ฉินหรูเหลียงคิดว่าตัวเองนั้นได้พูดทุกอย่างออกมาอย่างชัดเจนแล้ว เมื่อตอนที่เขากำลังจะเดินจากไป จาวหยางก็ดึงชายเสื้อของเขาไว้แล้วพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อน”
ฉินหรูเหลียงพูดอย่างหมดความอดทนว่า“ท่านต้องการอะไรอีก?”
ใครจะคิดว่าทันทีที่สิ้นเสียงคำพูดนั้น จู่ๆจาวหยางก็เขย่งเท้าขึ้น ทำให้กลิ่นหอมสดชื่นของสาวน้อยนั้นลอยขึ้นปะทะที่หน้าเขา
เธอจูบไปที่ริมฝีปากบางของฉินหรูเหลียงด้วยท่าทางที่สะลึมสะลือ เป็นการจูบที่นุ่มนวลคล้ายกับแมลงปอที่โบยบินแตะอยู่บนผิวน้ำอย่างเบาๆ
ฉินหรูเหลียงนั้นตกตะลึงขึ้นมาทันที
จาวหยางกล่าว “ข้าจาวหยางไม่ใช่คนที่จะคอยตามตอแยท่านตลอดไป การจูบท่านเช่นนี้ ถือว่าเป็นสิทธิที่ข้าจะได้คืนจากการที่ท่านทำให้ข้าเป็นทุกข์ ต่อไปนี้ก็ถือว่าตลอดสองปีที่ผ่านมาข้าปฏิบัติต่อท่านเหมือนกับการเลี้ยงสุนัขที่ชื่นชอบไปหนึ่งตัวก็แล้วกัน ”
เมื่อพูดจบ เธอก็หันหลังเดินกลับไปทางโรงเตี๊ยมหลวง
ฉินหรูเหลียงรู้สึกไม่เข้าใจ เขาไม่เคยทำปฏิบัติตัวเกินเลยกับเธอเลย เรื่องทุกอย่างทั้งหมดนั้นเป็นเธอสิ่งที่คิดตัดสินใจอยู่ฝ่ายเดียว แล้วทำไมเธอยังต้องมาจูบเพื่อชดเชยด้วย?!
แต่นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่จะไม่ต้องเห็นเธอมาก่อกวนใจอีกต่อไป
หลังจากนั้นจาวหยางก็ไม่ได้คอยตามไปก่อกวนใจฉินหรูเหลียงในทุกๆที่เหมือนแต่ก่อนแล้ว เธอมักจะเข้ามาอยู่ในวังเป็นเพื่อนเล่นกับซูเซี่ยน แต่เธอนั้นก็กลับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว บางครั้งเธอก็เหม่อลอยขณะที่พบเจอกับซูเจ๋อและเฉินเสียน
ซูเจ๋อยื่นถ้วยชาร้อนที่อยู่ในมือให้กับจาวหยาง
จาวหยางใช้มือสองข้างถือถ้วยชานั้นเอาไว้ หมอบลงกับขอบหน้าต่างแล้วค่อยๆจิบชา
ซูเจ๋อเก็บรวบเสื้อขึ้นแล้วนั่งลงไปข้างๆเธอ ใช้นิ้วเคาะไปบนโต๊ะเพื่อเรียกให้เธอได้สติกลับมาพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า “ไม่กี่วันมานี้อยู่เที่ยวในฉู่จิงไม่มีความสุขหรือ?”
จาวหยางเอ่ยอย่างไม่ได้ใส่ใจว่า“มีความสุขสิ ข้ามีความสุขมากๆเลย”
ซูเจ๋อกระตุกคิ้ว แล้วก็เอ่ยขึ้นอีกว่า“ท่านแม่ทัพฉินทำให้ท่านน้อยใจหรือ?”
จาวหยางรู้สึกน้ำตาจะไหล ได้แต่เอามือคลำไปที่จมูกด้วยท่าท่างที่เฉยเมย แล้วพูดขึ้นว่า“เขาจะสามารถทำให้ข้าน้อยใจได้อย่างไร ท่านเห็นว่าข้าเป็นคนที่จะถูกคนอื่นทำให้น้อยใจหรืออย่างไร?”
ซูเจ๋อพยักหน้า พูดขึ้นอย่างอบอุ่นขึ้นว่า“มีผู้ชายบางคนก็เป็นเช่นนี้ ตอนที่มีไว้ในครอบครองก็ไม่เห็นคุณค่า แต่เมื่อสูญเสียไปก็เพิ่งจะมาเสียใจทีหลัง”
จาวหยางหันไปมองหน้าเขา พูดเสียงหลงขึ้นว่า“แล้วท่านเป็นเช่นนั้นหรือไม่?”
ซูเจ๋อกล่าว“ยังมีอีกประการหนึ่งก็คือการที่รู้ตัวเองว่าต้องการอะไรตั้งแต่ในตอนแรก และด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะไม่ได้ครอบครองแต่ยิ่งต้องรักษาทะนุถนอมมันเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าข้าเป็นอย่างประการที่สอง”
จาวหยางทำท่าเป็นทุกข์ แล้วเอ่ยขึ้นว่า“ถ้าเขาเหมือนกับท่านก็คงจะดี”
ซูเจ๋อพูดอย่างครุ่นคิดว่า“เรื่องของความรักความผูกพันธ์นั้นไม่ควรที่จะวิ่งไล่ตาม ท่านต้องถอยออกมาก่อนเพื่อที่จะได้ก้าวเข้าไปใกล้ รอวันที่เขาจะวิ่งตามท่าน แล้ววันนั้นเขาก็จะเป็นของท่านไปโดยปริยายและเขาจะไม่มีทางหายไปไหน”
เฉินเสียนปรากฏกายอยู่ด้านหลังของซูเจ๋อ พูดขึ้นมาทันทีว่า“โอ้?ถ้าเป็นตามอย่างที่ท่านพูด เมื่อก่อนท่านก็ถอยเพื่อที่จะก้าวเข้าใกล้ใช่หรือไม่?”
ซูเจ๋อเงียบไปอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันหลังกลับมา เอ่ยขึ้นอย่างจริงจังว่า“เรื่องราวเมื่อก่อนข้าจะไปจำได้อย่างไร ข้าความจำเสื่อมไปแล้ว”
จาวหยางลุกขึ้นอย่างเงียบๆเตรียมที่จะเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“ข้ามันหมาหัวเน่าเสียจริง ข้าไม่ควรที่จะอยู่เป็นกางขว้างคอของพวกท่าน”
ทั้งสองหันหน้ามองเข้าหากันที่หน้าต่าง แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างเงียบๆกันอยู่ครู่ใหญ่
เฉินเสียนก้าวเท้าเดินเข้าไปใกล้ ใช้สองมือกอดเอวของเอาไว้ ซุกใบหน้าให้แนบชิดกับเสื้อแล้วกอดเขาไว้เบาๆพร้อมเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า“ข้าปรับตำรับยาให้ท่านใหม่แล้ว ประเดี๋ยวค่อยนำไปให้หมอผีที่สำนักหมอหลวงดูว่ามันเหมาะสมหรือไม่”
เฉินเสียนหวนนึกขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า“เมื่อก่อนท่านก็เหมือนกับไม่รีบร้อนวิ่งตามข้าจริงๆ ท่านค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ทีละนิดๆนำตัวเองเข้ามาอยู่ในหัวใจของข้า แล้วทำให้ข้าต้องเป็นฝ่ายที่เดินตามท่านไป”
เขายิ้มบางแล้วเอ่ยว่า“เมื่อก่อนข้าเจ้าเล่ห์มากขนาดนั้นเลยรึ?”
“เจ้าเล่ห์ ช่วงเวลานั้นท่านเจ้าเล่ห์มาก ชอบยั่วยุให้คนโมโห ข้ามักจะถูกท่านตอกหน้าให้หงายจนไปต่อไม่เป็นกันเลยทีเดียว”
หมอผีย้ายเข้าไปอยู่ในสำนักหมอหลวงเพื่อที่จะได้ทำการรักษาสุขภาพร่างกายของซูเจ๋อได้สะดวกขึ้น และเมื่อเขาเข้าไปอยู่ในสำนักหมอหลวงก็ได้รู้จักกับฝูหลิง เด็กสาวผู้ที่มีทักษะเชี่ยวชาญทางการแพทย์
จากการที่ได้รู้จักกับฝูหลิงนั้น ก็ทำให้เขารู้ว่าปู่ของฝูหลิงนี่เองที่เป็นคนสอนวิชาการแพทย์ทั้งหมดให้กับเฉินเสียน เดิมทีหมอผีนั้นต้องการที่จะหาเพื่อนร่วมสายอาชีพเดียวกันอยู่แล้ว เขาจึงปรารถนาที่จะไปคำนับกับปู่ของฝูหลิงสักครั้งหนึ่ง
ดังนั้นฝูหลิงจึงใช้ช่วงเวลาวันหยุดปลายปี พาหมอผีไปยังที่กระท่อมยาบ้านของตัวเอง ผู้เฒ่าทั้งสองต่างก็รู้สึกได้ว่าพวกเขานั้นพบเจอกันช้าไป
หมอผีไม่อยากที่จะอยู่ในสำนักหมอหลวงต่อไปแล้ว เขาอยากจะไปสร้างกระท่อมยาอยู่ข้างๆบ้านปู่ของฝูหลิง เพื่อที่ผู้เฒ่าทั้งสองคนจะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้ในทุกๆวัน
ดังนั้นเฉินเสียนจึงต้องนำใบสั่งยาที่ปรับเปลี่ยนแล้วไปส่งให้กับหมอผีที่นั่น เมื่อหมอผีดูแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะต้องแก้ เพียงแต่เมื่อกินยาตำรับนี้ไปจนถึงช่วงหนึ่งก็ต้องค่อยมาปรับเปลี่ยนตำรับยาใหม่อีกครั้งก็พอแล้ว
ถึงหมอผีอยู่ในวังก็ไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องทำ เขาจึงอยากจะย้ายออกไปอาศัยอยู่นอกวัง เฉินเสียนได้รับปากกับหมอผีที่จะสร้างกระท่อมยาให้กับเขา ในวันถัดไปจึงส่งคนไปสร้างกระท่อมยาให้เขาได้อยู่ข้างๆบ้านปู่ของฝูหลิงใหม่อีกหนึ่งหลัง
หลังจากปีใหม่ผ่านไปไม่นาน มีอยู่วันหนึ่งอวี้เยี่ยนก็วิ่งกลับมายังวัง เพียงได้เห็นหน้าเฉินเสียนและแม่นมซุย ก็รีบวิ่งโผเข้าไปกอดทั้งสองคนเอาไว้แล้วร้องไห้ออกมาโดยที่ไม่พูดอะไร
ตอนนี้อวี้เยี่ยนอาศัยอยู่ในจวนของเฮ่อโยว
อวี้เยี่ยนปิดปากไม่เอ่ยถึงเรื่องการกลับเข้าวัง เฮ่อโยวก็ปิดปากไม่เอ่ยเรื่องสู่ขอเธอแต่งงาน
หลังจากร้องไห้เสร็จแล้ว อวี้เยี่ยนก็สะอึกสะอึ้นเช็ดน้ำตาแล้วฝืนยิ้มออกมา พร้อมกับพูดขึ้นว่า“ฝ่าบาท เอ้อร์เหนียง ในที่สุดข้าก็จะได้กลับมาอยู่กับพวกท่านแล้ว”
เฉินเสียนถาม“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
อวี้เยี่ยนกล่าว“ตอนแรกที่ฝ่าบาทสงสัยในตัวเฮ่อโยวคิดว่าเขาไม่จงรักภักดีต่อฝ่าบาท สองปีที่บ่าวคอยจับจ้องดูเขาอย่างใกล้ชิด ขอให้ฝ่าบาทวางใจได้ เขาไม่มีจิตใจที่ไม่ซื่อสัตย์ และบ่าวคิดว่าหน้าที่ของบ่าวเสร็จสมบูรณ์แล้ว สามารถจะกลับมาได้แล้วใช่หรือไม่เพคะ?”
“เจ้าไม่ได้คิดจะอยู่กับเขาหรือ?”เฉินเสียนเลิกคิ้วแล้วเอ่ยว่า “อันที่จริงแล้วตอนแรกที่ข้าส่งเจ้าไปที่นั่น ก็เพราะข้ามีเจตนาที่จะจับคู่ให้กับพวกเจ้า”
เมื่อคำพูดนั้นออกมา อวี้เยี่ยนที่เพิ่งจะหยุดร้องไห้ไปก็มีท่าทีคล้ายกับน้ำตาจะแตกอีกครั้ง นางกัดริมฝีปากแน่นแต่ในที่สุดก็กลั้นเอาไว้ไม่อยู่แล้วจึงปล่อยโฮร้องไห้ออกมา
“ไม่มีประโยชน์หรอกเพคะ ไม่ว่าบ่าวจะพยายามแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์……”อวี้เยี่ยนสะอื้นพร้อมพูดออกมาอย่างคลุมเครือว่า“เขาไม่ได้ชื่นชอบบ่าว บ่าวรู้ว่าในใจของเขามีเพียงแค่ชิงซิ่งคนเดียวเท่านั้น เขาชื่นชอบชิงซิ่งคนนั้นมาโดยตลอด……”
เฉินเสียนพูดปลอบเธออย่างอดทนว่า“ไม่แน่ว่าในใจของเฮ่อโยวอาจจะรู้สึกผิดกับนางเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นอยู่ก็เป็นได้ เจ้าอ่อนไหวเกินหรือเปล่า?”
อวี้เยี่ยนพูดอย่างท้อแท้หมดกำลังใจว่า“บ่าวจะไปเทียบกับคนที่ตายไปนานแล้วว่าใครกันที่เป็นคนสำคัญในใจของเขาได้อย่างไร นั่นไม่ได้เป็นการดูถูกตัวเองเกินไปแล้วหรือ……แต่บ่าวนั้นคงจะทำไม่ได้ ถ้าเกิดว่าเขาไปสู่ขอแม่หญิงคนอื่นก็คงจะดีแล้ว บ่าวรู้ว่าบ่าวไม่เทียบเท่ากับพวกนาง แต่เมื่อเขาไม่แต่งงานและเขายังปฏิบัติดีกับบ่าวเช่นนี้ เขาคงเพียงเห็นเงาของชิงซิ่งบนตัวบ่าวก็เท่านั้นเอง……”
เฉินเสียนถอนหายใน แล้วพูดว่า“สรุปแล้วเจ้านำไปสู่เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน?วันนี้ที่เจ้าวิ่งกลับมาวังก็เพราะเรื่องนี้รึ?”
อวี้เยี่ยนปาดน้ำตาอย่างเงียบๆ พูดอย่างน่าสงสารว่า“เขาชอบดื่มแต่เหล้าชิงซิ่งมาโดยตลอด เขาใช้เหล้าเพื่อรำลึกถึงคนที่ตายไปแล้วในอดีต ข้ารู้สึกไม่สบายใจข้าเลยนำเหล้าชิงซิ่งที่อยู่ในห้องใต้ดินทั้งหมดไปให้กับคนอื่น เป็นผลทำให้เขาโกรธข้าแล้วพวกเราก็เลยทะเลาะกัน”
เฉินเสียนครุ่นคิด แล้วก็พูดขึ้นอย่างจริงจังว่า“เขานั้นไม่ควรที่จะดื่มเหล้าชิงซิ่งจริงๆนั่นแหละ แต่บางทีเขาก็ควรจะได้ดื่มเหล้าหลากหลายรสชาติสักหน่อย”
อวี้เยี่ยนชำเลืองมองเธอแล้วเอ่ยว่า“แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังรังแกบ่าว……บ่าวเป็นคนที่ชอบสร้างปัญหามากเลยหรือเพคะ?แต่บ่าวก็ไม่เห็นว่าในใจของเขาจะมีใคร……”
อวี้เยี่ยนกลับมาถึงวังได้ไม่นาน ก็มีนางกำนัลด้านนอกเข้ามารายงานว่า“ฝ่าบาท ใต้เท้าเฮ่อฝ่ายพิธีการมาขอเข้าเฝ้าเพคะ”
เฉินเสียนยิ้มหัวเราะให้กับอวี้เยี่ยนพร้อมเอ่ยว่า“เจ้าดูสิ เขามาตามเจ้าแล้วล่ะ?”
อวี้เยี่ยนเบิกตาโต เธอมีท่าทีที่แข็งทื่ออย่างน่ารัก เฉินเสียนจึงดึงแขนเสื้อของเธอให้ลุกขึ้นเดินไปทางด้านนอกพร้อมกับเอ่ยว่า“เจ้าไม่ต้องกลัว ถ้าเขากล้ารังแกเจ้า ข้าจะเป็นคนไปจัดการกับเขาเอง”
อวี้เยี่ยนจึงพูดขึ้นอย่างรีบร้อนอยู่ด้านหลังว่า“ฝ่าบาทอย่าได้ทำอะไรกับเขารุนแรงมากเกินไปนะเพคะ……”
เฉินเสียนหรี่ตาลงแล้วหัวเราะ “นี่ขนาดเจ้ายังไม่ทันจะแต่งกับเขา เจ้าก็ออกหน้าพูดแทนเขาแล้วรึ?”
ด้านนอก เฮ่อโยวที่อยู่ในชุดเครื่องแบบขุนนางอย่างเป็นเรียบร้อย รูปร่างหน้าตาหล่ออย่างเทพบุตร เมื่อเขาได้เห็นเฉินเสียนก็เริ่มวางตัวไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะเขารู้สึกไม่สบายใจที่จะมารบกวนเธอเรื่องเหล่านี้
เฉินเสียนพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมว่า“นี่ยังไม่ถึงเวลาราชการเลย ใต้เท้าเฮ่อไม่ได้นอนพักผ่อนอยู่ที่จวนหรอกรึ เข้ามาทำอะไรที่วัง”
เฮ่อโยวเอามือสัมผัสไปที่จมูก เขินยิ้มออกมาแล้วเอ่ยว่า“เอิ่ม……อวี้เยี่ยนนางอยู่กับฝ่าบาทหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียนทำสีหน้าไม่รู้เรื่องอะไรแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “นางไม่ได้อยู่กับเจ้าหรือ?ทำไม เจ้าทำนางหายไปรึ?”
สีหน้าของเฮ่อโยวเปลี่ยนไป“นางไม่ได้เข้ามาในวังหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียนยังไม่ทันจะตอบกลับ เฮ่อโยวก็รีบร้อนหันหลังทูลลาเตรียมเดินออกไป มองออกว่าเขานั้นรีบร้อนอย่างมากเพราะคิดว่าอวี้เยี่ยนหายตัวไปจริงๆ
ถ้าไม่ได้เข้าวัง ที่จวนก็ไม่ได้อยู่ นางไปไหนกันแน่?หรือว่านางจะเจอคนไม่ดี……
เฮ่อโยวไม่กล้าที่จะคิดต่อไปว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“เดี๋ยวก่อน”เฉินเสียนเรียกเขาให้หยุดเดิน
เขาหันหลังกลับมาน้อมคำนับแล้วเอ่ยว่า“ฝ่าบาทมีเรื่องอะไรจะรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียนถามเขา“ข้าให้อวี้เยี่ยนไปอยู่ที่จวนเจ้าเป็นเวลาสองปีแล้วนะ เจ้าตั้งใจจะสู่ของนางเมื่อไรกันรึ?ถ้าเกิดว่าพวกเจ้าสองคนไม่ได้มีความรักความผูกพันธ์ต่อกัน ก็ไม่จำเป็นต้องรั้งนางเอาไว้ ข้าก็จะไปหาลูกเขยดีๆสักคนให้แก่นางเอง”
เฮ่อโยวตั้งสติแล้วลองเอ่ยถามขึ้นว่า“นางอยู่กับฝ่าบาทใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียนเลิกคิ้วพร้อมกับเอ่ยว่า“ได้ยินมาว่าเจ้าชอบดื่มเหล้าชิงซิ่งมากเลยรึ?”
เฮ่อโยวฝืนยิ้ม“ข้าไม่ได้โกรธเคืองอะไรนาง เป็นนางเองที่ไม่ยอมปล่อยวาง แล้ววิ่งร้องไห้หนีออกไปจากจวน เวลานั้นข้ารู้สึกกลัดกลุ่มใจอยู่จึงวิ่งออกมาตามนางช้าไป”
เฉินเสียนนำมือไพล่หลัง แล้วก้าวเดินไปยังพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะพร้อมกับเอ่ยอย่างเฉยชาว่า“ในใจของเจ้า ชิงซิ่งนั้นคงจะสำคัญมากเลยใช่หรือไม่?ถ้าเกิดว่านางสำคัญมาก เจ้าก็ควรจะปล่อยอวี้เยี่ยนไป ข้าจะไม่ฝืนใจของเจ้า”
เฮ่อโยวกล่าว“นั่นมันเป็นเรื่องที่ผ่านไปนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่า ผู้หญิงที่ชื่นชอบผู้ชายคนคนหนึ่งนั้น เธอไม่อยากที่จะให้เขามีอะไรเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนอื่นเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วการที่เจ้าชอบดื่มเหล้าที่มีชื่อเดียวกับผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้เช่นกัน”
เฮ่อโยวใช้ความคิด แล้วพูดอย่างจริงจังว่า“เรื่องชิงซิ่งข้าอาจจะไม่มีทางลืมได้ แต่ข้าก็ได้ปล่อยวางลงไปนานแล้ว และข้าก็รู้ว่าคนที่ข้าควรจะรักทะนุถนอมนั่นก็คือคนที่อยู่ข้างกายของข้าเอง”
เฉินเสียนเม้มปากแล้วเอ่ยว่า“ดีมาก”
เมื่อสิ้นคำพูดนั้น เฮ่อโยวก็ยกชายเสื้อขึ้นแล้วนั่งคุกเข่าลงไปที่พื้นพร้อมกับเอ่ยว่า“อวี้เยี่ยนคือคนของฝ่าบาท ไม่ว่าจะอย่างไรกระหม่อมขอวิงวอนฝ่าบาทโปรดประทานอนุญาตยกนางให้แต่งงานกับกระหม่อม กระหม่อมจะดูแลเธอให้ดีไปตลอดชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้เยี่ยนรู้สึกไม่สบายใจ ดวงตาที่แดงก่ำนั้นคอยชำเลืองมองออกไปผ่านช่องประตูอยู่ตลอดเวลา
เห็นเฮ่อโยวนั่งลงไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะในระยะไกล พูดคุยอะไรกันนั้นเธอก็ไม่ได้ยิน
เธอเพียงเห็นแค่เฉินเสียนโบกมือให้กับเฮ่อโยว เฮ่อโยวจึงลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก แล้วรีบหันหลังเดินกลับออกไป
อวี้เยี่ยนกระทืบเท้าด้วยความโกรธ เธอนั้นเป็นห่วงเฮ่อโยวว่าเข่าของเขาจะได้รับบาดเจ็บจากการที่นั่งลงไปบนพื้นหิมะที่เย็นยะเยือก แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้วยังรีบลุกออกไปอย่างมีความสุข!
เขาคงปรารถนาที่ต่อไปนี้จะไม่ต้องให้เธอไปยุ่งวุ่นวายกับเขาอีกแล้วสินะ
เมื่อเฉินเสียนกลับมา อวี้เยี่ยนก็ทำท่าจะร้องไห้อีกครั้ง พูดด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า“เขาไปแล้วหรือเพคะ?”
“อืม เขาไปแล้ว หรือว่าเจ้าอยากจะให้ข้าชวนเขาอยู่กินข้าวด้วยกันล่ะ?”
อวี้เยี่ยนกล่าว“ทำไมเขาถึงเป็นเช่นนี้?ฝ่าบาทว่ากล่าวเขาไปแล้ว ทำไมเขายังจะรีบกลับไปอีก……ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ข้าเป็นคนผิด เป็นข้าเองที่ใจแคบเกินไป……”
เฉินเสียนกล่าว“ปวดใจรึ?เฮ่อโยวเขาเป็นคนดีมากนะ ถ้าเกิดเจ้ามีโอกาสอีกครั้ง เจ้าก็ควรจะรักษาทะนุถนอมเขาไว้ให้ดี”