“สวรรค์! ลำแสงหลากสีนั่นมัน…อุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นพิภพ!”
ใครบางคนอุทานออกไป น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตกใจอย่างที่สุด
“ปรมาจารย์หวังซั่วนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เขาหลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นพิภพออกมาได้สำเร็จ ไม่แปลกใจเลยที่เขาเป็นช่างหลอมอันดับต้นๆในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้!”
อีกคนกล่าวเสริมอย่างเห็นพ้องด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเคารพเทิดทูนยิ่งกว่า
ถึงอย่างไรแล้วในฐานะช่างหลอม เขาย่อมชื่นชมช่างหลอมที่อยู่ในระดับสูงกว่า ถึงแม้ว่าหวังซั่วจะไม่ได้มีบุคลิกนิสัยที่ดีนัก ทว่าก็ไม่สามารถมองข้ามทักษะการหลอมของเขาได้เลย
เมื่อหวังซั่วได้ยินบทสนทนาเอ่ยชมตนเอง เขาก็กระตุกมุมปากยกยิ้มอย่างวางท่า
ก่อนหน้านี้เขาเคยหลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นพิภพได้สำเร็จมาแล้วและครานี้ที่ทำได้อีกครั้ง ตัวเขาจึงไม่ได้ตื่นเต้นเป็นพิเศษ ทว่าสำหรับคนที่ทะนงตนเป็นทุนเดิมอย่างเขา แน่นอนว่าเขาย่อมยิ้มแก้มปริด้วยความสุขเมื่อได้ยินคำชมและได้รับสายตาเคารพยกย่องจากทุกคน
อย่างไรก็ตาม ความสุขมักคงอยู่ไม่นาน ในขณะที่เขากำลังเพลิดเพลินกับความรู้สึกนั้นอยู่ เสียงอุทานก็ดังแทรกขึ้นมาอีกครั้ง
“ปรมาจารย์เฟิงเสวี่ยเฉินก็หลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นพิภพได้เช่นกัน!”
รอบๆเตาหลอมของเฟิงเสวี่ยเฉินส่องลำแสงหลากสีออกมาเช่นกันซึ่งเป็นตัวบ่งบอกถึงกระบวนการหลอมของอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นพิภพ
“ปรมาจารย์เฟิงเสวี่ยเฉินก็ไม่ธรรมดาเลย หากเขาสามารถหลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นพิภพได้ก็หมายความว่าฝีมือของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าปรมาจารย์หวังซั่วนัก ทว่าด้วยอายุของเขาที่น้อยกว่าหวังซั่วมาก อีกไม่นานปรมาจารย์เฟิงเสวี่ยนเฉินก็คงจะก้าวผ่านปรมาจารย์หวังซั่วไปได้”
วาจาของคนผู้นั้นทำให้ใบหน้าของหวังซั่วแข็งทื่อไปเล็กน้อย
คนผู้นี้กล่าวถูกต้องแล้ว หวังซั่วมีอายุมากกว่าเฟิงเสวี่ยเฉินหลายสิบปีทว่าบัดนี้บุคคลที่เยาว์วัยกว่ากลับหลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นพิภพได้แล้ว อีกไม่นาน เฟิงเสวี่ยเฉินก็จะเหนือชั้นกว่าตัวเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เขาอดหันไปมองเฟิงเสวี่ยเฉินไม่ได้และพบว่าสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายยังไม่เปลี่ยนแปลง เฟิงเสวี่ยเฉินยังคงหลอมอุปกรณ์ตรงหน้าให้สำเร็จด้วยสมาธิแน่วแน่และไม่ว่อกแว่ก
หวังซั่วส่ายศีรษะอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนหันมองไปที่กู่หยวนอีกครั้ง
ทันทีที่สายตาของเข้าเลื่อนไป เขาก็พบว่าเตาหลอมของกู่หยวนเปล่งลำแสงหลากสีออกมาเช่นกัน
“ปรมาจารย์กู่หยวนก็หลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นพิภพเช่นกัน!”
สิ่งหลอมอีกชิ้นหนึ่งเสร็จสมบูรณ์และบรรดาผู้ชมต่างก็ชะงักค้างและพูดไม่ออก
ถึงแม้พวกเขาจะทราบดีว่าปรมาจารย์ทั้งสามต่างก็เป็นช่างหลอมอันดับต้นๆของดินแดนนี้ ทว่าบรรดาผู้ชมก็ยังตกตะลึงเมื่อได้เห็นผลงานเป็นอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นพิภพถึงสามชิ้น
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น จู่ๆเตาหลอมของกู่หยวนก็หมุนตัวอย่างรวดเร็ว
ภายในชั่วครู่เดียว ลำแสงหลากสีที่ห้อมล้อมเตาหลอมของเขาในตอนแรกก็ดับวูบไปอย่างไร้ร่องรอยทิ้งไว้เพียงแสงสีขาวปกคลุมรอบเตาหลอม
“นี่มัน….”
เมื่อเห็นแสงสีขาวปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ใครคนหนึ่งก็ชะงักค้างอย่างตกตะลึง
“เจ็ดสีรวมเป็นหนึ่งเดียว นี่มันอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสุริยะ!
ช่างหลอมคนหนึ่งโพล่งออกไปและทุกอย่างตกอยู่ท่ามกลางความเงียบทันที
‘แสงเจ็ดสีรวมเป็นหนึ่งเดียว’ คือสัญญาณการถือกำเนิดของอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสุริยะ กู่หยวนผู้นี้หลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสุริยะได้สำเร็จซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวและเพียงพอจะสะท้านทั้งดินแดน
ต้องทราบด้วยว่าแม้แต่ในสมาคมช่างหลอมซึ่งเป็นศูนย์รวมของการหลอมอุปกรณ์ มีเพียงน้อยคนนักที่สามารถหลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสุริยะได้ ไม่คิดเลยว่าช่างหลอมอิสระอย่างกู่หยวนจะทำได้สำเร็จท่ามกลางผู้คนมากมายที่เป็นสักขีพยาน
“ศาสตร์การหลอมของเขาพัฒนาขึ้นมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ อีกไม่นาน ข้าคิดว่าเขาก็คงจะก้าวผ่านข้าไป”
เยว่ชิงส่ายศีรษะและกล่าวอย่างอดไม่ได้
แม้ว่าทักษะการหลอมของกู่หยวนจะไม่เกินความคาดหมายมากนัก แค่เขาก็ยังตกตะลึงไม่น้อยเมื่อได้เห็นผลงานจริงๆ
“ฮ่าๆๆ ถ้าหากเขาแข่งขันชิงตำแหน่งประธานสมาคมช่างหลอมกับท่าน เกรงกว่าท่านอาจไม่ได้กลายเป็นประธานสมาคมอย่างในทุกวันนี้ ช่างน่าเสียดายจริงๆที่เขารักความเป็นอิสระไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด”
เย่าเหยียนยิ้มน้อยๆและกล่าวในสิ่งที่ไม่มีใครรู้ออกมา
แรกเริ่มเดิมที กู่หยวนก็เป็นสมาชิกของสมาคมช่างหลอมเช่นกันและเป็นเหมือนพี่น้องร่วมสาบานกับเยว่ชิง ในตอนนั้นทั้งสองมีโอกาสได้ขึ้นเป็นประธานสมาคมช่างหลอมแห่งนี้ ทว่ากู่หยวนเต็มใจสละสิทธิ์นั้นก่อนออกเดินทางท่องยุทธภพและกลายเป็นช่างหลอมอิสระ
อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงเกียรติคุณของเขาในสมาคมช่างหลอมก็ยังไม่ได้ลดน้อยลงเลย แม้แต่ตอนนี้เขาก็เป็นรองเพียงแค่เยว่ชิงเท่านั้น
“ไม่รู้ว่าคุณสมบัติของอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสุริยะของเขาจะเป็นอย่างไร อุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสุริยะหลายชิ้นที่ข้าเคยหลอมก่อนหน้านี้มีคุณสมบัติที่ไม่ดีนักและพวกมันไม่ดีเท่ากับอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นพิภพบางชิ้นด้วยซ้ำ”
เยว่ชิงนึกย้อนไปถึงอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสุริยะหลายชิ้นที่เขาเคยหลอมได้สำเร็จและอดถอนหายใจอย่างปลงตกไม่ได้
แม้ว่าระดับของสิ่งเหล่านั้นสูงพอสมควร คุณสมบัติของพวกมันก็ไม่ดีพอและด้อยกว่าคุณสมบัติของอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นพิภพบางชิ้นที่เขาเคยหลอมเสียอีก
“พวกเราจะได้รู้ในอีกไม่นาน”
เย่าเหยียนยิ้มน้อยๆขณะหันมองไปในทิศทางของฉินอวี้โม่อีกครั้ง
เมื่อเปรียบเทียบกันในหมู่ยอดฝีมือทั้งหมด ‘อวี๋โม่’ เป็นบุคคลที่ทำให้เขาสงสัยใคร่รู้มากที่สุด
ทางฝั่งของฉินอวี้โม่ ลำแสงหลายสีก็เปล่งประกายออกมาเช่นกัน
“อุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูงห้าสี! ไม่เลวเลยจริงๆ”
เมื่อเห็นแสงห้าสีส่องประกายออกมา เย่าเหยียนก็พยักศีรษะอย่างสุขใจ
ด้วยทักษะการหลอมของฉินอวี้โม่ การที่สามารถหลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูงห้าสีออกมาถือว่าเหนือระดับของตนเองแล้ว สภาวะฟ้าคนเป็นหนึ่งเดียวก่อนหน้านี้ช่วยนางได้พอสมควร ไม่เช่นนั้นมันก็ยากที่ช่างหลอมระดับเชี่ยวชาญจะหลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูงได้ใกล้เคียงขั้นพิภพมากถึงเพียงนี้
เยว่ชิงเองก็มองไปทางฉินอวี้โม่เช่นกันทว่าเขาไม่ได้แปลกใจมากนัก เขาคิดมาตลอดว่าผลงานของนางจะต้องไม่ธรรมดา
“ฮ่าๆๆ มันก็แค่อุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูง”
หวังซั่วฟื้นสติจากเสียงอุทานให้กับผลงานของกู่หยวนเมื่อครู่และเขาคลายกังวลมากเมื่อเห็นว่าผลงานจากเตาหลอมของฉินอวี้โม่เป็นเพียงอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูง
หากว่าฉินอวี้โม่หลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นพิภพได้จริงๆ มันก็คงจะมากเกินกว่าที่เขาจะรับได้ ทว่าในเมื่อมันเป็นแค่อุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูง เขาก็ไม่สะทกสะท้านใดๆ
แม้ว่าเขาพ่ายแพ้ต่อกู่หยวน เขาก็ยังดีใจที่ไม่ต้องแพ้เด็กเมื่อวานซืนอย่าง ‘อวี๋โม่’
“อุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูงห้าสี พรสวรรค์ของเด็กหนุ่มคนนี้ช่างน่าหวาดหวั่นโดยแท้!”
คนอื่นๆก็สังเกตเห็นสถานการณ์ของฉินอวี้โม่และบางคนอดถอนหายใจด้วยความตกตะลึงในความสามารถของนางไม่ได้
การที่สามารถหลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูงและเข้าสู่สภาวะฟ้าคนเป็นหนึ่งเดียว อีกทั้งยังครอบครองเพลิงจักรพรรดิอีกนั้น ไม่มีใครคลางแคลงใจในพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน แม้ว่าสิ่งหลอมที่ได้มาจะเป็นเพียงอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูง ทุกคนก็เชื่อว่าอีกไม่นานนางจะกลายเป็นยอดฝีมือช่างหลอมอันดับต้นๆได้เป็นแน่
“ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขาหลอมอะไรออกมา”
บางคนยังคงจับจ้องที่ฉินอวี้โม่อย่างสงสัยใคร่รู้และพยายามมองผลงานสิ่งหลอมของนาง
“พี่อวี๋โม่เก่งที่สุดเลย!”
ซูเสี่ยวจวิ้นมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาชื่นชมเทิดทูน แววตาของนางเป็นประกายสุกใสราวกับคนเสียสติก็มิปาน
“เจ้าเด็กน้อย เบาเสียงลงหน่อย”
ฉีอวิ๋นเหล่ยอดเคาะศีรษะเด็กสาวผู้ร่าเริงไม่ได้ ทว่ามุมปากของเขาก็ประดับไปด้วยรอยยิ้มมีความสุขเช่นกัน เขาเองก็ประหลาดใจที่ฉินอวี้โม่หลอมอุปกรณ์ระดับนี้ออกมาได้
“เขาเป็นสัตว์ประหลาดในหมู่มนุษย์ชัดๆ!”
ฉีป่ายเฉายิ้มพลางกล่าว
แม้ว่าเหวินซื่อชู่ไม่แสดงสีหน้าความรู้สึกใดๆ รอยยิ้มที่พบเห็นได้ยากยิ่งก็ค่อยๆปรากฏบนมุมปากของเขา
เมื่อเวลาผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป ทั้งสี่คนก็หยุดการเคลื่อนไหวของตนเองซึ่งหมายความว่ากระบวนการหล่อหลอมของทั้งสี่เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ฮู้~”
ฉินอวี้โม่เหยียดกายลุกขึ้นด้วยความพึงพอใจ
คฤหาสน์หลังน้อยของนางถูกหลอมขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ แม้ว่านางยังไม่เห็นคุณสมบัติพิเศษของมัน ทว่านางก็พึงพอใจกับผลงานของตนเองอย่างที่สุด นางเชื่อว่าคฤหาสน์นี้ดีกว่าที่คิดไว้ในตอนแรกเสียอีก
นี่คือคฤหาสน์เฟิงหัว!
“มันก็แค่อุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูง มีอะไรให้ภาคภูมิใจกัน เฮอะ ถึงแม้ข้าจะแพ้กู่หยวน การเอาชนะเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
หวังซั่วชำเลืองมองฉินอวี้โม่พลางกล่าวเย้ยก่อนปรากฏตัวข้างหน้าหลัวหลินอย่างรวดเร็ว
“เจ้าหนู เจ้าฝีมือดีมาก หมั่นฝึกฝนต่อไปล่ะ”
ร่างของเฟิงเสวี่ยเฉินกะพริบเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อยและตบไหล่ฉินอวี้โม่เบาๆ
“เด็กหนุ่มผู้นี้ช่างแกร่งกล้าสามารถจนน่าหวาดหวั่นจริงๆ อีกไม่นานเขาคงเหนือกว่าพวกเราทั้งหมด”
กู่หยวนเองก็กะพริบตรงเข้าไปหาฉินอวี้โม่เช่นกัน เขามองนางครู่หนึ่งและจู่ๆก็เอ่ยต่อ “พ่อหนุ่ม เจ้ามีอาจารย์รึไม่?”
เฟิงเสวี่ยเฉินที่ยืนอยู่ก่อนถึงกับชะงักไปชั่วขณะเมื่อได้วาจาของกู่หยวน
“ปรมาจารย์กู่หยวน ท่านไม่เคยรับใครเป็นศิษย์ไม่ใช่รึ?”
เฟิงเสวี่ยเฉินกล่าวด้วยความฉงน เขาจำได้ว่ากู่หยวนมีลักษณะนิสัยที่แปลกประหลาดและไม่เคยรับผู้ใดเป็นศิษย์มาก่อน
“นั่นมันเมื่อก่อน บางสิ่งบางอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงได้ เด็กหนุ่มคนนี้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นยิ่งนัก ถ้าหากมีศิษย์แบบนี้ ข้าเชื่อว่าสักวันเขาจะได้กลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆในหมู่ช่างหลอมของดินแดนแห่งนี้อย่างแน่นอน”
กู่หยวนไม่ปิดบังเจตนาแม้แต่น้อย เขาแสดงออกถึงความชื่นชมและความรู้สึกถูกชะตากับฉินอวี้โม่อย่างเปิดเผย
เขาไม่เคยมีความคิดเช่นนี้มาก่อน ทว่าเมื่อได้เห็นความสามารถของ ‘บุรุษหนุ่มลึกลับภายใต้หน้ากาก’ คนนี้ จู่ๆเขาก็เกิดอยากรับศิษย์ขึ้นมา พรสวรรค์ของฉินอวี้โม่โดดเด่นอย่างมากและมีทักษะการหลอมที่ดีมาก หากแต่มันก็ยังไม่เพียงพอ
หากว่าเขาได้สอนวิชาความรู้ด้านการหลอมอุปกรณ์และถ่ายทอดประสบการณ์ทั้งหมดที่สั่งสมมานานหลายร้อยปีให้กับอีกฝ่าย กู่หยวนเชื่อว่าฉินอวี้โม่จะเจิดจรัสรุ่งเรืองจนเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในดินแดนได้อย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินวาจาของกู่หยวน ฉินอวี้โม่เองก็ชะงักไปเช่นกัน ยอดฝีมือตรงหน้าเสนออย่างโน้มน้าวใจและนางก็เคารพเขามากเช่นกัน
เพียงแต่ว่านางมีอาจารย์อยู่แล้วตั้งแต่ตอนที่เริ่มศึกษาศาสตร์การหลอมอาวุธ
“ขออภัยด้วยขอรับ ข้ามีอาจารย์อยู่แล้ว”
ฉินอวี้โม่เอ่ยปากกล่าวปฏิเสธอีกฝ่ายโดยตรง
แม้ว่าฝีมือด้านการหลอมของผู้เป็นอาจารย์อาจจะไม่ดีเท่านาง เขาก็เป็นอาจารย์และจะเป็นอาจารย์ของนางไปตลอดชีวิต ในเมื่อมีอาจารย์อยู่แล้ว นางก็ไม่มีความคิดที่จะมองหาอาจารย์คนใหม่
“ข้าคิดไม่ผิดจริงๆ”
กู่หยวนพยักศีรษะอย่างไม่แปลกใจและกล่าวต่อ “ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นอาจารย์และศิษย์กัน เจ้าก็ยังสามารถเรียนรู้จากข้าได้ ในอนาคตหากเจ้ามีอะไรไม่เข้าใจหรือสงสัยเกี่ยวกับศาสตร์การหลอม เจ้าก็ถามข้าได้ ข้าจะไม่ปิดบังอะไรและจะบอกทุกอย่างที่ข้ารู้”
จะว่าไปแล้ว กู่หยวนและเยว่ชิงก็มีลักษณะนิสัยที่เหมือนกันอย่างแท้จริง ทั้งสองรักและหลงใหลในศาสตร์การหลอมอุปกรณ์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร พวกเขาก็มักผลักดันและมุ่งเน้นไปกับทักษะการหลอมและยังต้องการถ่ายทอดให้กับเด็กรุ่นใหม่
“ขอบคุณท่านปรมาจารย์กู่หยวนมากขอรับ ข้าจะจำไว้ไม่มีวันลืม”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและตอบตกลงโดยไม่ลังเล
“ไปกันเถอะ ข้าอยากจะรู้นักว่าพวกเจ้าหลอมอะไรออกมา”
กู่หยวนยิ้มน้อยๆและกล่าวเพื่อให้ฉินอวี้โม่และเฟิงเสวี่ยเฉินไปหาหลัวหลินพร้อมกัน
“พวกเราก็อยากรู้ว่าอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสุริยะของปรมาจารย์กู่หยวนจะเป็นอย่างไร”
เฟิงเสวี่ยหัวเราะเบาๆและมองฉินอวี้โม่ จากนั้นทั้งสามก็ปรากฏตัวตรงหน้าผู้อาวุโสหลัวหลิน
บัดนี้หวังซั่วหยิบอาวุธของเขาออกมาแล้วและหลัวหลินก็เริ่มบันทึกข้อมูลของมัน
เมื่อหวังซั่ววางมือลงบนก้อนแสงเพื่อทดสอบอายุ ฉินอวี้โม่ก็ได้พบกับสิ่งที่คาดไม่ถึงเลย นั่นก็คือหวังซั่วผู้หยิ่งยโสนี้มีอายุเกือบสองร้อยปี
หลังจากหวังซั่วลงทะเบียนเสร็จสิ้น เขาก็ชำเลืองมองฉินอวี้โม่อย่างเป็นปฏิปักษ์ก่อนเดินจากไป
ฉินอวี้โม่ กู่หยวนและเฟิงเสวี่ยเฉินหยิบสิ่งหลอมของตนเองออกมาพร้อมเดินเข้าไปหาหลัวหลินและเริ่มบันทึกข้อมูล
คนแรกที่ส่งผลงานคือเฟิงเสวี่ยเฉินผู้หลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นพิภพ
.