บทที่ 136
รายละเอียดช่วงอาหารค่ำ
พวกเขากำลังเล่นสนุกจนไม่ได้สังเกตผลไม้ที่ดูเหมือนจะธรรมดานี้เลย น้องห้าที่กำลังนั่งเล่นเกม หยิบผลไม้ที่อยู่ข้างๆเธอขึ้นไปกัดหนึ่งคำและก็รู้สึกว่านี่อร่อยมากเลย เธอมองไปที่ทุกคนรอบๆตัวที่กำลังสนุกกันอยู่ เธอไม่เรียกทั้งสี่คนที่เหลือแต่กลับเร่งการเคลื่อนไหวและพยายามที่จะยัดเข้าไปในปากเร็วๆ
คนที่เหลือเริ่มจะสังเกตเห็นความผิดปกติเพราะน้องห้าเงียบไปมากและปกติแล้วเธอเป็นคนที่เลือกกินมากด้วย อันที่จริงเธอแทบจะไม่กินผลไม้เลยด้วยซ้ำ พวกเขาที่เหลือรีบหยิบผลไม้มาจากจานและเอาใส่ปากบ้าง แล้วพวกเขาก็แยกกันกินจนกระทั่งหมดจาน
ฮวงฟูอี้มองไปที่พวกเขาด้วยสายตาดูถูก เขาได้กินผลไม้ทุกวันและก็กินเท่าไรก็ได้ที่เขาต้องการ เขารู้สึกว่าอาหารของพี่สาวอร่อยมากราวกับว่าเขาไม่เคยกินอะไรที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย อาหารของพี่สาวจะอร่อยมากเป็นพิเศษ ทุกครั้งเขาจะกินเยอะมากๆ
พวกเขาต่างก็มองหน้ากันและมองไปที่จานเปล่า พวกเขาไม่ใช่คนโง่จึงรู้สึกได้ทันทีว่าผลไม้นี้ต้องไม่ธรรมดา ดูเหมือนว่ามู่หรงเสวี่ยจะยกย่องพวกเขาราวกับเป็นเพื่อน พวกเขาอยากที่จะบอกเธอเรื่องตัวตนที่แท้จริงหรือเปล่า? มันค่อนข้างจะยุ่งเหยิงมากๆ
พวกเขาต่างก็รู้ว่าแต่ละคนกำลังคิดอะไรแต่ตัวตนของพวกเขาถูกเก็บไว้เป็นความลับและไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะเลย
พี่สี่พูดกระซิบกับน้องห้า “เธอนี่จริงๆเลยนะ ไม่คิดว่าจะแอบกินคนเดียวแบบนี้” เขายังไม่ลืมภาพที่หญิงสาวกินอย่างบ้าคลั่งโดยไม่เรียกพวกเขากินด้วยเลย
น้องห้าหยักไหล่และกระซิบออกมาว่า “เปล่า เปล่าเลย ฉันคิดว่าพวกเธอไม่ชอบกิน…” เธอพูดเสียงเบาลงเรื่อยๆเพราะสายตาเย็นชาของคนทั้งสี่ต่างก็กำลังจ้องมาที่เธอจนเธออยากที่จะร้องไห้ ก็แค่ผลไม้ไม่กี่ชิ้นเอง ดีนะที่เธอได้กินไปหลายชิ้นเลย ฮ่าฮ่า “ช่างมันเถอะ อย่าไปสนใจเธอเลย ว่าแต่พวกนายคิดว่าไง?” พี่ใหญ่มองไปที่มู่หรงเสวี่ยที่ยังยุ่งอยู่ในครัวและพูดออกมาด้วยเสียงต่ำ
ทุกคนต่างก็เงียบและพี่สี่ก็เป็นคนที่พูดออกมาเป็นคนแรก “ยังไงซะฉันก็ชอบเธอมากเลยนะ พวกนายล่ะว่าไง…”
“ฉันก็ชอบเหมือนกัน!” น้องห้าก็พูดออกมาเหมือนกัน
ชายสามคนที่เหลือมองหน้ากันและกัน ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ชอบเธอแต่ว่าพวกเขามีเสียงข้างมากกว่าสาวๆ สุดท้ายพี่สามก็พูดออกมา “ค่อยคุยกันทีหลังเถอะ อีกอย่างเธอก็ไม่ได้ถามเราด้วย ถ้าเธอถามเราค่อยตัดสินใจกันอีกที…”
คนอื่นๆพยักหน้าเพื่อแสดงว่าพวกเขาก็ไม่มีความคิดเห็นอื่น
ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยเตรียมอาหารเสร็จแล้วและกำลังเดินออกมาพร้อมอาหาร น้องห้าหันไปเห็นจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วย “น้องหก ฉันช่วยเอง…” ก่อนที่เธอจะเดินไปถึงห้องครัวก็ได้กลิ่นหอมอย่างแรง เธอแอบกลืนน้ำลายอยู่เงียบๆและทันใดนั้นก็รู้สึกหิวขึ้นมาอย่างมาก
พี่สี่เองก็เดินเข้ามาช่วยยกอาหารด้วยเหมือนกันในระหว่างที่หนุ่มๆทั้งสามกำลังเก็บไพ่ที่ทำรกไว้ให้เข้าที่
“มากินข้าวกันเถอะ ได้เวลาแล้ว” มู่หรงเสวี่ยพูด
ทุกคนเดินเข้ามาที่โต๊ะและแม้ขนาดฮวงฟูอี้เองก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามาด้วย เขายังไม่หิวแต่ในที่สุดเขาก็จะได้อยู่กับพี่สาวแล้ว ถึงแม้จะมีคนอื่นด้วยแต่เขาก็ไม่สนใจพวกเขา
พวกเขาจ้องไปที่อาหารมากมายที่อยู่บนโต๊ะ พวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่หรงเสวี่ยจะมีทักษะการทำอาหารที่ดีขนาดนี้ เดิมทีพวกเขาคิดว่าอย่างมากก็คงเป็นแค่อาหารธรรมดาบ้านๆเท่านั้น ตอนนี้ดูเหมือนว่าฝีมือการทำอาหารของมู่หรงเสวี่ยจะดีกว่าพวกเชฟห้าดาวอีกด้วยซ้ำ
“น้องหก เธอนี่เทพธิดาชัดๆ!” น้องห้ามองอาหารสีสันสวยงามที่อยู่บนโต๊ะด้วยสายตาเป็นประกาย
มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องเกรงใจนะ กินกันได้ตามสบายเลย ทุกคนเป็นเพื่อนกันหมด ไม่ต้องยั้งเลยนะ พี่ใหญ่ก็ด้วยนะ…”
ตอนแรกพวกเขาก็ยังพอที่จะรักษาท่าทางกันไว้บ้างแต่เมื่อยิ่งพวกเขากินเข้าไปมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันอร่อยมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้น้องห้าก็ไม่สนใจที่จะรักษาท่าทางแล้วด้วย พวกเขาที่เหลืออดไม่ได้ที่จะจ้องมองท่าทางการกินอย่างบ้าคลั่งนี้
ฮวงฟูอี้มองทุกคนที่กำลังกินอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ขยับตะเกียบเลยด้วยซ้ำ ในใจเขารู้สึกรังเกียจที่จะต้องแบ่งอาหารกับคนพวกนี้ ดูเหมือนว่าในใจเขาจะต่อต้านอย่างมาก เขาถึงขนาดคิดภาพว่าพวกเขาไม่ควรที่จะต้องมานั่งร่วมโต๊ะกับเขาเลยด้วยซ้ำ แต่เขาก็จำไม่ได้ว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกแบบนี้
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้กินอะไรมาก ได้แต่มองไปที่จานอาหารที่ว่างเปล่าที่อยู่บนโต๊ะ มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ทำไมทุกคนที่กินอาหารของเธอเป็นครั้งแรกจะต้องมีท่าทางแบบนี้ แต่มันก็เพียงแสดงให้เห็นด้านที่ไม่ดีของมิติลับว่าเป็นยังไง
หลังจากที่ดื่มกินกันเสร็จเรียบร้อย ในที่สุดพวกเขาก็รู้ตัวว่าพวกเขาหมดสภาพแค่ไหน จึงพูดออกมาอย่างเขินๆว่า “อ่า ทั้งหมดก็เป็นเพราะอาหารของน้องหกที่อร่อยขนาดนี้เลย…” สี่คนที่เหลือพยักหน้าอย่างหมดหนทาง
มู่หรงเสวี่ยทำได้เพียงยิ้ม เพื่อนๆของเธอ ท่าทางแบบนี้อธิบายได้ว่าเป็นคนตรงไปตรงมาใช่ไหมนะ?! “พวกเธอนั่งพักกันก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันไปเก็บจานก่อน…”
“ฉันช่วยล้างเอง” พี่สี่พูดออกไป
มู่หรงเสวี่ยรีบส่ายมือปฏิเสธ “ไม่ต้องเลย ฉันทำเองได้ ไปนั่งพักเถอะ เดี๋ยวฉันออกมานะ…” แล้วเธอก็รีบเก็บจานที่อยู่บนโต๊ะ
พี่สี่ไม่ได้เดินไปไหนแต่ช่วยเธอล้างจาน ส่วนพวกผู้ชายก็เดินตรงไปที่ห้องนั่งเล่น พวกเขาเองก็อยากที่จะช่วยแต่คนช่วยเยอะไปแล้ว แค่น้องสี่กับน้องห้าก็เพียงพอแล้ว
ฮวงฟูอี้ยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเอง แน่นอนมู่หรงเสวี่ยเองก็สังเกตเห็นว่าเขากินไปนิดเดียว เดาว่าเขาคงไม่ชินกับการต้องกินข้าวร่วมกันคนอื่นด้วย งั้นเดี๋ยวเธอค่อยต้มโจ๊กให้เขาทีหลังแล้วกัน เวลาที่เขากินข้าวเขาไม่เคยเงียบเลย เขามักจะพูดกับเธออยู่ตลอด
สาวทั้งสามคนคุยกันตลอดในระหว่างที่ช่วยกันล้างจานอยู่ในครัว
“น้องหก ปกติแล้วเธออยู่กับน้องชายงั้นเหรอ?” น้องห้าถามในระหว่างที่ล้างจาน
มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ “ฉันมาเมืองหลวงก็เพราะสอบติดที่มหาวิทยาลัยการแพทย์ ปกติก็จะมีแค่ฉันกับน้องชายสองคนเท่านั้น ส่วนพ่อแม่ฉันอยู่ที่จังหวัด”
“ฮ่าฮ่าฮ่า น้องหกที่เป็นอิสระดีจัง แล้วอาหารก็อร่อยมากด้วย ฉันทำไม่เป็นเลย ปกติก็กินแต่อาหารฟาสฟู้ดนอกบ้านตลอดเลย” พี่สี่อธิบาย
“ถ้าเธออยากจะกิน ที่นี่ก็ยินดีต้อนรับนะแวะมากินได้ตลอดเลย ยังไงฉันก็ต้องทำกินเองอยู่แล้ว ฉันไม่ชอบออกไปกินข้างนอก ว่าแต่พวกเธออยู่หอกันไม่ใช่เหรอ ฉันไม่รู้เลยนะว่าหอจะปิดดึกขนาดนี้ได้ด้วย? หรือพวกเธอจะค้างที่บ้านฉันก็ได้นะ ที่ชั้นสามยังว่างและไม่มีใครอยู่ด้วย” มู่หรงเสวี่ยพูด
“งั้นค้างที่นี่กันเถอะพี่สี่” น้องห้าพูดออกมาอย่างตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกของเธอที่จะได้ค้างบ้านเพื่อนคนอื่นนอกจากพวกเขา นี่มันแปลกใหม่มากๆเลย
พี่สี่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ไปทางมู่หรงเสวี่ย “รบกวนด้วยนะน้องหก”
“รบกวนอะไรกัน? ฉันดีใจซะอีกที่พวกเธอค้างได้ ยังไงซะช่วงวันธรรมดาบ้านก็เงียบมากๆอยู่แล้ว ยิ่งมีคนมาเยอะๆบ้านยิ่งมีชีวิตชีวา” มู่หรงเสวี่ยมีความสุขจริงๆ เธอไม่รู้ว่าทำไมหลังจากที่ได้กลับมาเกิดใหม่เธอถึงชอบความมีชีวิตชีวาและเพื่อนๆมากขึ้นเรื่อยๆ เธอกลัวที่จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวนิดหน่อย เธอมักจะรู้สึกว่าฝันร้ายของชีวิตที่แล้วมันช่างเลวร้ายจริงๆ เวลาที่เธออยู่คนเดียว เธอก็จะอดไม่ได้ที่จะจมลงไปกับฝันร้ายนั้นและช่วยตัวเองไม่ได้ด้วย
แต่เมื่อยืนอยู่ข้างเพื่อนๆ เธอจะรู้สึกอบอุ่นไปด้วยความเป็นมิตรของพวกเขาเสมอ ช่วยให้เธอออกห่างจากความมืดมิดออกมาเรื่อยๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า น้องหก ขอบคุณนะ คืนนี้พวกเรามีความสุขมากเลย” พี่สี่พูด
มู่หรงเสวี่ยเผยรอยยิ้มที่มีความสุขอย่างมาก “ฉันเองก็อยากที่จะขอบคุณพวกเธอที่วันนี้ยืนอยู่ข้างฉัน ขอบคุณนะ…”
“แหม เธอไม่ต้องขอบคุณหรอก เสร็จแล้วออกไปข้างนอกกันเถอะ” น้องห้าพูด
“พวกเธอออกไปก่อนเถอะ คืนนี้น้องชายฉันไม่ค่อยกินข้าวเลย ฉันจะต้มโจ๊กให้เขาก่อนแล้วค่อยออกไป…” มู่หรงเสวี่ยยังไม่ลืมฮวงฟูอี้ จึงพูดขอโทษกับพี่สี่และน้องห้า
“งั้นพวกเรารอข้างนอกนะ” พี่สี่ไม่ได้สนใจ
มู่หรงเสวี่ยหยิบวัตถุดิบออกมาอีกครั้งและเตรียมที่จะต้มโจ๊กให้ฮวงฟูอี้ ร่างกายเขายังไม่หายดี เธอต้องใส่สมุนไพรลงไปผสมกับยามากมายให้เขาด้วย
ในตอนนี้ฮวงฟูอี้เดินเข้ามา “พี่สาว…” น้ำเสียงของเขาต่ำเล็กน้อย และฟังดูหดหู่อยู่นิดหน่อย
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ไฟและถามออกมา “เป็นอะไรเหรอเสี่ยวอี้…”
“เปล่าครับ…” นี่เป็นครั้งแรกที่ฮวงฟูอี้ได้รู้ว่าพี่สาวจะหัวเราะอย่างมีความสุขแม้ไม่ได้ถูกเขาแกล้งหยอก เธออาจจะมีความสุขมากกว่าตอนที่อยู่ต่อหน้าเขาอีกด้วยซ้ำ เพื่อนสำคัญกับพี่สาวมากจริงๆงั้นเหรอ
เมื่อได้ยินดังนี้ เธอก็เงยหน้าขึ้นไปมองฮวงฟูอี้ด้วยสายตาประหลาดใจ เธอพบว่าคืนนี้เขาเงียบอย่างไม่คาดคิด สีหน้าของเขาค่อนข้างโดดเดี่ยว มู่หรงเสวี่ยกังวล “เสี่ยวอี้ เป็นอะไรเหรอ? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
ฮวงฟูอี้ส่ายหัว เขาไม่ได้ไม่สบาย เขาเพียงแค่ได้รู้ความจริงที่ทำให้เขาไม่มีความสุข เขาไม่ใช่หนึ่งเดียวในหัวใจของพี่สาว
มู่หรงเสวี่ยนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ความทรงจำของเขาก็เพียงแค่ห้าขวบ เดาว่าเขาน่าจะกลัวคนแปลกหน้าเหมือนกับเด็กทั่วๆไป เขาอาจจะไม่ชินกับการที่อยู่ดีๆก็มีเพื่อนมากมายเข้ามาในบ้าน เธอจึงค่อยๆกอดเขาเหมือนกับที่พ่อแม่เคยกอดปลอบใจเธอ “ไม่ต้องกังวลนะ พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีกับพี่สาว พวกเขาไม่ทำร้ายเสี่ยวอี้หรอก ไม่ต้องกลัวนะ”
ฮวงฟูอี้เกือบที่จะกอดมู่หรงเสวี่ยโดยไม่ตั้งใจแล้ว เพียงแค่ว่าเวลาที่พี่สาวกอดเขา มันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย อ้อมกอดของพี่สาวช่างสบายดีจริงๆ
ไม่นานมู่หรงเสวี่ยก็ปล่อยเขา อันที่จริงเธอไม่รู้วิธีที่จะเข้ากับเด็กอายุห้าขวบและเธอเองก็จำไม่ได้ด้วยว่าตอนที่เธอห้าขวบมันเป็นยังไง?! แต่ก็เดาว่าความคิดคงจะเรียบง่ายมากๆ ดังนั้นเธอจึงลองที่จะนึกภาพว่าปัญหาของเขาก็คงเป็นเรื่องที่เรียบง่ายธรรมดามากๆ
โจ๊กสุกในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยยื่นให้เขา เธอก็ปล่อยให้เขาค่อยๆกินด้วยตัวเอง เธอออกไปอยู่กับเพื่อน พวกเธอพูดคุยกันอย่างสนุกสนานหลายเรื่องแต่มู่หรงเสวี่ยก็ไม่ได้ถามถึงเรื่องตัวตนของพวกเขา เพราะเธอคิดว่าถ้าพวกเขาอยากที่จะบอก พวกเขาก็จะบอกเอง บางทีถ้าเธอถามออกไปคงจะเป็นเรื่องที่น่าอาย