จู่ ๆ เฉินเสียนก็รู้สึกอยากร้องไห้ น้ำตาคลอเบ้า เธอพูดด้วยเสียงแหบ “ซูเจ๋อ ในที่สุดท่านก็เป็นของข้าอย่างสมบูรณ์แล้ว”
ต่อมา ซูเจ๋อก้มลงกดไปที่หูของเธอและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ต่อไปเราเป็นสามีภรรยากัน”
เฉินเสียนถาม “ยังรู้สึกหนาวไหม? ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง? ที่นี่มีผ้าห่มจัดเตรียมไว้ ท่านปล่อยข้า เดี๋ยวข้าไปหยิบมาให้”
“ไม่ปล่อย ท่านอบอุ่นกว่าผ้าห่มนั่นอีก”
เมื่อเวลาค่ำแล้ว โคมไฟใต้ชายคาพระราชวังก็สว่างไสวขึ้นทีละดวง ๆ ไฟในท้องพระโรงสว่างไสว
นอกจากขุนนางในราชสำนักแล้ว ยังมีการจัดเลี้ยงโต๊ะสำหรับขุนนางข้าราชการทั้งหลายอีกด้วย
มีเหลียนชิงโจวนั่งที่โต๊ะเตี้ยกับภรรยาและลูก ๆ ของเขา ลูกชายของเขาอายุมากกว่าหนึ่งขวบแต่ยังพูดได้ไม่กี่คำ แต่เขาก็กระตือรือร้นและมีชีวิตชีวามาก
ถัดจากเขาคือแม่นมซุยและเสี่ยวเฮอ และยังมีหมอหลวงหญิงฝูหลิง และรวมไปถึงบ่าวในเรือนเก่าของซูเจ๋อที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลองในครั้งนี้ ทุกคนต่างรู้จักกัน พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันไปมา ช่างมีความสุขมาก
หลังจากนั้นอวี้เยี่ยนก็มาที่แม่นมซุยเพื่อพบปะพูดคุย
แม่นมซุยเหลือบมองนางด้วยรอยยิ้ม จากนั้นมองไปที่เฮ่อโยวที่นั่น แล้วเหล่ไปที่อวี้เยี่ยนแล้วกล่าวว่า “ใต้เท้าเฮ่ออยู่ตรงนั้น ทำไมเจ้าไม่ไปนั่งกับเขาล่ะ?”
อวี้เยี่ยนเขินหน้าแดงและกล่าวว่า “ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับเขาสักหน่อย จะมีสิทธิ์อะไรไปนั่งกับเขา ก็รู้สึกแปลกอยู่นะ”
แม่นมซุยกล่าว “เจ้าดูเขาไว้ดี ๆ ก็แล้วกัน ตอนนี้ใต้เท้าเฮ่อยังไม่แต่งงาน ขุนนางในราชสำนักหลายคนคงจะเล็งไว้ให้ลูกสาวอยู่บ้างแล้ว”
อวี้เยี่ยนกล่าว “เขาอยากจะแต่งกับใคร ก็ให้เขาแต่งไปสิ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อวี้เยี่ยนไปที่บ้านของเฮ่อโยวเป็นเวลาเกือบสองปี แต่ทั้งสองกลับไม่มีอะไรคืบหน้า เฮ่อโยวเกิดมาหน้าตาหล่อเหลา และตอนนี้เขารอบคอบและมั่นคง หากไม่เป็นที่ถูกใจของสาว ๆ นั่นล่ะถึงเรียกว่าแปลก
ถ้าอวี้เยี่ยนไม่ได้คิิดอะไรกับเขาจริง ๆ ละก็ ถูกแม่นมซุยพูดถึงเขาไม่กี่คำนางก็มีอาการหน้าแดง ยังจะปากแข็งปฏิเสธว่าไม่มีใจให้
ภายในท้องพระโรงนั้น นอกจากจะมีคนของต้าฉู่แล้ว ยังมีบรรดาทูตจากเป่ยเซี่ยอีกด้วย
เพื่อปกปิดความเคอะเขินซึ่งกันและกัน บรรดาทูตของเป่ยเซี่ยและขุนนางข้าราชบริพารของต้าฉู่ก็สลับสับเปลี่ยนกันที่นั่งกันไปมา จักรพรรดินีมีคำสั่ง ต้องดูแลแขกจากเป่ยเซี่ยเป็นอย่างดี
ขุนนางราชสำนักต่างได้ยินมาว่า ครั้งที่แล้วที่เป่ยเซี่ย เฮ่อโยวและเหลียนชิงโจวถูกขุนนางของเป่ยเซี่ยมอมเหล้าจนเมามาย
เนื่องจากเป็นคำสั่งของจักรพรรดินี การต้อนรับจึงต้องได้รับการปฏิบัติอย่างดี ดังนั้นเหล่าขุนนางของต้าฉู่จึงยิ้มแย้มให้ทูตของเป่ยเซี่ยมากขึ้น งานเลี้ยงเฉลิมฉลองยังไม่เริ่ม แต่ในใจกลับกำลังคิดเกี่ยวกับการจะมอมเหล้า!
เหลียนชิงโจวเป็นคนใจกว้าง และนำเหล้าทั้งหมดที่สะสมไว้ในบ้านของเขามาที่ท้องพระโรงเพื่อดื่มให้หมด
องค์หญิงจาวหยางก็เป็นแขกผู้มีเกียรติคนหนึ่งจากเป่ยเซี่ย นางฉลาดและสวยงามมาก และนางก็ไม่ระมัดระวังเหมือนผู้หญิงธรรมดา เมื่อนางมาที่ท้องพระโรง นางเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ขุนนางที่ยังไม่แต่งงานของต้าฉู่
แต่ซูเซี่ยนอยู่กับนางตลอดเวลา พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าหาอย่างโจ่งแจ้งได้
อย่ามองว่าซูเซี่ยนที่ดูสีหน้าเย็นชาแบบนั้น แต่ในใจก็ดูแลท่านอาคนนี้เป็นอย่างดี แลละไม่ยอมให้นางไปนั่งร่วมโต๊ะกับทูตเป่ยเซี่ย และอยู่ในหมู่ผู้ชาย เพื่อป้องกันผู้ชายเหล่านั้นให้นางดื่มเหล้า และแอบถูกเนื้อต้องตัวนาง
ทันทีที่องค์หญิงจาวหยางเข้ามาในท้องพระโรง ดวงตาของนางเป็นประกายไปทุกหนทุกแห่ง และในที่สุดนางก็จับตำแหน่งของเขาบนฉินรูเหลียงที่ค่อนข้างโดดเดี่ยวที่ข้างในของท้องพระโรง และกล่าวกับซูเซี่ยนอย่างอย่างไม่กะพริบตาว่า “หลานชาย พวกเรานั่งตรงไหนหรือ?”
ซูเซี่ยนมองตามสายตาของนาง และเห็นว่านางมองฉินหรูเหลียงอยู่ และกล่าวว่า “ท่านอยากไปนั่งกับเขามากใช่ไหม?”
องค์หญิงจาวหยางพยักหน้าอย่างจริงใจ “อยากสิ
ซูเซี่ยนกล่าว “ข้านั่งอยู่ข้าง ๆ โต๊ะของเขา ท่านไปนั่งกับเขาเถอะ หากถูกเขาไล่กลับมา ก็มานั่งกับข้า”
องค์หญิงจาวหยางมีความสุขมากจนอยากจะหอมแก้มซูเซี่ยน ทันทีที่นางกำลังจะจับแก้มเขา ซูเซี่ยนก็รู้สึกรังเกียจและกล่าวว่า “ที่สาธารณะระวังจะมีผลกระทบ!”
แน่นอนว่าซูเซี่ยนกำลังช่วยท่านอาของเขา เขาเดินไปข้างฉินหรูเหลียง และไม่ลืมที่จะฝากฝัง เขากล่าวกับฉินหรูเหลียงว่า “ท่านแม่ทัพ นี่คือองค์หญิงจาวหยางแห่งเป่ยเซี่ย เป็นท่านอาของข้า ฝากท่านดูแลพระองค์หน่อยนะ”
ฉินหรูเหลียงงมองไปที่องค์หญิงจาวหยางอย่างเย็นชา องค์หญิงจาวหยางพยักหน้าให้เขาด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ใช่ ข้ามาจากเป่ยเซี่ย ข้าไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ ข้าพอจะมีมิตรภาพกับท่านบ้าง ยังไงก็ฝากท่านแม่ทัพดูแลข้าหน่อยนะ”
หลังจากนั้นองค์หญิงจาวหยางก็นั่งลงกับฉินหรูเหลียง เป็นที่ดึงดูดสายตาจากผู้คนจำนวนมากในท้องพระโรง
ฉินหรูเหลียงขมวดคิ้วและกล่าวว่า “องค์หญิงมียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่ง มานั่งกับกระหม่อมเห็นทีจะไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงจาวหยางกล่าวว่า “มีอะไรไม่เหมาะสมงั้นหรือ พวกท่านเป็นเจ้าบ้าน ข้าเป็นแขกผู้มาเยือน ตอนนี้จักรพรรดิไม่มีเวลามาดูแลข้า ข้าให้ท่านดูแลต้อนรับข้าเสียหน่อย มันก็สมเหตุสมผลแล้ว ท่านไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ยังไงข้าก็จะนั่งตรงนี้”
แต่ในท้องพระโรงเหล่าขุนนางที่มีผู้หญิงนั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วย ล้วนเป็นภรรยา
ต่อมาไม่มีเวลาพูดเรื่องนี้ เฉินเสียนและซูเจ๋อก็เข้ามายังท้องพระโรง และนั่งลงตรงที่ประทับข้างบนด้วยกัน และหลังจากนั้นงานเลี้ยงเฉลิมฉลองในวังหลวงก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ทั้งสองคนจะต้องดื่มเหล้าอวยพรซึ่งกันและกัน เมื่อเหล้าไปในลำคอ ซูเจ๋อพบว่าเหล้ากลับไม่มีรสชาติใด ๆ และได้รู้ว่าเฉินเสียนได้เปลี่ยนจากเหล้าเป็นน้ำเปล่าให้กับเขา
หลังจากนี้ยังมีเหล้าที่จะต้องดื่มอีกมากมาย แม้ซูเจ๋อจะดื่มน้ำเปล่าเข้าไป แต่กลิ่นหอมที่กลมกล่อมของเหล้าลอยออกมาจากแก้วเหล้าของเฉินเสียน
ใต้โต๊ะ ทั้งสองจับมือกุมไว้ด้วยกัน เฉินเสียนเอียงศีรษะของเธอยิ้มให้เขาเบาและกระซิบเบา ๆ ว่า “ขุนนางของต้าฉู่ดื่มเหล้ากันอย่างดุเดือด ข้าเลยเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าให้กับท่าน แบบนี้จะไม่ทำให้ท่านเมาได้”
คืนนี้ขุนนางนับร้อยต่างร่วมอวยพร และกล่าวคำอันเป็นมงคลอย่างไม่ขาด ขุนนางทุกคนกล่าวคำอวยพรของเขา จากนั้นเขาก็ดื่มเหล้าหนึ่งแก้ว
เมื่อก่อนเฉินเสียนไม่อนุญาตให้เหล่าขุนนางมอมเหล้าซูเจ๋อ แต่วันนี้เป็นคืนพิเศษ เธอไม่สามารถหยุดยั้งการกล่าวคำอวยพรของเหล่าขุนนางนับร้อยได้ ดังนั้นเธอจึงใช้วิธีนี้
ประชาชนภายนอกพระราชวังต่างก็ร่วมเฉลิมฉลองกันทั้งประเทศ
ฉินหรูเหลียงรินเหล้า ลุกขึ้นท่ามกลางบรรยากาศรื่นเริงของท้องพระโรง และยกแก้วของเขาให้ซูเจ๋อและเฉินเสียน เขามองเฉินเสียนอย่างลึกซึ้ง โดยไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้า สีหน้าเคร่งขรึมไม่มีรอยยิ้ม ใบหน้าหล่อเหลาที่ใจจดใจจ่อ พูดด้วยน้ำเสียงที่สงบว่า “กระหม่อมขอให้ทั้งสองพระองค์ครองรักกันไปจนแก่เฒ่าและอยู่ด้วยกันตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนถอนหายใจเมื่อเห็นเขาเงยหน้าขึ้นมาดื่มเหล้า เธอควรจะรับคำอวยพรจากเขา แบบนี้จะทำให้เขาสามารถปล่อยวางทุกอย่างลงได้ในที่สุด
เฉินเสียนและซูเจ๋อยกแก้วขึ้นเพื่อเป็นการรับคำอวยพรจากเขา และกล่าวว่า “ขอบใจท่านแม่ทัพ”
ฉินหรูเหลียงนั่งลง หลังจากนั้นราวกับความรื่นเริงครื้นเครงภายในท้องพระโรงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาแต่อย่างใด
เขารินเหล้าและดื่มเหล้าอยู่คนเดียว ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองดื่มเหล้าไปแล้วเท่าไหร่
องค์หญิงจาวหยางไม่ค่อยเข้าใจอะไรนักในตอนแรก หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าเขารู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย ทำให้หัวใจของนางรู้สึกเต้นแรงขึ้นเพราะเขา
องค์หญิงจาวหยางถามเขา “ท่านมีเรื่องไม่สบายใจหรือ?”
เสียงภายในท้องพระโรงดังกึกก้อง และไม่มีใครได้ยิน
ฉินหรูเหลียงรู้สึกรำคาญนางมากและกล่าวอย่างเย็นชากับนาง “กระหม่อมไม่เป็นอะไร และไม่เกี่ยวอะไรกับพระองค์”
องค์หญิงจาวหยางเห็นว่านางไม่สามารถถามอะไรออกมาจากปากเขาได้ แต่นางก็ไม่ละความพยายาม หลังจากนั้นฉินหรูเหลียงดูเหมือนจะเมามากแล้ว นางจึงแอบเปลี่ยนเหล้าเป็นน้ำชา โดยเขาก็ไม่รู้เรื่อง