Special District 9 ตอนที่ 181 ช้เพียงก้าว เดียว
บริเวณทางแยก
หลินเหนียนเลือดที่ร่างเปรอะไปด้วยเลือดถูกกระชากลงมาจากรถ เธอก่นด่าด้วยความโกรธ “หยุดนะ ทําแบบนี้มันไม่แฟร์!”
“แฟร์เหรอ? ในเขตพิเศษที่ปาเถื่อนนี่เธอจะบอกว่ายังมีความแฟร์อยู่งั้นเหรอ?” ชายสวมหน้ากากฉุดกระชากหลินเหนียนเลยพลางตะคอก “รอบนี้อาจไม่ใช่เลือดเธอ แต่คราวหน้ารับรองฉันคนนี้นี่แหละจะที่รีดเลือดเธอออกมาเอง…”
“หมับ!”
ยังไม่ทันได้พูดจบชายสวมหน้ากากก็ถูกกระชากหัวอย่าง แรง
“โอ๊ย!” ชายสวมหน้ากากอุทานพร้อมหันไปมองคนด้านหลังก่อนจะพบว่าผู้มาเยือนคือฉินอวี่!
เขาสวมชุดลําลองกําผมอีกฝ่ายไว้แน่นก่อนซัดหมัดขวาใส่หน้าอีกฝ่ายจนหัวกระแทกกับประตูรถ
“เข้ามาช่วยกูสิวะ!”
อีกสามคนที่เหลือตกใจ ชายถือพลั่วทหารเมื่อได้ยินดังนั้นก็พุ่งเข้าใส่ฉินอวี่หมายจะฟาดด้วยอาวุธในมือ
“ปึก!”
ทว่าฉินอวี่ที่ว่องไวกว่าเบี่ยงตัวหลบก่อนถอยหลังฟาดขาขวาเข้าใส่อีกฝ่ายเต็มแรง
ชายถือพลั่วถูกเตะจนเซล้มลงกับพื้น
ฉินอวี่หันกลับไปที่ชายสวมหน้ากากพร้อมจิกหัวอีกฝ่ายและกระแทกเข้ากับซากรถอีกครั้ง เศษกระจกแตกบาดเข้าที่ใบหน้าชายคนดังกล่าวจนเลือดอาบ
พรรคพวกที่เหลืออีกสองคนรีบหยิบอาวุธแล้วตรงเข้าหาฉินอวี่ทันที เขาพยายามเบี่ยงตัวหลบทว่าโชคร้ายที่คราวนี้ถูกล้อมจนขยับตัวมากไม่ได้ ส่งผลให้บริเวณสีข้างถูกอีกฝ่ายเอาของมีคมแทงจนเลือดไหล
“แทงมันซะ!”
“ปัง!”
ขณะที่ฝ่ายศัตรูตะโกนสั่งพรรคพวกก็มีเสียงปืนดังขึ้น
ฉินอวี่ถือปืนตํารวจไว้ในมือพลางชี้หน้าศัตรูทั้งสี่ด้วยท่าทีข่มขู่ “เข้ามาสิ แน่จริงก็เข้ามา!”
ชายสองคนบนพื้นตัวแข็งค้าง เช่นเดียวกันอีกสองคนที่ถือมีดพากันผงะถอยหลัง
ฉินอวี่ถอยไปประคองหลินเหนียนเล่ยให้ลุกขึ้น “ไปดูเพื่อนเธอก่อน”
หลินเหนียนเลยตั้งสติวิ่งไปดึงเสี่ยวมออกจากซากรถและพากันถอยออกไป
“ทิ้งมีดซะ!” ฉินอวี่ตะโกนสั่ง
ชายทั้งสี่จ้องหน้าฉินอวี่ด้วยความอาฆาต แต่แทนที่จะถอยหนี้พวกเขากลับพุ่งเข้าใส่
“ปัง! ปัง!”
ปืนสองนัดถูกยิงเจาะเข้าต้นขาของชายถือมีดทั้งสอง “ก็บอกให้ทิ้งมีดหูหนวกรึไง!”
เสียงตะโกนดังสนั่น ในที่สุดทั้งสี่คนก็ตัดสินใจทิ้งอาวุธในมือ
“หันมาทางนี้ให้หมด!” ฉินอวี่พูดพลางถอยตั้งหลัก
ทั้งสี่คนทําตามคําสั่ง
ฉินอวี่ค่อยๆ ถอยออกห่างจนได้นะยะพอประมาณแล้วจึงรีบหันหลังวิ่ง หัวหน้ากลุ่มชายสวมหน้ากากเมื่อเห็นดังนั้นก็ตะโกนสั่ง “เฮ้ย! ไปจับตัวนังนั่นเร็วเข้า!”
สิ้นเสียงสั่ง รถสองคันที่จอดอยู่ตรงทางแยกก็ขับฝ่าหิมะไล่หลังฉินอวี่อย่างรวดเร็ว
“ปัง ปัง ปัง!”
ฉินอวี่ยิ่งโต้กลับและวิ่งเข้าไปในตรอกตามหลังหลินเหนียนเลยไป “วิ่งไปทางนั้นเดี๋ยวก็วนไปเจอพวกมันอีกยัยบื้อ”
หลินเหนียนเลยหันกลับมามอง ฉินอวี่วิ่งตามจนทันและคว้าข้อมือของเธอแล้ววิ่งต่อพลาง “มา
“นายมีปืนแล้วกลัวพวกมันทําไม?” เสี่ยวมีถามด้วยความสงสัย
“ไม่เห็นรึไงว่าพวกมันไม่ได้อยู่ในรถแล้ว!” ฉินอวี่ตอบกลับขณะพาหลินเหนียนเลยวิ่งเข้าตรอกทางซ้ายมือ
ทั้งสามวิ่งหนีมาไกลกว่าร้อยเมตรก่อนจะหยุด
หลินเหนียนเลยมองฉินอวี่ด้วยท่าที่เหนื่อยหอบ “นาย… นายไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ยังสติดีอยู่รึเปล่าเนี่ย?” ฉินอวี่พูดขึ้น “เธอกําลังโดนตามล่าอยู่นะ อย่ามัวแต่ห่วงไม่เข้าเรื่อง”
“นายรู้ได้ยังไงว่าพวกมันตามล่าฉัน?”
“ก็เธอกําลังเจอปัญหาไม่ใช่รึไง” ฉินอวี่มองหน้าหลินเหนียนเล่ยก่อนก้มมองแผลตัวเอง “แม่งเกือบเอวขาดแล้วไหมล่ะ”
“ไหนบอกไม่มีเวลาแล้วมาที่นี่ได้ไง?” หลินเหนียนเลยถาม
“ก็เธอเป็นคนบอกฉันเองว่ากําลังมีเรื่องเพราะทําข่าว ฉันกลัวว่าอาจมีเรื่องเข้าจริงๆ ก็เลยแวะมาดู” ฉินอวี่มองหน้าหลินเหนียนเล่ย “โชคดีนะที่ฉันพกปืนมาด้วย ไม่งั้นได้ไปเฝ้ายมบาลแน่”
หลินเหนียนเลยมองบาดแผลของฉินอวี่ก่อนพูดขึ้น “ฉันว่านายต้องไปโรงพยาบาล”
“ฉันโทรบอกผู้กํากับแล้ว ว่าจะรอจนแน่ใจว่าพวกมันโดนจับหมดแล้ว” ฉินอวี่กุมแผลพลางดุหลินเหนียนเลย “ในซึ่งเจียง ถึงจะไม่มีใครรู้จักเธอแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะตามตัวไม่ได้”
ถึงจะถูกดุแต่คราวนี้หลินเหนียนเล่ยกลับไม่โต้ตอบ “ฉันไม่คิดว่าเรื่องมันจะวุ่นวายแบบนี้ ไม่คิดว่าพวกนั้นจะกล้าทําแบบนี้ด้วย”
“ยังดีที่เธอยังไม่ได้ปล่อยข่าว ไม่งั้นคงไม่จบที่” ฉินอวี่หยุดยั้งปากไว้
“นายหมายถึงอะไร?” หลินเหนียนเล่ยถาม
ฉินอวี่มองหน้าหลินเหนียนเลยครู่หนึ่งก่อนตอบคําถาม “ฉันจะบอกว่าโชคดีที่เธอยังไม่ทันได้ทําข่าวเสร็จ ไม่งั้นคงไม่ใช่แค่เลือดสัตว์ตายนี่หรอกที่เธอจะโดน”
หมู่บ้านแถบชานเมือง
จู้เหว่ยนั่งอยู่ในรถตะโกนสั่งเมื่อได้ยินเสียงปืนดัง “รีบขับไปทางต้นเสียงเร็ว!”
คนขับเหยียบคันเร่งพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
สองนาทีต่อมาบริเวณขอบถนนจู้เหว่ยเห็นเงาใครบางคนวิ่งตัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาโบกมือสัง “หยุดรถก่อน!”
รถทั้งสามคันชะลอความเร็ว จู้เหว่ยสวมชุดกันกระสุนลงจากรถ “มีคนอยู่ทางขวา ระวังตัวด้วย”
สมาชิกสิบกว่าคนแบ่งเป็นสองกลุ่มเดินหน้าเข้าไปตามคํา
เมื่อเดินเข้าไปในระยะ จู้เหว่ยพบร่างสองร่างนอนกองอยู่บนพื้นหิมะข้างถนน
“มีเลือดด้วย” ติงถั่วเซ็นอุทาน
จู้เหว่ยชะงักชั่วครู่ก่อนเดินเข้าไปดู
บนพื้นหิมะพบร่างของต้าจินและเสี่ยวเหมียวถูกมีดแทง ราวหกถึงเจ็ดแผล ใบหน้าของทั้งคู่เขียวช้ำ ดวงตาเบิกโพลง
จู้เหว่ยชั่งใจก่อนเดินเข้าไปตรวจสอบสัญญาณชีพของทั้งคู่และหันมาบอกทุกคนด้วยท่าที่หงุดหงิด “น่าจะเพิ่งตายได้ไม่ถึงห้านาที่”
“ตะตาย?” ฟูเสียวห่าวแหวกกลุ่มเข้าไปดู
ติงกั่วเซินที่อยู่ด้านหลังเมื่อเห็นสภาพต้าจินกับเสี่ยวเหมียวที่ถูกแทงจนไส้ไหลก็รู้สึกกระอักกระอ่วนจนสํารอกของเสียออกมาจนหน้าซีด
“กริ้ง!”
ท่ามกลางความเงียบสงบจู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
จู้เหว่ยตกใจก่อนหันไปหาต้นทางกระทั่งพบโทรศัพท์เครื่องหนึ่งตกอยู่ข้างศพต้าจิน
หลังลังเลครู่หนึ่งจู้เหว่ยจึงตัดสินใจกดรับ
“ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากปลายสาย
อเหว่ยยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
“ถามคนข้างหลังนายสิว่าอยากเล่นสนุกไหมฉันจะได้เล่นด้วย”
ทันทีที่พูดจบสายก็ถูกตัดไป พร้อมกันนั้นเสี่ยวจิ๋วพาคนขับรถออกจากที่เกิดเหตุ