ต่อยแล้ว เจียงโหย่วฉายไม่ได้รู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย เขากำลังอยู่ในอาการฉุนเฉียวอย่างมาก และไม่สามารถระงับความกระวนกระวายใจไว้ได้ เขาจึงพาเด็กสองสามคนไปที่ทุ่งหญ้าเสียเลย
ระหว่างทาง พวกผู้ใหญ่ที่มาดูเรื่องสนุก ๆ ก็ได้เข้าร่วมด้วยเช่นกัน
เมื่อมาถึงที่ทุ่งหญ้า จำนวนคนก็ไม่ถือว่าน้อยแล้ว
ตอนที่เจียงโหย่วฉายพุ่งเข้าไปในกองหญ้าที่อยู่ไกลออกไปและเตะกองหญ้าออก หม่าเฉิงหยวนก็เสร็จกิจแล้ว เขากำลังสวมกางเกงและใส่เข็มขัดกางเกงอยู่ ส่วนเจียงต้ายาก็เผยให้เห็นหน้าอกของนางครึ่งหนึ่ง เสื้อผ้าของนางแทบจะไม่ปกปิดร่างกายเลย นางเปิดโปงต่อหน้าผู้คนทั้งอย่างนั้น
คนจำนวนมากที่มาดูเรื่องสนุกกับเจียงโหย่วฉายต่างมองกันตาค้าง
“อ๊าาาา!!!” เจียงต้ายากรีดร้องเสียงแหลม
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ข่าวที่ว่า ‘เจียงโหย่วฉายผู้เป็นน้องชายพาคนไปจับเจียงต้ายาผู้เป็นพี่สาวที่คบชู้กับคนอื่น’ ก็แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน
เมื่อท่านปู่เจียงได้ยินข่าวนี้ เขาก็กลอกตาและล้มลงทันที ขณะที่หลีโผจื่อเองก็ป้องทรวงอก นางตบขาและตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “เวรกรรม! เจ้าเท้าเล็กนั่นทำลายศักดิ์ศรีของคนในตระกูลเจียงจนหมดสิ้นแล้ว ให้ตายเถอะ!”
เมื่อเจียงอีหนิวได้ยินข่าวนี้ เขาก็ผลักประตูออกไปด้วยใบหน้าอึมครึมอย่างที่สุด
โจซื่อยังคงตกตะลึง สมองของนางยังไม่ตอบสนองกลับมาชั่วคราว เกิดอะไรขึ้น เจียงต้ายา เจ้าเด็กบ้านั่นไปสุงสิงกับคนอื่นตอนไหนกัน ?!
เมื่อเจียงเอ้อยาได้ยินข่าวนี้ นางก็โมโหจนบิดหมอนบนเตียงของเจียงต้ายาจนเละเสียทรงทันที มีพี่สาวนิสัยเช่นนี้อยู่ในบ้าน ต่อไปคนบริสุทธ์ที่ไหนยังจะกล้าสู่ขอนางอีก ?! เจียงต้ายาทำลายทั้งชีวิตของนางจนหมดสิ้นแล้ว
ตอนที่เจียงป่าวชิงไปซื้อของในหมู่บ้าน นางก็ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน ทว่านางไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ทำก็แต่เพียงจ่ายเงินและถือตะกร้าผักกลับบ้าน
นางนั้นอยากหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ แต่คนในวงศ์ตระกูลเจียงกลับไม่ให้นางหลีกเลี่ยงดังที่ใจนึก
ในไม่ช้า การประชุมของวงศ์ตระกูลเจียงก็ถูกจัดขึ้นในบ้านของผู้อาวุโสในตระกูลท่านหนึ่งเข้าจนได้ ผู้อาวุโสในตระกูลท่านนี้ถือว่าเป็นรุ่นค่อนข้างใหญ่ แม้แต่เจียงเหล่าหวู่ยังต้องเรียกเขาว่าอาสามเลยด้วยซ้ำ
เดิมที เจียงป่าวชิงไม่ค่อยอยากไป แต่นางทนที่เจียงเหล่าหวู่ส่งเจียงเฟย หลานชายคนที่สามของบ้านเขามาเรียกเจียงหยุนชานกับนางไม่ไหว
เดิมทีเจียงป่าวชิงกำลังตัดหญ้าอยู่ในสวนที่บ้านของนาง ก็ได้ยินเจียงเฟยตะโกนอย่างมีชีวิตชีวาอยู่ด้านนอก “น้องป่าวชิง ปู่ข้าใช้ให้ข้ามาเรียกเจ้ากับพี่ชายเจ้าไปประชุมที่บ้านท่านอาซานไท่”
“อะไรกัน ?” เจียงป่าวชิงกระทุ้งจอบและยืดตัวตรง “อยู่ดี ๆ เหตุใดถึงได้เรียกข้ากับพี่ชายไปประชุมได้ล่ะ ?”
ประตูบ้านไม่ได้ลงกลอนไว้ เจียงเฟยจึงวิ่งเข้ามาแย่งจอบในมือของเจียงป่าวชิง เขาช่วยเจียงป่าวชิงตัดหญ้าไปด้วยและพูดไปด้วย “ปู่ข้าบอกว่าเรื่องครั้งนี้เลวร้ายเกินไป มันส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเจียงของเรา ดังนั้น ความหมายของพวกผู้อาวุโสในตระกูลเจียงก็คือให้คนรุ่นหลังไปร่วมฟังอยู่ที่นั่นด้วย เพื่อที่จะสามารถใช้เป็นการตักเตือนไปในตัว… ปู่ข้าจึงให้ข้ามาเรียกเจ้ากับพี่ชายเจ้าอย่างไรล่ะ”
เจียงเฟยโตแล้วจึงมีพละกำลังมาก มือกับเท้าของเขาก็คล่องแคล่วมากเช่นกัน ไม่นาน เขาก็ช่วยเจียงป่าวชิงตัดหญ้าในสวนผักเล็ก ๆ ได้จนสะอาด จากนั้นเขาก็ปาดเหงื่อที่หน้าผากเล็กน้อย “แล้วพี่ชายเจ้าล่ะ ? เหตุใดข้าถึงไม่เห็นเขาเลย ?”
เจียงป่าวชิงเดินถือน้ำเข้ามาก่อนจะส่งให้เจียงเฟย “พี่ชายข้าไปตักน้ำที่ริมแม่น้ำ นี่ก็ใกล้จะกลับมาแล้วล่ะนะ”
เจียงเฟยยกน้ำขึ้นดื่มจนเกิดเสียงดังอึก ๆ ดื่มเสร็จก็เช็ดปาก “ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวกลับก่อน เจ้าอย่าลืมบอกพี่ชายเจ้าล่ะว่าการประชุมใกล้จะเริ่มแล้ว พวกเจ้ารีบไปด้วยนะ”
เจียงป่าวชิงครุ่นคิดสักครู่ จากนั้นก็ขานรับ
เจียงเฟยกลับไปได้เพียงไม่นาน เจียงหยุนชานก็ถือน้ำกลับมาหนึ่งถัง เขานั้นได้รับบาดเจ็บมาเป็นเวลาร้อยวันได้แล้วแต่แขนซ้ายของเขายังทำอะไร ๆ ได้ไม่คล่องแคล่วเท่าไหร่นัก งานที่เขาสามารถทำได้ในวันธรรมดา เขาก็จะใช้มือขวาเพียงข้างเดียว
เจียงหยุนชานวางถังน้ำลง เขาแกว่งแขนขวาไปมา เมื่อเห็นสวนผักสะอาดแล้ว เขาก็อุทานออกมาเบา ๆ “โอ้โห! ป่าวชิง เจ้าตัดเสร็จแล้วรึ ? เร็วจริง ข้ายังคิดอยู่เลยว่าจะกลับมาช่วยเจ้าถอนหญ้าสักครู่หนึ่ง”
เจียงป่าวชิงพูดขึ้น “เมื่อสักครู่เจียงเฟยมาที่นี่เจ้าค่ะ เขาบอกว่าท่านอาซานไท่เรียกให้เราไปประชุมด้วย”
นอกจากไปตักน้ำที่ริมแม่น้ำแล้ว เจียงหยุนชานก็ไม่ค่อยออกจากบ้านเลยในช่วงนี้ เขาจึงไม่รู้เรื่องในหมู่บ้านสักเท่าไหร่ ได้ยินดังนั้น เขาก็เอ่ยถามเจียงป่าวชิงอย่างงุนงง “อยู่ดี ๆ เหตุใดพวกเขาถึงเรียกเราไปประชุมได้ ?”
เจียงป่าวชิงจึงต้องเล่าเรื่องของเจียงต้ายาให้เจียงหยุนชานฟังคร่าว ๆ ก่อนจะปิดท้ายว่า“…ข้าคิดว่าน่าจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้แหละ”
เจียงหยุนชานหยุดหายใจไปเล็กน้อย เขารู้สึกยากที่จะเชื่อ “หืม ? เหตุใดพี่ต้ายาถึงได้ไม่หลาบจำแบบนี้นะ เคยเสียเปรียบแล้วครั้งหนึ่ง นี่ยังจะกระโดดลงไปในหลุมเก่าอีก”
เจียงป่าวชิงไม่ได้วิจารณ์เรื่องนี้ นางเพียงถามเจียงหยุนชานอีกครั้ง “พี่ อีกประเดี๋ยวเราไปดูกันไหมเจ้าคะ ?”
เจียงหยุนชานพยักหน้า “อืม ไปดูสิ ปกติแล้วการประชุมของวงศ์ตระกูลจะจัดระหว่างผู้อาวุโสในตระกูลเท่านั้น น้อยมากที่จะมีให้คนรุ่นหลังอย่างเราเข้าร่วมด้วย ในเมื่อครั้งนี้อนุญาตให้เราไปร่วมประชุมได้ เราก็จะไปดู”
เจียงป่าวชิงเองก็คิดแบบนี้เช่นกัน
ตอนนี้ยังคงมีการจำกัดและการรวมตัวกันระหว่างวงศ์ตระกูลอยู่บ้าง เช่นเดียวกับครั้งที่แล้วที่เจียงป่าวชิงและเจียงหยุนชานแยกบ้านกับท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อ นั่นก็ถือว่าเป็นการพึ่งพาพลังของวงศ์ตระกูลเช่นกัน
รู้เขารู้เราถึงจะเอาชนะได เจียงป่าวชิงจึงตั้งใจจะไปสังเกตดูสักหน่อย
เมื่อสองพี่น้องทำการปรึกษากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ไปที่บ้านของท่านอาซานไท่อย่างว่องไว
กงจี้ผู้ซึ่งพิงอยู่ที่ริมหน้าต่างพูดขึ้นอย่างครุ่นคิด “เหมือนจะน่าสนุกนะ”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ ไป๋จีก็แทบจะเข้าใจความหมายของเจ้านายของเขาได้ในทันที
……
ตอนที่เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานไปถึง ในลานบ้านของเจียงซานไท่ก็เต็มไปด้วยผู้คนแล้ว ลานกว้างจึงดูคับแคบไปถนัดตา
มีเก้าอี้ที่ทรุดโทรมสองสามตัวตั้งอยู่กลางลานบ้าน และได้ทำการเว้นที่ว่างไว้ตรงกลางลานบ้านเช่นกัน
ไม่รู้มาก่อนเลยว่าตระกูลเจียงจะมีคนตั้งมากมายถึงเพียงนี้ ดู ๆ แล้วไม่ใช่เพียงแค่ในชีหลี่โวเท่านั้น คนของตระกูลเจียงที่อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงก็มารวมตัวด้วยเช่นกัน
เจียงป่าวชิงเข้าไปในลานบ้านกับเจียงหยุนชาน ทันทีที่ทั้งสองเข้ามา เจียงเฟยเห็นพวกเขา จึงโบกมือให้พวกเขาเพื่อเป็นการบอกใบ้ให้พวกเขาเข้าไปข้างใน
เจียงเฟยอยู่กับพวกพี่น้องของเขา ด้วยเพราะเจียงเหล่าหวู่มีตำแหน่งในตระกูลเจียง เขาจึงไม่ยืนกับพวกคนรุ่นหลังเหล่านี้
เจียงป่าวชิงพูดขึ้นด้วยเสียงอันเบา “คนเยอะมากจริง ๆ ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าตระกูลเจียงจะมีคนตั้งมากมายขนาดนี้”
เจียงเฟยพูดขึ้น “นี่ไม่ถือว่ามากอะไรนะ พวกลูกสาวที่แต่งออกไปแล้วกับพวกสะใภ้ของตระกูลเจียงจะไม่ได้มาเข้าร่วม ลูกของพี่ชายข้ายังเล็กเกินไปก็ไม่ได้มาเข้าร่วมเช่นกัน
ที่แท้ก็มีความแตกต่างเช่นนี้นี่เอง
กำลังพูดกันอยู่ ตรงที่ว่างในลานบ้านก็มีผู้อาวุโสตระกูลเจียงที่มีอายุแล้วสองสามคนทยอยเข้ามานั่งประจำที่ เจียงป่าวชิงจำเจียงเหล่าหวู่กับผู้อาวุโสในตระกูลไม่กี่คนที่เคยพบในระหว่างการทำเรื่องแยกบ้านเมื่อครั้งก่อนได้ พวกเขาก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
ผู้เฒ่าผมขาวฟันหลอสองสามซี่ที่ถือไม้เท้ายืนอยู่ตรงกลาง เขาพูดขึ้นเสียงดัง “เอาล่ะ คนมากันพอใช้ได้แล้ว การประชุมของวงศ์ตระกูลครั้งนี้ เรียกพวกเจ้ามาเพราะเหตุอันใด คาดว่าคงมีคนในนี้รู้อยู่แล้ว”
ผู้คนรอบ ๆ เริ่มวิจารณ์กันเสียงเบา
เจียงป่าวชิงเป็นคนหูไว นางจึงได้ยินอยู่หลายประโยค
“เพราะเรื่องของเจียงต้ายาใช่ไหม ?”
“อย่าพูดเลยเถอะ เรื่องนี้มันช่างขายหน้าตระกูลเจียงของเราจริง ๆ ข้าไม่มีหน้าออกไปเจอใครแล้ว”
“ไอ้โย! นี่เป็นการทำลายประเพณีที่ดีงามอย่างเห็นได้ชัดเลยจริง ๆ”
อาซานไท่ตำไม้เท้าสองสามครั้ง แม้ว่าเขาจะอายุมากแล้ว แต่พละกำลังของเขากลับเต็มเปี่ยม “เสียงดังโวยวายอะไรกัน ? ไม่ต้องโวยวายแล้ว! เอาล่ะ ในเมื่อที่นี่มีแต่คนในตระกูลเจียง ข้าจะไม่อ้อมค้อมก็แล้วกัน การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นมาเพราะเรื่องที่เจียงต้ายาหลานสาวคนโตของเจียงเหล่าชีไปสุกเอาเผากินกับคนอื่น!”
ท่านปู่เจียงเป็นผู้อาวุโสอันดับเจ็ดในตระกูล เวลานี้เขารู้สึกขายหน้ามากจริง ๆ
“พาตัวมา!” อาซานไท่สั่งเสียงดัง
ตามเสียงพูดนี้ ชายหนุ่มร่างกายบึกบึนก็พาตัวเจียงต้ายาที่ถูกมัดมือไว้ข้างหลังเข้ามาทันที ในปากของเจียงต้ายามีผ้าขี้ริ้วที่สกปรกจนมองไม่เห็นสีเดิมยัดไว้อยู่
เมื่อชายหนุ่มยื่นมือออกไปผลัก เจียงต้ายาก็ล้มนั่งบนที่ว่างในลานบ้านทันที
.