“สะใภ้ใหญ่ ข้าทำน้ำผึ้งหอมๆ จากดอกสาลี่ให้ท่าน ท่านอยากดูไหมเจ้าคะ?” เซียงเสวี่ยหัวเราะร่วนแล้วหยิบกระปุกลายครามขนาดเท่าฝ่ามือซึ่งเพิ่งล้างเสร็จออกมา เตรียมทาน้ำผึ้งกลิ่นหอมให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้วพูดว่า “แม้จะเทียบกับดอกถาน
ฮวาที่ท่านใช้ประจำไม่ได้ แต่กลิ่นหอมไม่เลวเลย พี่สาวหลายคนเห็นแล้วต่างก็บอกว่าดี!”
“ข้ารู้ว่าเจ้ามีฝีมือ ถ้าพวกนางชอบก็ให้พวกนางไปเถอะ ข้าใช้ดอกถานฮวาจนชิน ไม่ชอบใช้อย่างอื่นเลย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายหัวดิก อันที่จริงนางไม่ชอบกลิ่นหอมบนร่างกายเอามากๆ แต่การเป็นลูกสาว ถ้าไร้กลิ่นหอมจางๆ ติดเรือนกายก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงเลือกดอกถานฮวาที่มีกลิ่นอ่อนๆ และระเหยได้ง่ายที่สุดอีกด้วย กลิ่นหอมจะปรากฏเป็นครั้งคราว ซึ่งเหมาะกับจิตใจของนางมากกว่า
“เยี่ยมไปเลย!” หลังจากอยู่ด้วยกันมานาน ม่านเหอรู้ดีว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นคนที่พิถีพิถันและเคร่งกฎเกณฑ์ที่สุด แต่นั่นคือเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นๆ หากอยู่เป็นการส่วนตัวกับสาวใช้ข้างกายสองสามคนจะสนิทเป็นกันเอง ไม่ได้จงใจวางมาดแต่อย่างใด มอบสิ่งของดีๆ ให้กับผู้คนที่ห่วงใยรอบตัวอย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียว เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็มองตาเป็นมันเขยิบเข้ามาใกล้ทันทีแล้วพูดว่า “น้ำผึ้งหอมแตะจมูกนั้นฝีมือละเอียดกว่าที่ซื้อจากตลาดเครื่องประทินโฉม และเซียงเสวี่ยกลั่นทำเองอย่างประณีต ใช้แล้วมั่นใจได้หายห่วง พี่เซียงเสวี่ยแบ่งให้ข้าหน่อยเถอะ”
“อย่าให้นาง” จื่อหลัวซึ่งสั่งให้พวกช่าจื่อสองคนปูเตียงนอนให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่นั้นพูดกลั้วหัวเราะว่า “สะใภ้ใหญ่ ท่านไม่ทราบหรอกว่า น้ำผึ้งหอมที่เซียงเสวี่ยทำในครั้งนี้แตกต่างกันมาก ใครเห็นต่างโลภอยากได้ ถ้าให้ม่านเหอ ม่านเหลียนจะไม่ยอมแน่นอน แต่นางจะขอร้องให้เซียงเสวี่ยแบ่งให้นางไปก่อนแล้วนิดหนึ่ง!”
“โอ้ ดีขนาดนั้นเลยหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มพลางหยิบน้ำผึ้งหอมจากมือของเซียงเสวี่ย มองขี้ผึ้งที่มีกลิ่นหอมดุจเนื้อหยก ลองดมอย่างระมัดระวัง ยิ้มแล้วพูดว่า “ดีจริงๆ ดูท่าหมู่นี้เซียงเสวี่ยจะคืบหน้าไม่น้อยนะ!”
“เจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “สะใภ้ใหญ่ ท่านไม่ทราบหรือ นอกจากดอกสาลี่สดใหม่แล้ว ข้าขอให้ม่านเหอไปเป็นเพื่อนคัดสรรวัตถุดิบอื่นๆ ที่ห้องคลังเก็บเสบียง ถ้าได้วัตถุดิบดีมีจำนวนเพียงพอ ก็ย่อมจะได้ของดีเจ้าค่ะ!”
“แต่ข้ายังไม่ชินกับกลิ่นนั้นเลย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คืนน้ำผึ้งหอมกรุ่นให้กับมือของเซียงเสวี่ย มือค้างอยู่ในอากาศพลันหยุดชะงักเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ถ้าม่านเหอชอบ ก็ให้ม่านเหอใช้แล้วกัน!”
“เจ้าค่ะ…” เซียงเสวี่ยส่งน้ำผึ้งหอมในมือให้ม่านเหอด้วยรอยยิ้มแป้น แต่ทันใดนั้นก็หยุดกึก คลี่ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ได้สิ หากรวมๆ แล้วมีเพียงแค่กระปุกเล็กนี้เท่านั้น จะให้พี่ม่านเหอไม่ได้ เพราะจะทำให้พี่ม่านเหลียนและพี่น้องคนอื่นๆ ขุ่นเคือง สะใภ้ใหญ่ หรือจะแบ่งกัน ใช้กันคนละนิดคนละหน่อย ทุกคนก็ได้ใช้ด้วยกันเจ้าค่ะ!”
นัยน์ตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นประกายเฉียบคมอย่างมีเลศนัย ส่งสายตาที่รู้ใจกันดีแค่สองคนไปทางเซียงเสวี่ย พูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า “เจ้าพูดถูกแล้ว จื่อหลัวกับลู่หลัวมีน้ำผึ้งหอมฉุยที่ใช้ประจำอยู่แล้ว ไม่ต้องแย่งกัน ให้กระปุกนี้ครึ่งหนึ่งกับม่านเหอและม่านเหลียน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งให้พวกนางที่ดูฉลาดและขยันขันแข็งไปคนละหน่อย ตอนนี้ไปได้ จื่อหลัว เจ้าไปดูแล แต่อย่าปล่อยให้ลู่หลัวสาวผู้ละโมบตะโกนแบ่งกันคนละครึ่งอีกเชียว!”
จื่อหลัวรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ต้องการให้ตนและลู่หลัวร่วมงานกับสาวใช้ใหญ่สองคนของซั่งกวนเจวี๋ยโดยเร็วที่สุด ครั้นปูเตียงเสร็จเรียบร้อย มีเซียงเสวี่ยก็เพียงพอแล้ว จึงยิ้มพยักหน้า แล้วดึงม่านเหอออกไปอย่างมีความสุข
เซียงเสวี่ยยังคงยืนมองดูอยู่ตรงนั้น เห็นช่าจื่อและติงเอ๋อร์ที่อิจฉาจนตาแดงเล็กน้อย นางก็ยิ้มพูดว่า “ข้ายังมีกระปุกเล็กอยู่ พรุ่งนี้จะแบ่งให้เจ้าทั้งสอง ไม่ต้องอิจฉาคนอื่น แม้หนนี้จะน้อยไปหน่อย ถ้ามีโอกาสจะมากขึ้นแน่ หากได้แป้งหอมและน้ำผึ้งดีๆ จะไม่พลาดแบ่งให้พวกเจ้า”
“เอาล่ะ เซียงเสวี่ย เจ้ามาบีบไหล่ให้ข้ามา ไม่ค่อยได้พักผ่อนในช่วงสองสามวันนี้ ตัวแข็งนิดหน่อย ช่าจื่อและติงเอ๋อร์ก็ลงไปก่อนเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูเหมือนจะเหนื่อยล้ามากจึงนวดขมับไปมา ช่าจื่อกับติงเอ๋อร์ขานตอบ ติงเอ๋อร์เดินไปทางอ่างล้างหน้าที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เพิ่งใช้แต่ยังไม่ได้เก็บ จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ตาสว่างแล้วพูดว่า “ไม่ต้องเก็บอ่าง เดี๋ยวเซียงเสวี่ยจะล้างมือ”
ติงเอ๋อร์รู้สึกว่าแปลกเล็กน้อย แต่นางก็รู้เช่นกันว่าไม่ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดอะไร เมื่อไม่ได้เอื้อนเอ่ยพูดคุย ก็ไม่กล้าหักล้าง จึงยิ้มผงกศีรษะ หันไปหาช่าจื่อที่งงงวยเช่นเดียวกัน แล้วลงบันไดออกไป
“สะใภ้ใหญ่ ข้าว่าหลายวันนี้ท่านยุ่งมากจริงๆ นะเจ้าคะ” เซียงเสวี่ยพูดอย่างสบายๆ แต่หูไม่ได้ผ่อนคลายเลยสักชั่วขณะ ในที่สุดก็จับได้ว่ามีเสียงหายใจไม่ออกที่เจตนากดทับไว้อยู่แล้ว เป็นเพราะนางได้กลิ่นสุราอ่อนๆ เป็นคนแรกถึงสังเกตเห็นได้ นางเหลือบมองไปที่นั่นอย่างไม่กระโตกกระตาก แล้วส่งสายตาเชิงซักถาม
“ใช่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดพร้อมกับเล่นสำนวนความหมายสองชั้น ยื่นมือออกมาสยายผมที่ไม่ยุ่งเหยิงแม้แต่น้อยครู่หนึ่ง ชี้นิ้วก้อยไปในทิศทางที่เซียงเสวี่ยสงสัยแต่เบนออกไปนิดหน่อย…อยู่ห่างจากหน้าต่างเล็กน้อย เมื่อแน่ใจว่าเซียงเสวี่ยรู้แล้ว นางก็พูดว่า “ช่างเถอะ เจ้าไปล้างมือมานวดหัวให้ข้า ข้าปวดหัวมาก”
นางเก่งกว่าเซียงเสวี่ยมาก ทันทีที่คนนั้นเหยียบกระเบื้อง นางก็รู้ตัว ทั้งสองจึงรับลูกส่งต่อกันแล้วส่งบรรดาสาวใช้ทั้งหมดออกไป
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่” เซียงเสวี่ยเดินไปที่อ่างอย่างเป็นธรรมชาติ กลับไม่ได้ล้างมือ แต่โรยผงสบู่ซักล้างที่อยู่ด้านข้างหนึ่งกำมือลงไปในอ่าง คนให้ละลายจนหมด แล้วขมวดคิ้วกล่าวว่า “น้ำนี้ไม่สะอาดเลย ข้าขอเปลี่ยนน้ำอ่างใหม่แล้วกัน”
ไม่รอให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอะไร และเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเช่นกัน นางเพียงแค่ยกอ่างขึ้นอย่างไม่รีรอ แล้วรีบเดินไปที่หน้าต่างบานหนึ่งที่ปิดอยู่ เปิดหน้าต่างออกแล้วเทน้ำในอ่างออกไป เสียงเหมือนสาดโดนอะไรบางอย่างที่ชัดเจนมากแว่วเข้ามาในหู เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก้มหน้าลงแล้วหัวเราะอย่างเงียบๆ ส่วนเซียงเสวี่ยก็ปิดหน้าต่างทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หันกลับมาหัวเราะอย่างไร้สุ้มเสียง
“สาวใช้ขี้คร้านคนนี้ เจ้าไม่คิดจะยกน้ำลงไปเทเลยหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผ่อนคลายลง หัวเราะอย่างดุเดือดในใจ ตีหน้าขรึมเอ็ดว่าอย่างหนัก นางรู้ว่าคนนั้นอาจจะมองจากร่องหน้าต่างเข้ามาข้างในด้วยท่าทางไม่พอใจ
เซียงเสวี่ยจับอ่างด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกดท้องน้อยไว้แน่น รู้สึกว่าลำไส้ของนางจะผูกเป็นปม ในที่สุดก็หอบหายใจอ้าปากค้างส่งเสียง “เจ้าค่ะ” ออกมาจากไรฟัน แต่หัวเราะจนไร้เรี่ยวแรงไปแล้ว
คนที่อยู่นอกหน้าต่างดูเหมือนจะเคลื่อนไหว ทั้งสองเงี่ยหูฟังอย่างระมัดระวัง กลับได้ยินเสียงลื่น เซียงเสวี่ยกลั้นไม่ไหว จึงหัวเราะออกมา โชคดีที่โยนอ่างได้ทันเวลา แล้วปิดปากไว้
เยี่ยนมี่เอ๋อร์หมุนตัวและกระแอมไออย่างสุดชีวิต ระงับเสียงหัวเราะด้วยการไอกลบเกลื่อน ไม่ต้องมองนางก็จินตนาการได้ว่า คนที่อยู่นอกหน้าต่างจะต้องหน้าตากระเซอะกระเซิง แต่ผีผู้เคราะห์ร้ายคนนี้จะเป็นใครกันเล่า?
“โอ้โห ไม่งามเลย!” จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็อุทานออกมาแล้วต่อว่า “เจ้าสาวใช้ตัวแสบ ลืมไปหรือเปล่าว่าปลูกเคราฤาษีไว้ข้างนอก? ถ้าน้ำสกปรกหกใส่เคราฤาษี ข้าจะไม่เล่นงานเจ้าก็ให้มันรู้ไป!”
ในที่สุดเซียงเสวี่ยก็คลายอารมณ์ลง ครั้นได้ยินก็พูดด้วยความตกประหม่าว่า “จริงด้วย! สะใภ้ใหญ่ ข้าจะจุดเทียนไปส่องดู ดูว่าดอกไม้มีค่าของท่านจะเป็นอะไรหรือไม่เจ้าค่ะ!” ในขณะที่พูดก็ค่อยๆ วางอ่างกลับเข้าไปที่เดิม ถือเทียนมาอย่างช้าๆ เปิดหน้าต่างบานเมื่อครู่นั้นออก แล้วส่องแสงไปมา
“ไปกันเถอะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยัดกายขึ้น อาศัยแสงดาวริบหรี่ มองเห็นเงาร่างมืดที่ค่อนข้างหน้าเสียและเดินโซซัดโซเซคนหนึ่ง รีบกระโดดข้ามออกจากกำแพงเรือนมีคู่ไปอย่างฉุกละหุก จากนั้นก็อดหัวเราะด้วยเสียงต่ำไม่ได้
“สะใภ้ใหญ่ ท่านคิดว่าจะเป็นใคร?” เซียงเสวี่ยสอบถามด้วยเสียงเบาว่า “เป็นสามคนที่หน้าไม่อายหรือคนของตระกูลซั่งกวนเจ้าคะ!”
“เป็นผู้หญิงสามคนนั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างมั่นใจมากว่า “ไม่มีคนน่าเบื่อแบบนี้ในตระกูลซั่งกวน นอนหลับไม่สนิท แล้วลอบเข้าห้องมาตอนดึกดื่น”
“แต่กลิ่นเหล้านั้นล่ะเจ้าคะ?” เซียงเสวี่ยขมวดคิ้วพูดว่า “อาจเป็นคนที่ฮูหยินใหญ่ซั่งกวนส่งมาหรือไม่?” แม้จะไม่เคยพบทั่วป๋าซู่เยวี่ย แต่จื่อหลัวและลู่หลัวต่างบอกว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยจงใจกลั่นแกล้งเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางส่งคนมาก็เป็นเรื่องปกติ
“ผู้หญิงก็ดื่มเหล้าได้เช่นกัน ถ้าเป็นคนของฮูหยินใหญ่ถึงจะไม่มีกลิ่นเหล้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดเบาๆ ว่า “เจ้าอย่าลืม ผู้หญิงทั้งสามนั้นอยู่ด้วยกัน พวกนางจะคุมเชิงกันเองแน่นอน คนผู้นี้จะต้องอ้างว่าเมาเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกรบกวนจากอีกสองคน เซียงเสวี่ย ถ้าเจ้าสนใจก็ไปสืบข่าวดูสักหน่อยได้ ในคืนนี้ต้องมีจอมยุทธ์หญิงคนหนึ่งในเรือนทางใต้ที่กระวนกระวายใจแน่ แล้วดื่มมากไปหลายแก้ว เมามายจนขาดสติ!”
“ข้าต้องตอบโต้กลับไหมเจ้าคะ?” เซียงเสวี่ยไม่ใช่คนที่ให้อภัยง่ายๆ จึงพูดทันทีว่า “ข้าไม่มีอะไรมากนักที่นี่ แต่มีผงโอสถที่มีฤทธ์ต่างกันไม่น้อย ข้าจะไม่เอาชีวิตพวกนางเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้อง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายหัวพลางกล่าวว่า “ยังไม่ถึงเวลาต้องใช้ยา แต่ข้าคิดว่าคนผู้นี้จะกลับมาอีกแน่นอน เซียงเสวี่ย เจ้ายังต้องเตรียมผงโอสถบางอย่างที่ไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ก็ทำให้เจ็บปวดไว้ด้วย หากมีโอกาสในอนาคต จะให้นางลองชิมรสชาติดูบ้าง!”
“เจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยพยักหน้าอย่างตื่นเต้น ในขณะที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดอะไรอยู่นั้น ใครจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้เช่นนี้กันแน่? สือหย่าฉีหรืออวี้เมิ่งเหยา?
———————————–
“คุณหนู เป็นอะไรหรือเจ้าคะ?” ชุนเยี่ยนมองสือหย่าฉีที่มีคราบน้ำเปื้อนทั่วใบหน้าและผมเผ้าด้วยความประหลาดใจ ชุดดำอำพรางตัวของนางก็เต็มไปด้วยของสกปรกที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
“อย่าพูดถึงเลย!” สือหย่าฉีเช็ดมืออย่างขมขื่น มือไม้ลื่นมันเยิ้ม ผู้หญิงคนนั้นใช้อะไรล้างหน้ากันแน่ มันเลี่ยนได้ถึงขนาดนี้ได้อย่างไร
“บนเสื้อผ้านี่มันอะไรกันเจ้าคะ?” ชุนเยี่ยนกระซิบและพูดด้วยความงงว่า “คุณหนู ทำไมมีคราบน้ำ? ทั้งยังมีกลีบดอกไม้และของสกปรกมากมายอย่างนี้ ท่านเผลอตกลงไปในน้ำหรือเปล่าเจ้าคะ!”
“ข้าถูกสาดน้ำสกปรก!” สือหย่าฉีถอดเสื้อผ้าออก พบว่าผมเปียกโชกไม่น้อย รู้สึกว่าหน้าอกมันลื่น จึงพูดอย่างมีน้ำโหว่า “เตรียมน้ำร้อน ข้าอยากอาบน้ำ!”
“คุณหนู…” ชุนเยี่ยนพูดด้วยสีหน้าอนาถว่า “ตอนนี้จะเตรียมน้ำร้อนให้ท่านได้ที่ไหน! คุณหนูหวงและคุณหนูอวี้มาที่นี่ รู้ว่าท่านคุณหลับไปแล้ว ถ้าเตรียมน้ำร้อนในยามนี้ พวกนางจะต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านเป็นแน่เจ้าค่ะ!”
“ช่างเถอะ! ช่างเถอะ!” สือหย่าฉีใช้ผ้าขนหนูเช็ดอย่างเคียดแค้น แล้วพูดอย่างดุดันว่า “เตรียมน้ำเพิ่มอีกสองอ่าง ข้าทำครู่เดียวก็เสร็จ!”
“ข้าจะไปเตรียมเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!” ชุนเยี่ยนไปด้วยท่าทีมือไม้อ่อนไปหมด สือหย่าฉีเช็ดตัวด้วยผ้าขนหนูสะอาดหลายครั้งหลายหน แต่รู้สึกว่ามือยังมันเลี่ยนไม่ลดละเลย จึงอดก่นด่าด้วยเสียงค่อยไม่ได้
“คุณหนู มาแล้วเจ้าค่ะ!” ชุนเยี่ยนรีบยกอ่างน้ำร้อนเข้ามา ใส่ผ้าขนหนูที่สือหย่าฉีส่งให้แล้วขยี้เบาๆ ในน้ำ ขณะมองดูฟองที่โผล่ขึ้นมาจากน้ำ ชุนเยี่ยนเบิกตากว้าง นี่มันคืออะไร?
“ระวังดวงตาจะถลนออกมา!” สือหย่าฉีด่าทอแรงๆ มองฟองสบู่ที่ส่องแสงระยิบระยับพวกนั้น นางจำได้ว่ามีน้ำเย็นหอมจรุงใจที่อยู่ในอ่างสาดกระเด็นมาโดนใบหน้า และไม่รู้ว่ามีสบู่อยู่ในน้ำเท่าใดกันแน่ เปียกโชกทั้งศีรษะและใบหน้าของนาง และมีน้ำขังแช่ในรองเท้าของนางด้วย ทำให้นางเดินลื่น กะโผลกกะเผลกล้มลงหลายครั้งก่อนจะกลับมาถึงที่พัก…
——————