เฉินเสียนเดินโซเซไปทางซูเจ๋อที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ เขานั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเตี้ย ผมสีดำราวกับหมึกและดูอบอุ่น ดูเหมือนเขาจะรู้ก่อนหน้าว่าเฉินเสียนจะมา ดังนั้นเขาจึงนั่งรอเธออยู่ที่นี่
เฉินเสียนคิดว่าเขากำลังทำเรื่องบ้าคลั่งอยู่ ในสายตาเขาคงไม่มีค่าพอให้พูดถึง ดังนั้นเขาจึงไม่แยแสตั้งแต่ต้นจนจบ!
ในเวลานั้นเฉินเสียนต้องการคว้าหัวใจของเขา และถามเขาว่าเขาอยู่ในอารมณ์แบบไหนที่พยายามจะฆ่าพวกเขาทั้งหมด
ยิ่งซูเจ๋อเฉยเมยมากขึ้นเท่าไหร่ เฉินเสียนก็ยิ่งดูเหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังจะอาละวาด
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เธอติดอยู่กับความยับยั้งชั่งใจภายในของเธอ ไม่สามารถปลดปล่อยและผ่อนคลายได้เลยแม้แต่น้อย เธอเจ็บปวด ทำงานอย่างหนัก พยายามไล่ตามซูเจ๋อให้ทัน แต่ตอนนี้มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่าเธออาจจะไม่มีวันตามเขาทัน
เพราะเธอไม่ได้มีหัวใจแบบเขา
ในสายตาของใครหลาย ๆ คน เฉินเสียนไม่เคยทำอย่างนี้กับซูเจ๋อ
เธอโกรธ เธอโมโห เธอเกลียด และเธอก็เจ็บปวด
ถ้วยและจานชามที่ประณีตทั้งหมดตกลงบนพื้นกระจัดกระจาย เธอเอนตัวไปข้างหน้าที่โต๊ะของซูเจ๋อ คว้ากระเป๋าที่ชุดของซูเจ๋อด้วยมือข้างหนึ่งแล้วดึงมาข้างหน้าเธอ
เฉินเสียนกัดฟัน น้ำตาไหลเบ้าตาบวมแดง และพูดด้วยความรักและความเกลียดชัง “ข้าบอกว่าข้าไม่อนุญาต ทำไมท่านต้องบังคับถึงขั้นนี้! ท่านจะดีใจใช่ไหมเมื่อสุดท้ายได้เห็นว่าข้าจะโดดเดี่ยวอ้างว้างไม่เหลือใคร ท่านคงดีใจหากได้เห็นข้าทุกข์ทรมาน ท่านคงดีใจที่ได้ทำแบบนี้กับข้า!”
เธอรู้ว่าไม่ว่าเธอจะอ่อนน้อมหรืออ่อนแอเพียงใด ซูเจ๋อก็คงไม่เป็นเหมือนอดีตที่คอยใส่ใจเธอ คอยเอาใจเธอ ดูเหมือนเขาตัดสินใจแล้ว และไม่มีวันหันหลังกลับ ตอนนี้หัวใจของเขาแข็งยิ่งกว่าหินเหล็กเสียอีก
เฉินเสียนไม่ต้องการร้องไห้ต่อหน้าเขาอีกต่อไป ไม่อยากทำให้ตัวเองไร้ประโยชน์ แต่ไม่มีทาง เมื่อเธอเผชิญหน้ากับซูเจ๋อแบบนี้ เธอยังคงร้องไห้ราวกับสายฝน
น้ำตาที่ร่วงจากดวงตาของเธอ หยดลงบนเสื้อผ้าของซูเจ๋ออย่างเงียบ ๆ ทิ้งรอยคราบน้ำตาไว้ลึก เขาหลับตาลงและไม่มอง
ในที่สุดเฉินเสียนก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้ และเธอร้องไห้ออกมาอย่างอดกลั้น “หากท่านต้องการเห็นข้าเป็นทุกข์ และต้องการทรมานข้า งั้นตอนนี้ท่านทำสำเร็จแล้ว ท่านยังต้องการอะไรอีก หรือท่านต้องการให้ข้าเกลียดท่าน หรือต้องการให้ข้าเหมือนตายทั้งเป็นนับจากนี้? ข้าไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเดินมาถึงจุดนี้ ซูเจ๋อบอกข้าได้ไหม ถ้าแค่ต้องการให้ข้าตัดใจก็ควรจะบอกให้ข้าเข้าใจก่อนตายได้ไหม!”
มีเพียงเสียงของเฉินเสียนเท่านั้นที่ตะโกนดังอยู่ในห้องโถง และสิ่งที่เหลืออยู่คือความเงียบสงัด
ซูเจ๋อไม่ได้พูดแก้ตัวให้ตัวเองเลยสักคำ
เขาเพียงยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยและพูดอย่างคลุมเครือว่า “ครั้งนี้ฝ่าบาทมาได้ทันเวลาเสียจริง งั้นลืมไปเถอะ”
ยังไม่สามารถได้คำตอบที่ต้องการ จิตใจของเฉินเสียนค่อย ๆ เย็นลง เธอเก็บน้ำตาไว้และพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ครั้งนี้ลืมไป หากมีครั้งหน้า ข้าจะไม่เกรงใจท่านแล้ว ท่านสามารถทำลายตัวท่านเอง ท่านสามารถทำลายข้าได้ แต่ไม่เกี่ยวกับพวกเขา องครักษ์!”
ภายนอกท้องพระโรงมีองครักษ์วิ่งเข้ามา เฉินเสียนออกคำสั่ง “นำตัวท่านอัครเสนาบดีออกไปส่งนอกวังหลวง”
เธอพูดพลางขยับนิ้วมือ รอยยับบนเสื้อผ้าของเขายังพอสังเกตได้ชัดเจน เฉินเสียนยืดตัวขึ้น ซูเจ๋อลุกขึ้นและมองไปที่เธอ และเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมา
เฉินเสียนเหลียวมองไปที่แผ่นหลังของเขา กัดริมฝีปากของเธอ เพื่อไม่ให้ตัวเองดูอ่อนแอเกินไป
แต่ความเจ็บปวดที่ปกคลุมร่างกายของเธอ ก็เหมือนกับความยุ่งเหยิงที่อยู่ตรงหน้านี้ สามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน
เหลียนชิงโจวไม่ได้เป็นขุนนาง มีหลายเรื่องที่เขาฟังมาจากคนอื่น และไม่ได้รู้อะไรมากนัก เมื่อเขาได้สติจึงกล่าวว่า “ฝ่าบาทและอาจารย์มีเรื่องผิดใจกันหรือ?”
ฉินหรูเหลียงมองไปที่เหลียนชิงโจว เหลียนชิงโจวหุบปากของเขาโดยทันที
เฉินเสียนรู้สึกเหนื่อยมาก เธอลากร่างกายที่อ่อนล้าของเธอค่อย ๆ ก้าวเดินออกไปจากพระที่นั่งหวาสวี และกล่าวอย่างล่องลอย “ข้าคิดมากไป เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด ข้าเหนื่อยแล้ว พวกท่านกลับกันเองเถอะ”
สามคนที่อยู่ในห้องโถง ไม่มีใครยอมลุกขึ้นก่อน
ฉินหรูเหลียงหยิบเหยือกเหล้าที่เอียงลงกับพื้นขึ้นมา หยิบแก้วที่แตกครึ่งขึ้นมาแล้วรินเหล้าต่อ
เมื่อเห็นฉินหรูเหลียงยกแก้วเหล้าขึ้นมาจะดื่ม เฮ่อโยวและเหลียนชิงโจวรู้สึกประหลาดใจและสงสัย เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาของเฉินเสียน เหล้าและอาหารเหล่านี้ไม่สมควรดื่มหรือกินเข้าไป
เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่าซูเจ๋อคิดอย่างไรกันแน่ และคืนนี้ที่เข้ามาในวังหลวง ก็ไม่ได้เตรียมการป้องกันไว้ ในเหล้านี้มียาพิษหรือไม่ หากไม่ได้ลองก็ไม่สามารถรู้ได้
เฮ่อโยวยังคงย้ำเตือนว่า “ท่านแม่ทัพฉินควรระมัดระวังไว้จะดีกว่า”
เมื่อเขาพูดจบ ฉินหรูเหลียงก็ดื่มเหล้าเข้าไปแล้ว
เขากล่าว “เป็นเหล้าที่ดี หากทิ้งไปคงเสียดายแย่” เขาดื่มไปอีกหลายแก้วและกล่าวว่า “หากเขาต้องการจะฆ่าพวกเราจริง ๆ ทำไมเขาต้องเชิญพวกเรามาที่วังอย่างเปิดเผย และทำไมถึงบังเอิญให้ฝ่าบาทมาเห็นได้”
ทันใดนั้นเฮ่อโยวกล่าวว่า “เขาต้องการทำให้ฝ่าบาทเห็น เพื่ออะไร?”
ฉินหรูเหลียงดื่มเหล้าเหยือกนั้นจนหมด ลุกขึ้นและเดินออกจากท้องพระโรงและกล่าวว่า “เขาคงคาดหวังมากกว่าใคร ๆ ให้พวกเรามีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่เช่นนั้นรอบกายฝ่าบาทจะไม่เหลือใครเลยที่คอยปกป้องดูแลพระองค์ และเขากลัวว่าเขาจะไม่สบายใจ”
เฮ่อโยวและเหลียนชิงโจวมองหน้ากัน การแสดงออกค่อย ๆ คลายความสงสัย
ความทุกข์ทรมานในหัวใจของเฉินเสียนนั้น สามารถมองเห็นได้ แต่ความทุกข์ทรมานในหัวใจของซูเจ๋อนั้นไม่สามารถมองเห็นได้
หากจะบอกว่าเขากำลังกดดันและบีบคั้นเฉินเสียน อาจเป็นเขาที่กำลังกดดันตัวเขาเอง เขาต้องใช้ความพยายามมากมายแค่ไหนในการขับเคลื่อนตัวเองไปสู่สถานการณ์ที่ทรยศหักหลังคนอื่น
เขาไม่กลัวการจากไปโดยลำพัง เขากลัวว่าเธอจะไม่สามารถมีชีวิตที่ดีได้ ดังนั้นเขาจึงพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้เธอเป็นกษัตริย์ที่ฉลาดปราดเปรื่อง และทำให้ข้าราชบริพารเหล่าขุนนางของเธอจงรักภักดี เขาต้องการเหลือความอบอุ่นในท้ายที่สุดทั้งหมดไว้กับเธอ และเขาก็หายตัวไปพร้อมกับความมืดและความน่ารังเกียจ
เขากลัวว่าเฉินเสียนจะไม่กล้าลงมือ ดังนั้นจึงเป็นเขาที่เป็นฝ่ายลงมือ การจบลงด้วยวิธีนี้คงเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วสำหรับความโหดร้ายนี้
เหมือนที่ฉินหรูเหลียงกล่าว เขาจะฆ่าคนสำคัญทุกคนที่อยู่รอบกายของเฉินเสียนได้อย่างไร หลังจากที่เขาจากไปแล้ว พวกเขาจะเข้ามาทำหน้าที่ปกป้องผู้หญิงที่เขารัก ก็ดีเหมือนกัน
เขาจะปล่อยให้เธอโดดเดี่ยวเดียวดายคนเดียวได้อย่างไร
กองกำลังและขุนนางที่จะออกไปตรวจสอบนอกเมืองหลวงเตรียมตัวพร้อมแล้ว แต่ยังไม่มีกำหนดการวันออกเดินทาง เหตุผลก็คือสาน์สที่ซูเจ๋อกราบทูลขึ้นไปนั้น ถูกเฉินเสียนปฏิเสธทั้งหมด
เธอไม่เห็นด้วย เธอไม่อนุญาตให้ซูเจ๋อออกนอกเมืองหลวง เธอไม่ต้องการปล่อยเขาไปแบบนี้
ในพระตำหนักไท่เหอ เฉินเสียนนำเหล้าสับปะรดที่ได้สูตรมาจากเย่ซวิ่นออกมาดื่ม เธอดื่มหนักและสลบไปในห้องนอน อวี้เยี่ยนและแม่นมซุยต่างทนไม่ไหว
เมื่อซูเซี่ยนเข้ามาที่ห้องนอน เขาพูดกับแม่นมซุย “เอ้อร์เหนียงไปตามท่านพ่อมาได้ไหม”
แม่นมซุยกล่าว “ก่อนหน้านี้ใต้เท้าปฏิเสธไม่มาพบฝ่าบาท ตอนนี้…”
“บอกว่าท่านแม่ป่วย” ซูเซี่ยนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ครั้งนี้ป่วยหนักมาก ยังไม่ฟื้น”
แม่นมซุยรีบออกจากพระตำหนักโดยเร็วไว
ทันทีที่ซูเซี่ยนเข้ามายังห้องนอน เขาก็ได้กลิ่นเหล้าคลุ้งเต็มห้อง เขาเห็นเฉินเสียนพิงอยู่บนเก้าอี้ไม้ยาว มีโถเหล้าสับปะรดวางอยู่ข้าง ๆ
ซูเซี่ยนหยิบผ้าห่มขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ แล้ววางลงบนร่างของเฉินเสียน
เขาคุกเข่าลงที่หน้าเก้าอี้ไม้ยาว และมองดูท่านแม่ของเขาอย่างเงียบ ๆ เมื่อเห็นว่าเบ้าตาของเธอมีน้ำตาคลอเบ้า เขาจึงยื่นมือเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อ่อนนุ่มของเขาและเช็ดคราบน้ำตาเธอออกเบา ๆ