เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 112 สือหย่าฉีมาเยือนอีกครั้ง

“นึกไม่ถึงว่าอู๋เลี่ยนเยี่ยนจะฉลาดเฉลียว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สนเข็มร้อยด้ายอย่างชำนาญ บนผ้าสีน้ำเงินเข้มนั้นได้วางโครงร่างนกอินทรีที่สยายปีกไว้แล้ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใช้เวลาไม่ถึงสองวัน ก็ปักส่วนหัวของนกเสร็จแล้ว

“แน่ล่ะสิเจ้าคะ!” แม่นมฉินกล่าวอย่างผิดหวัง “เดิมทีอนุภรรยาอู๋ก็สั่นคลอนแล้ว แต่พอมาได้ยินคำพูดของอู๋เลี่ยนเยี่ยน กลับตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไม่สอดมือมากไปเสียอย่างนั้น เดิมยังคิดว่าจะสามารถกำจัดหญิงสาวที่ขัดหูขัดตาทั้งสี่คนนั้นได้พร้อมกันครั้งเดียวเสียอีก”

“อวี้เมิ่งเหยาส่งจดหมายไปยังโยวโจว นางคิดจะขอความช่วยเหลือจากคนสักคนอย่างนั้นรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว สามวันมานี้หญิงสาวทั้งสามที่เรือนใต้ล้วนแต่สงบเสงี่ยมจนทำให้นางรู้สึกคาดไม่ถึงทั้งยังแปลกใจ เวลานี้จึงได้เชิญแม่นมฉินเข้ามา ถามถึงสถานการณ์ที่นางควบคุมทางด้านนั้น คาดไม่ถึงว่ายังจะมีเรื่องเหนือความคาดหมายอีกมาก

หญิงสาวทั้งสามซื้อตัวสาวใช้ข้างกายอย่างราบรื่น…ไม่จำเป็นต้องพูดก็รู้ว่าเป็นอนุภรรยาอู๋ที่ลอบทำแผนอย่างลับๆ หากนางไม่ฉวยโอกาสเล่นลูกไม้สักหน่อย เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังจะคิดว่าแปลกมากกว่า คนที่มาในตอนกลางคืนนั้นคือสือหย่าฉี นี่ไม่น่าแปลกใจ ที่แปลกใจคือนึกไม่ถึงว่าสือหย่าฉีจะไม่ได้เอาจริงเอาจังยืนหยัดอย่างถึงที่สุด แต่กลับอยู่ในเรือนใต้อย่างสงบเสงี่ยมแทน นี่ไม่เหมือนกับนิสัยของนาง ทางด้านหวงเซียวเซียงก็พยายามอย่างมากในการสอดแนมความเคลื่อนไหวของซั่งกวนเจวี๋ย ทุกวันล้วนพบเจอกับซั่งกวนเจวี๋ยที่กลับจวนอย่างบังเอิญเสียอย่างนั้น เจียดเอาเวลากับซั่งกวนเจวี๋ยไปไม่น้อย แม้ว่านางจะชิงชังเป็นอย่างมาก แต่เพราะว่าซั่งกวนเจวี๋ยไม่คิดปิดบังในเรื่องนี้เลย จึงไม่อาจโมโหออกมาได้ ทำได้เพียงแสดงความไม่พอใจออกไปเท่านั้น ที่ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์คาดไม่ถึงยังคงเป็นอวี้เมิ่งเหยา นอกจากเวลาอาหารเย็นแล้ว ก็ขลุกตัวเองอยู่แต่ในเรือนใต้ ชื่นชมบุปผา เป่าขลุ่ยเล่นฉิน เอ้อระเหยลอยชายอย่างกับไม่สนใจอะไร คล้ายกับว่าเป็นแขกของตระกูลซั่งกวนก็มิปาน

“ได้ยินว่าอวี้เมิ่งเหยาและอนุภรรยาของมู่หรงปั๋วเย่ ลูกชายภรรยาเอกคนโตของตระกูลมู่หรงเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องที่รู้จักมักคุ้นกัน คุณชายใหญ่รู้จักนางก็เพราะอนุภรรยาแซ่เฉินผู้นั้นเป็นคนแนะนำเจ้าค่ะ” แม่นมฉินกล่าวอย่างเรียบง่าย “ส่วนเรื่องความสนิทสนมเป็นอย่างไรบ้างนั้นก็ไม่ทราบแน่ชัดแล้วเจ้าค่ะ!”

“ข้าเข้าใจแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ กล่าวยิ้มๆ “แม่นม ให้คนผู้นั้นจับตาดูไว้หน่อยก็ดี หากไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษก็ไม่ต้องติดต่อ เอาเงินไปให้นางหนึ่งร้อยตำลึง บอกว่าเป็นค่าน้ำชา หากทางด้านนางนั้นมีเรื่องอะไร ก็ให้บอกกล่าวกับท่าน ถ้าเป็นเรื่องอะไรที่พอจะช่วยได้ ข้าย่อมไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน!”

“บ่าวเข้าใจแล้ว!” แม่นมฉินผงกศีรษะ “เรื่องพวกนี้ข้าล้วนให้ลี่เซียงเป็นคนจัดการ นางทำงานได้เรียบร้อย ท่านวางใจได้!”

“อีกอย่าง ถ้าหากเป็นไปได้ จับตามองทางด้านฮูหยินใหญ่สักหน่อยก็ดี ข้ากลัวอย่างมากว่านางจะมาอย่างไร้เหตุผลทั้งยังไม่ทันตั้งตัว หากนางส่งเด็กสาวผู้นั้นมาเรือนไร้เดี่ยวตรงๆ ข้าย่อมจัดการลำบาก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กังวลว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะไม่มีความอดทน ไม่รอบทสรุปของหญิงสาวทั้งสามคนที่นี่ก็ส่งคนเข้าไปในห้องซั่งกวนเจวี๋ยแทน

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมฉินผงกศีรษะ ก่อนจะเป็นจื่อหลัวที่เดินเข้ามาพอดี “สะใภ้ใหญ่ สาวใช้ของคุณหนูสื่อเข้ามา กล่าวว่าอีกเดี๋ยวคุณหนูสื่ออยากจะเข้ามาเยี่ยมท่าน ไม่รู้ว่าท่านสะดวกหรือไม่เจ้าค่ะ!”

คงจะเข้ามาหยั่งเชิงว่าคืนวันนั้นเป็นอุบัติเหตุหรือถูกจับได้กันแน่สินะ! เยี่ยนมี่เอ๋อร์ร่าเริงขึ้นมา กล่าวยิ้มๆ “เจ้าไปบอกกับนาง กล่าวว่าวันนี้ข้าไม่มีธุระพอดี ยินดีต้อนรับคุณหนูสื่อเป็นอย่างยิ่ง!”

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” จื่อหลัวไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถึงได้มีความสุขขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้มากความ ส่งยิ้มกลับไป ก่อนจะกลับไปทำตามคำสั่ง

“ท่านคิดว่านางจะทำอะไร?” แม่นมฉินโมโหเป็นอย่างมาก “หญิงสาวที่มีนิสัยขดในข้องอในกระดูกเช่นนั้น พวกนางไม่กล้าไปก็เพราะติดที่เรื่องหน้าตา กระนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องรับมือพวกนาง คุณชายใหญ่หมายความว่าอย่างไรกันแน่ บอกว่าไม่ชอบพวกนาง แต่ก็ไม่ส่งพวกนางออกไป นี่นับเป็นเรื่องอะไรกันเจ้าคะ”

“แม่นม สามีนั้นกำลังทดสอบข้าอยู่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “เขาอยากจะดูว่าข้าจะจัดการกับเรื่องพวกนี้อย่างไร จากนั้นก็ค่อยตัดสินใจว่าจะปฏิบัติตัวกับข้าเช่นไร!”

 “หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?” แม่นมฉินขมวดคิ้ว แม้ว่านางจะหัวไว แต่บางเรื่องก็ไม่แน่ว่าจะเข้าใจแจ่มชัดเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะคำแนะนำของเฉาซื่ออี๋ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็อาจจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดซั่งกวนเจวี๋ยจึงปล่อยให้หญิงสาวทั้งสามเทียวไปเทียวมาอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ หากว่าตัวเองไม่มีความสามารถในการจัดการเรื่องนั้นเรื่องนี้ในเวลาเดียวกัน ก็คงไม่อาจเป็นหญิงสาวที่เคียงบ่าเคียงไหล่ของเขาผู้นั้นได้ เพียงแต่ ซั่งกวนเจวี๋ยย่อมคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะใช้วิธีแบบไหนมาจัดการสินะ! คิดแล้วได้แต่-ขบขันในใจ

“ไม่มีอะไร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มตาหยี “แม่นม ท่านวางใจเสียเถิด! ข้าย่อมขับไล่หญิงสาวสามคนนั้นไปอย่างละมุนละม่อม ทั้งยังทำให้สามีพอใจในวิธีจัดการของข้าได้แน่ ยิ่งไปกว่านั้นก็ย่อมสามารถทำเรื่องที่นายท่านมอบหมายให้กับข้าอย่างดีแน่ ไม่อาจมีปัญหาอะไรได้!”

“ท่านรู้จักความพอดีก็ดีแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมฉินผงกศีรษะอย่างจนใจ รู้ว่านางเป็นคนที่มีความคิด ก็ไม่คิดจะมากความอะไร แต่จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เด็กคนนั้นได้พูดกับท่านเรื่องเซียงหลิงหรือไม่เจ้าคะ?”

จู่ๆ ใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เต้นตึกตักขึ้นมา เผยใบหน้าสับสนออกมา “อาจารย์เฉารู้จักกับป้าเซียงด้วยหรือ? ข้าไม่เห็นได้ยินนางพูดถึง!”

“ข้าไม่รู้ว่าเซียงหลิงมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือไม่ วันนั้นในยามที่เด็กคนนั้นคุยกับข้าได้พูดออกมาหนึ่งประโยค บอกว่าในเมื่อเซียงหลิงมีใจหันสู่พุทธศาสนา อย่างนั้นมิสู้ให้นางไปบ่มเพาะจิตใจในอารามแทน ยามนั้นข้าไม่ได้คิดอะไรมาก ภายหลังยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ ดังนั้นจึงได้ถามขึ้นมาเจ้าค่ะ!” แม่นมฉินเผยยิ้ม “ท่านทำในเรื่องที่ท่านคิดจะทำอย่างวางใจเถิดเจ้าค่ะ เซียงหลิงนั้นข้าจะคอยสอดส่องเอง!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้ม “ไม่ว่าจะเป็นเซียงหลิงหรือแม่นมจ้าว พวกนางล้วนแต่ต้องเป็นภาระให้ท่านคอยจัดการ ยังมีสาวใช้ที่เข้ามาใหม่ไม่กี่คนนั้นอีก แม้จะกล่าวว่าพวกจื่อหลัวได้พาไปสอนแล้วบ้าง แต่ก็ยังคงต้องการแม่นมให้คอยสอดส่องดูแล อย่างไรพวกนางก็ล้วนยังหนุ่มสาว ในยามที่ตัดสินใจอะไรไม่ได้ ก็ยังคงต้องการแม่นมให้ออกหน้า!”

“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมฉินกล่าวยิ้มๆ “สรุปก็คือ สอดส่องดูแลพวกนางให้มาก ไม่ต้องยุ่งเรื่องของท่านและคุณชายใหญ่ วางใจเถิดเจ้าค่ะ หญิงแก่อย่างข้าเข้าใจ พวกท่านกำลังอยู่ในยามที่รักใคร่หวานซึ้ง ไม่อาจเข้าไปรบกวนได้!”

“แม่นม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ร้องอย่างแง่งอนออกมา “ข้าต้องเปลี่ยนชุดเตรียมรับแขก ไม่สนใจท่านแล้ว!”

———————————–

สือหย่าฉีเข้ามาในเรือนมีคู่ด้วยท่าทีกระวนกระวายเล็กน้อย สองวันมานี้นางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าแปลกๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่พิถีพิถันในเรื่องมารยาทขนาดนั้น สาวใช้ของนางกลับสาดน้ำสกปรกที่ใช้แล้วออกมานอกหน้าต่างอย่างไม่คาดคิด? เกรงว่าคงไม่มีสาวใช้คนไหนที่กล้าทำเรื่องเช่นนั้นหรอก! เอาเถิด แม้ว่าสาวใช้ผู้นั้นจะใจกล้าเหิมเกริม ทั้งยังสาดมาโดนตัวนางอย่างพอดิบพอดี แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์คงไม่อาจใช้สบู่เจ้าเจี๋ย[1] ที่เยอะขนาดนั้นมาล้างหน้าหรอกกระมัง! แค่เสื้อผ้าตัวเองนั้นก็นานกว่าจะซักหมด เช่นนั้นมีเพียงความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ความเป็นไปได้ที่ทำให้นางรู้สึกสิ้นหวัง นั่นก็คือเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นวรยุทธ์ อีกทั้งยังมีฝีมือกว่านางด้วย!

ทนหงุดหงิดอยู่สองวัน สือหย่าฉีก็ยังคงตัดสินใจที่จะมาหยั่งเชิงดูว่าแท้จริงแล้วเป็นเพียงความบังเอิญรึเปล่า?

“คุณหนูสื่อเชิญนั่งเจ้าค่ะ!” ตู้เจวียนเชิญสือหย่าฉีนั่งด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “สะใภ้ใหญ่ของพวกเรากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ สักประเดี๋ยวก็คงมา อย่างไรเชิญคุณหนูสื่อดื่มชาก่อนเถิดเจ้าค่ะ”

สือหย่าฉีเผยยิ้ม นั่งลงตรงที่ใกล้กับจื่ออวิ๋นมากที่สุด จื่ออวิ๋นส่งยิ้มกลับไปให้สือหย่าฉีตามมารยาท ก่อนกล่าว “คุณหนูสื่อ อยากดื่มชาอะไรเจ้าคะ บ่าวจะชงให้ท่าน”

“ข้าหรือ ชาอะไรก็ได้ทั้งนั้น” สือหย่าฉียิ้มอย่างโอนอ่อนผ่อนตาม “ไม่อย่างนั้นก็ชาใหม่ที่เจ้าพูดในวันนั้น ข้าเหมือนจำได้ว่าเหมาเฟิงกระมัง!”

“บ่าวจะชงให้ท่านเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” จื่ออวิ๋นผงกศีรษะทั้งแย้มยิ้ม ชงชาให้สือหย่าฉีอย่างคล่องแคล่ว

“เจ้าคงจะชื่อจื่ออวิ๋นสินะ!” สือหย่าฉีพยายามทำให้ตัวเองดูอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย “สะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้าชื่นชมการดื่มชา จึงให้เจ้าไปเรียนการชงชามาโดยเฉพาะ หากว่าชื่นชอบขนมของหวานอะไร ก็จะส่งสาวใช้ไปเรียนโดยเฉพาะเช่นกันใช่หรือไม่?”

“แน่นอนเจ้าค่ะ!” จื่ออวิ๋นกล่าวอย่างไม่มีอะไรมาหยุดปากได้ “สะใภ้ใหญ่ถูกตามใจตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นของกินของใช้ล้วนแต่พิถีพิถันเป็นอย่างมาก สิ่งที่นางชอบล้วนมีสาวใช้ไปร่ำเรียนมาปฏิบัติรับใช้โดยเฉพาะ ข้านั้นได้เรียนเรื่องชาและสุรามา เซียงเสวี่ยก็เรียนการประทินโฉมและทำพวกแป้งชาด เซียงชุ่ยเรียนทำขนมของหวานแต่ละประเภท จินหรุ่ยก็เป็นพวกเย็บปักถักร้อย เพื่อให้สะใภ้ใหญ่ได้สะดวกสบายมากขึ้นเจ้าค่ะ!”

“มีเรียนทำพวกแป้งชาดโดยเฉพาะเสียด้วย” สือหย่าฉีเผยใบหน้าตื่นตะลึง “สาวใช้ข้างกายของข้าพวกนั้นแต่ละคนก็ดี แต่ว่าไม่อาจทำแป้งชาดอะไรพวกนั้นได้ อีกเดี๋ยวข้าจะขอร้องพี่มี่เอ๋อร์ให้ข้ายืมคนมาใช้บ้าง แม้ว่าอาจจะไม่สามารถสอนให้ชุนเยี่ยนทำสิ่งที่ละเอียดละออพวกนั้นออกมาได้ แต่แค่สอนนางแยกแยะอันนั้นดีอันไหนไม่ดีได้ก็นับเป็นเรื่องดีแล้ว!”

“เฮ้อ…” จื่ออวิ๋นยิ้มอย่างขมขื่นพลางถอนหายใจ เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอื่น ก็กล่าวเสียงเบา “คุณหนูสื่ออย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้จะดีที่สุด สะใภ้ใหญ่ของพวกเราเวลานี้กำลังโกรธเซียงเสวี่ยอยู่เจ้าค่ะ! หากรู้ว่าบ่าวพูดเรื่องเซียงเสวี่ยต่อหน้าท่าน บ่าวต้องถูกลงโทษแน่เจ้าค่ะ”

“ทำไมล่ะ? หรือเซียงเสวี่ยทำเครื่องชาดอะไรไม่เป็นที่พอใจทำให้พี่มี่เอ๋อร์เคืองโกรธ?” สือหย่าฉีทำท่าราวกับสงสัยเป็นอย่างมาก

“หากเป็นเช่นนั้น อย่างมากที่สุดสะใภ้ใหญ่ก็แค่ไม่ใช้เครื่องชาดอันนั้นแล้วมอบให้พวกเราแทน ไม่อาจโกรธได้หรอกเจ้าค่ะ!” จื่ออวิ๋นส่ายหัว กวาดสายตามองอีกครั้ง เมื่อไม่เห็นคนก็กล่าวเสียงเบาต่อ “คืนสามวันก่อน เซียงเสวี่ยแอบดื่มสุราเจ้าค่ะ เรื่องที่นางชื่นชอบสุรานั้นไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเคยเกิดขึ้น อีกทั้งนางยังหลักแหลม ทุกครั้งที่ดื่มสุราแล้วก็มักจะหาวิธีขจัดกลิ่นสุรา ทำให้ไม่มีใครค้นพบ สะใภ้ใหญ่ก็รู้ถึงความชอบนี้ของนาง ทั้งยังถามถึงเรื่องนี้น้อยมาก แต่วันนั้นนางดื่มจนเมา สะใภ้ใหญ่ก็จับไม่ได้แต่อย่างใด ให้นางล้างมือมานวดให้ นางฟอกสบู่เจ้าเจี๋ยลงทั้งถัง ทั้งยังพูดไปเรื่อยว่าน้ำสกปรก จะรินน้ำทิ้ง แยกแยะไม่ออกว่าทิศไหนเป็นทิศไหน ก็สาดน้ำออกจากหน้าต่างไป สาดไปถูกดอกไม้ที่สะใภ้ใหญ่เพิ่งจะปลูกขึ้นอย่างพอดี ดอกไม้นั้นเป็นของล้ำค่าอย่างมาก เป็นพ่อบ้านใหญ่ที่หามาปลูกให้อย่างลำบากยากเย็น ดังนั้นสะใภ้ใหญ่จึงโมโหเป็นอย่างมาก สั่งขังเซียงเสวี่ย ให้นางได้ขบคิดกับกำแพง ผ่านไปสามวันก็ยังไม่ให้นางกินดื่มอะไรเจ้าค่ะ!”

ที่แท้สาวใช้ผู้นั้นก็ดื่มสุราเมา! สือหย่าฉีครุ่นคิดอย่างละเอียด คล้ายกับว่าจะได้กลิ่นสุราจริงๆ เดิมทียังคิดว่ามาจากร่างตนเองหรือไม่ แต่ทั้งร่างเป็นกลิ่นหอมของสบู่เจ้าเจี๋ย บนร่างมีกลิ่นสุราหรือไม่ก็แยกไม่ออก (เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่ได้กลิ่นสุราอะไรเช่นกัน ปัญหาอยู่ที่เซียงเสวี่ยนั้นเป็นคนจมูกไว) แต่พอได้ยินจื่ออวิ๋นพูดเช่นนี้ ก็คิดไปว่ามีกลิ่นสุรา

“พี่มี่เอ๋อร์เข้มงวดเสียจริง!” ความกังวลใจของสือหย่าฉีนั้นลดลง อารมณ์ดีมากขึ้น ทั้งยังตัดสินใจจะหยั่งเชิงต่อไป

“แน่ล่ะสิเจ้าคะ!” งานของจื่ออวิ๋นเรียบร้อยแล้ว ก็ผ่อนคลายขึ้นมาเช่นกัน “สะใภ้ใหญ่ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ต้องพยายามทำให้ออกมาดีที่สุด หากทำไม่ดีนางจะโกรธเป็นอย่างมาก แต่ว่าพวกเราก็คุ้นชินเสียแล้ว หากไม่ใช่เซียงเสวี่ยโชคไม่ดี ก็คงไม่ถูกลงโทษหรอกเจ้าค่ะ!”

“น่าสงสารจริงเชียว!” สือหย่าฉีถอนหายใจ จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ฝีเท้าหนักเล็กน้อยสองคน ฝีเท้าเบาอีกหนึ่งคน คงจะเป็นคนที่ร่ำเรียนวรยุทธ์มาก่อน นางทำมือบอกเป็นนัยให้จื่ออวิ๋น ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันต่อ

เป็นดังที่คาด เยี่ยนมี่เอ๋อร์พาจื่อหลัวที่แทบจะตัวติดกันตลอดเวลา ข้างกายยังมีสาวใช้อีกคนที่ชื่อช่าจื่อ เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้ม เมื่อพบกับสือหย่าฉีก็กล่าวอย่างรู้สึกผิด “ต้องขอโทษจริงๆ ให้น้องสือคอยนานเสียแล้ว!”

“พูดอย่างนั้นได้ที่ไหนกัน เป็นข้าที่มาก่อนเวลาต่างหาก!” สือหย่าฉีส่งยิ้มตอบ นางนั้นจงใจมาถึงก่อนเวลา เพื่ออยากจะสืบข่าวจากปากของพวกสาวใช้ และยามนี้ก็ทำตามเป้าหมายสำเร็จแล้ว กล่าวด้วยอารมณ์ดี “อีกอย่าง มีชาที่อร่อยเช่นนี้ แม้ว่าจะรอนานอีกหน่อย น้องก็ยินดี!”

“คุณหนูสื่อไม่โกรธก็ดีแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวยิ้มๆ ก่อนเอ่ยถาม “จื่ออวิ๋นชงชาอะไรให้คุณหนูสื่อ เป็นชาที่ข้าให้เจ้าเตรียมใช่หรือไม่?”

“ตอบสะใภ้ใหญ่ คุณหนูสื่อดื่มชาเหมาเฟิง” จื่ออวิ๋นตอบด้วยรอยยิ้ม “เป็นชาใหม่ที่ท่านตั้งใจเตรียมมาให้พอดีเจ้าค่ะ!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะรับรู้ เป็นดังที่นางคาดไว้ไม่ผิด สือหย่าฉีเข้ามาก็เพื่อสืบข่าว…

——————————————–

[1] เจ้าเจี๋ย เป็นพืชสมุนไพรจีน ผลของมันสามารถทำเป็นสบู่เพื่อซักล้าง

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset