมาก เขาสบายดีหรือไม่?”

เฉินเสียนกล่าวว่า “แค่หวังว่าพ่อของเขาจะสามารถกลับไปได้”

อ๋องมู่กล่าวรู้สึกปลงอนิจจังว่า “เป็นเด็กดีที่น่ารักมากคนหนึ่ง” ผ่านไปครู่หนึ่ง ได้กล่าวกับตัวเองว่า “เพราะว่าข้าอิจฉาพวกท่านอยู่เสมอ ที่มีความกล้าหาญมากกว่าข้า ข้าไม่สามารถทำเช่นนี้เหมือนพวกท่าน ในปีนั้นข้าไม่สามารถปล่อยวางทางโลกได้ ได้แต่มองดูหญิงที่รักของข้าแต่งงานไปที่บ้านเขา และกลายเป็นความเสียใจไปตลอดชีวิต”

เฉินเสียนมีคำตอบอยู่ในใจของนางแล้ว

อ๋องมู่มองดูนางแล้วโล่งใจเล็กน้อย “เมื่อปีนั้น นางเรียกข้าในนามว่าลุง ตอนนี้ลูกสาวของนางโตขึ้นแล้ว โชคดีจริงๆ และลูกสาวของนางควรเรียกคนที่นางรักในนามว่าลุงด้วย บางทีพระเจ้าอาจต้องการเติมเต็มความปรารถนาของข้า และให้ข้าชดเชยความเสียใจที่อยู่ในใจ ข้าหวังว่าทุกอย่างของพวกท่านยังมีเวลา เพียงแค่ไม่ขี้ขลาดเหมือนข้าในตอนนั้น”

นางไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับซูเจ๋อ คนหนึ่งเป็นลูกสาวของราชวงศ์ต้าฉู่ และอีกคนเป็นลูกชายของราชวงศ์ของเป่ยเซี่ย ไม่เพียงแต่ว่าฐานะแม่ของนางเคยเป็นองค์หญิงของเป่ยเซี่ยและได้แต่งงานไปที่ต้าฉู่ ดังนั้นจึงถูกกำหนดให้มีความคับข้องใจที่พัวพันไม่ชัดเจนเช่นนี้

เฉินเสียนกล่าวว่า “ขอบพระทัยเพคะ ขอบพระทัยท่านอ๋องสำหรับความรักที่มีต่อเสด็จแม่ของข้า และขอบพระทัยท่านอ๋องที่ช่วยข้า เฉินเสียนรู้สึกขอบพระทัยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”

อ๋องมู่โบกมือและกล่าวว่า “สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องพูด พรุ่งนี้ข้าขอให้ท่านโชคดี”

คืนนั้นนางได้เจรจากำหนดเส้นทางกับฉินหรูเหลียงและผู้ติดตามของนาง และเตรียมรถม้าไว้สองคันในเช้าวันรุ่งขึ้น และทุกอย่างเป็นไปตามแผน

ในวันที่สอง ฆ้องและกลองในเมืองหลวงถูกตีอย่างคึกคักและมีชีวิตชีวามาก กองเกียรติยศเดินไปตามถนนสายยาว ราษฎร์ต่างแยกจากกันเป็นสองฝั่งและเฝ้าดูด้วยความตื่นตาตื่นใจ

จวนอ๋องรุ่ยมีแขกเต็มไปหมด และมีเฉินเสียนปะปนอยู่ในนั้น และผู้ติดตามของนางก็กระจัดกระจายไปทุกที่

นางแต่งกายด้วยเสื้อคลุมยาวแขนแคบ ร่างกายทั้งสูงเพรียว ปิ่นปักผมหยกขาวปักไว้บนผมยาวๆ ของนาง และใบหน้าที่สะอาดผอมเพรียวปรากฏออกมาอย่างชัดเจน ดวงตาสีเหลืองอำพันคู่หนึ่งที่เฉียบคม ลักษณะที่นิ่งเงียบ ที่บ่งบอกถึงความดุดัน

ข้างนอกมีคนร้องเพลงเสียงดัง และเจ้าสาวเข้ามาประตูมาแล้ว

ที่ห้องโถงใหญ่ถูกจัดวางอย่างประณีต แต่กลับไม่เห็นเจ้าบ่าวไม่ออกมา หญิงสาวที่น่ารักท่านหนึ่งที่ยืนถือดอกไม้มงคลอยู่บนห้องโถง ได้ยินว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเจ้าบ่าว

ตามธรรมเนียมพื้นบ้านเมือง เวลาที่ใช้งานมงคลมาขจัดเสนียดจัญไร เมื่อเจ้าบ่าวไม่สามารถออกมาสักการะได้ ต้องน้องสาวมาทำแทน

ท่ามกลางสถานการณ์ที่แออัดเช่นนี้ องค์หญิงที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กก็ไม่ควรมาปรากฏตัวให้เห็น ลูกพี่ลูกน้องท่านนี้เป็นลูกสาวของอ๋องมู่ มีนิสัยที่มีชีวิตชีวาและชอบธรรมโดยธรรมชาติ เต็มใจที่จะออกมาทำพิธีไว้เทวดาฟ้าดินกับเจ้าสาวแทนพี่ชาย

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยพอใจ และพระราชทานพระนามว่าองค์หญิงจาวหยาง

องค์หญิงจาวหยางเกิดมารูปงาม และวันนี้แต่งตัวเรียบง่ายและสง่างาม สวมชุดสีแดง น่ารื่นรมย์มาก เมื่อได้ยินว่าเจ้าสาวเข้ามาแล้ว นางจึงยืดคอมองดู

ฉินหรูเหลียงยังคงปะปนอยู่กับฝูงชนที่มาคอยชื่นชม และได้เบียดมาถึงด้านข้างเฉินเสียน และกระซิบที่หูของนางว่า “ได้ตรวจสอบสวนหลังจวนแล้ว และได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา หากไม่ทำให้เกิดความโกลาหล จะเข้าไปอาจถูกพบเห็นได้ง่าย”

เฉินเสียนเหล่มองดูเจ้าสาวเข้าไปในห้องโถงที่มีสี่ผัวคอยประคองแขน จากนั้นท่ามกลางเสียงตะโกนให้รอฤกษ์มงคลเพื่อเตรียมพิธีไหวเทวดาฟ้าดิน

นางรู้ดีอยู่ในใจว่า ซูเจ๋อไม่มาปรากฏตัวในวันนี้ ไม่ได้ยืนอยู่ในห้องโถงแห่งความสุขนี้ด้วยตัวเอง แต่น้องสาวในนามของเขาได้เข้าพิธีไหว้เทวดาฟ้าดินกับเจ้าสาวแทน

เฉินเสียนพูด “พวกเจ้าจัดการเถอะ ข้าไม่อยากเห็นพิธีแต่งงานนี้จนเสร็จสิ้น”

ฉินหรูเหลียงรู้แล้ว และหันกลับและหายตัวไปในฝูงชนทันที แม้ว่าจะรู้ว่าทุกอย่างไม่ใช่ความตั้งใจของซูเจ๋อ เฉินเสียนก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ และเขาคงจะเข้าใจมากพอ

วันนี้ในจวนมีแท่นบูชาที่มีเหล้ามงคลเรียงไว้เป็นแท่นๆ ประสิทธิภาพการทำงานของฉินหรูเหลียงสูงมาก ได้ทำเหล้ามงคลที่มีอยู่ทุกทีในจวนตกแตก จากนั้นก็สามารถจุดไฟเผาขึ้นมาได้

ขณะที่องค์หญิงจาวหยางและเจ้าสาวกำลังถือผ้าไหมสีแดงเตรียมการสักการะ ในจวนอ๋องก็มีควันลอยพลุ่งพล่าน ในหลังเรือนก็มีคนรีบวิ่งออกมา และตะโกนว่า “ไฟไหม้! หลังเรือนเกิดไฟไหม้!”

วันนี้มีลมพัด และไฟก็ลุกลามอย่างรวดเร็ว โชคดีที่กองไฟอยู่ในลานทั้งหมด และลานหลักในจวนอ๋องก็ปลอดภัยดี แต่ตอนนี้พิธีไหว้เทวดาฟ้าดินก็ได้สนใจ ต้องไปดับไฟก่อนค่อยว่ากัน

และแล้วจึงเกิดความโกลาหลขึ้นในจวนท่านอ๋อง ที่ต่างก็ยุ่งกับการตักน้ำดับไฟ

เมื่อเฉินเสียนเห็นลมพัดห้องโถง ยกผ้าคลุมสีแดงของเจ้าสาวขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่ตื่นตระหนกภายใต้ผ้าคลุมสีแดง

เฉินเสียนเหลือบมองเบาๆ จากนั้นหันหลังกลับและเดินเข้าไปในสวนหลังเรือน

เมื่อเทียบกับเสียงและความตึงเครียดในพื้นที่ห่างไกล ลานหลักเงียบมาก และลานด้านหน้าที่สงบหน้าอยู่ ด้านในมีการว่างภูเขาปลอมไว้หนึ่งลูก บนภูเขามีหินสีเขียววางอยู่ และด้านล่างมีสระน้ำขนาดเล็ก ในสระน้ำเล็กๆ มีปลาสีสดใสไม่กี่ตัวกำลังว่ายน้ำอย่างสบายๆ

ทุกคนในเรือนหลักออกไปดับไฟ และเหลือเพียงสาวใช้หลานเอ๋อร์ที่ดูแลในวันธรรมดาเท่านั้น แต่ยังมีทหารยามเฝ้าอยู่ในลานที่อยู่ใต้ทางเดิน

เมื่อเห็นเฉินเสียนเข้ามา เขาสั่งให้หยุดพร้อมพูดว่า “แขกต่างเมืองโปรดไปที่ลานด้านหน้า นี่คือลานด้านในของจวนท่านอ๋อง ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่สามารถบุกรุกได้!”

แต่ทันทีที่เสียงหยุดไป ฉินหรูเหลียงปีนขึ้นไปบนกำแพงเพียงลำพังและต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ของลานด้านใน

ลานหลักปิดประตู และด้านนอกมีเสียงความโกลาหลดังอยู่ และจะมีใครได้ยินเสียงด้านในว่าเกิดอะไรขึ้น

ฉินหรูเหลียงไม่ได้ใช้ออกแรงมากในการจัดการกับพวกเขา แต่ได้ทิ้งชีวิตที่ริบหรี่ไว้ไม่ทำให้เขาตาย

เฉินเสียนใช้จังหวะที่กำลังต่อสู้ เงยหน้ามองขึ้นไปที่ประตูห้องนั้นในเรือนหลัก และเดินไปที่ประตูห้องนั้นทีละก้าวทีละก้าว

นางรู้สึกราวกับว่าตัวเองเดินตามทางมาไกลมาก และเพิ่งเดินมาถึงด้านหน้าประตูห้อง

มีแค่ประตูบานเดียวกั้นอยู่ เฉินเสียนเกิดลังเลขึ้น ไม่รู้ว่าหากนางเปิดประตูบานนี้เข้าไป จะสามารถเจอซูเจ๋อตามที่หวังหรือไม่? คนที่อยู่ข้างใน เป็นเขาไหม?

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset