บทที่ 171 บทเรียนการบรรลุขอบเขตสวรรค์
ในขณะนี้หลิงตู้ฉิงกำลังคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
เขาสัมผัสได้ว่าในช่วงเวลาที่เข้ามีสัมพันธ์กับจ้าวเหมิงลู่ มันมีการหมุนเวียนของเต๋าแห่งหยินและหยาง นอกจากนี้เขายังรู้สึกถึงการปะทุของอารมณ์ ดังนั้นเขาจึงรวบรวมความรู้ของเขาเกี่ยวกับเต๋าแห่งหยินและหยางและเริ่มสร้างวิชาอื่นขึ้นมาใหม่
หลังจากที่เขาสร้างมันขึ้นมาได้สำเร็จ เขาจึงตั้งชื่อมันว่า หยินหยางประสาน
หลังจากนั้นเขาก็ไปหาจ้าวเหมิงลู่ทันทีและพูดว่า “เหมิงลู่ มาให้ข้าสอนวิชาใหม่ให้เจ้าที่ข้าพึ่งคิดออก วิชานี้เรียกว่าหยินหยางประสาน! วิชานี้ได้ผลมากเมื่อใช้การบ่มเพาะแบบคู่ หลังจากที่เจ้าเรียนรู้แล้วก็ไปสอนคนอื่นให้ข้าที”
จ้าวเหมิงลู่รู้สึกสับสนในตอนแรก อะไรคือหยินหยางประสาน?
เมื่อนางฟังเคล็ดวิชานี้จากหลิงตู้ฉิงจบ นางก็เข้าใจในที่สุด นางมองไปที่หลิงตู้ฉิงอย่างเขินอายและคิดถึงเรื่องเมื่อคืน
“ในอนาคตข้าจะสอนผู้ชายในคฤหาสน์ ส่วนเจ้าสอนผู้หญิง จากนั้นพวกเขาทุกคนก็จะสามารถใช้วิชานี้ในการช่วยเพิ่มระดับการบ่มเพาะของพวกเขาได้” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ
จ้าวเหมิงลู่รีบพูดว่า “อย่าเพิ่งสอนอะไรใครเลย! เทคนิคการบ่มเพาะนี้…มันจะดีกว่าที่จะสอนพวกเขาเมื่อพวกเขาโตพอและแต่งงานแล้ว!”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เมื่อเห็นท่าทีของจ้าวเหมิงลู่ เขาจึงผนวกความเข้าใจของเหตุการณ์เมื่อคืนรวมกับความรู้ของเขาที่ได้จากชั้นเรียนของถังชี่หยุนที่เขาเคยได้ฟัง เขาจึงนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่จ้างเหมิงลู่พูดก็มีเหตุผล
ส่วนทางด้านของจ้าวเหมิงลู่นั้น หลังจากที่พ้นสายตาของหลิงตู้ฉิง นางได้ไปพบมี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ย และจากนั้นนางจึงสอนวิธีการบ่มเพาะนี้ให้ทั้งสองคน
ในตอนนี้ ณ ซอยเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ของอาณาจักรจันทรามีคนคนหนึ่งที่กำลังใกล้จะคลุ้มคลั่ง
“ทำไมเป็นแบบนี้วะ! เห็นชัด ๆ ว่าข้าไม่ได้ไปยั่วโมโหคนพวกนี้แล้วทำไมพวกเขาถึงมารุมรังแกข้า!” หลูหลิงตะโกนโหวกเหวกอยู่ในซอยตามลำพัง
เขาผ่านเรื่องร้ายมามากเกินไปในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้
ใครก็ตามที่เห็นเขาจะเกลียดเขาและรังแกเขาอย่างไม่มีเหตุผล แม้ว่าเขาไม่ได้ถูกทำร้ายจนตายหรือพิการ แต่ร่างกายเขาก็เต็มไปด้วยบาดแผล
ที่สำคัญเพราะทุกคนเกลียดเขา เขาจึงไม่สามารถหาอะไรกินได้ โชคดีที่เขายังมีพื้นฐานการบ่มเพาะอยู่เล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงสามารถพึ่งพามันเพื่อขโมยอาหารประทังชีวิตไปวัน ๆ
ในขณะที่เขาตะโกนบ่นถึงชะตาชีวิตของเขาอยู่นั้น จู่ ๆ ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณที่เผอิญได้ยินเสียงของเขา ได้เดินเข้ามาดูหาต้นตอของเสียงในซอยเปลี่ยวที่เขายืนอยู่
เมื่อผู้เชี่ยวชาญผู้นั้นเห็นหลูหลิงตะโกน เขาพุ่งตัวเข้ามาหาและเหวี่ยงหมัดใส่เบ้าตาหลูหลิงดังเปรี้ยง พร้อมกับตะคอกว่า “แกจะตะโกนหาอะไร ถ้าแกยังคงตะโกนอีกข้าจะตีแกจนตาย!”
เมื่อถูกรังแกเช่นเดิมอีกแล้ว หลูหลิงจึงเริ่มมีความคิดอันชั่วร้ายในหัว หากไม่ใช่เพราะเขามีระดับอยู่แค่ขอบเขตควบแน่นลมปราณ เขาคงฆ่าไอ้เวรนี่ไปแล้ว
เขามองไปที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณและคิดในใจอย่างเคืองแค้น ‘อย่าภูมิใจว่าระดับการบ่มเพาะของเจ้าจะสูงกว่าข้าและจะรังแกข้าได้ง่าย ๆ อย่างที่เจ้าคิด! รอให้ข้าใช้พิษก่อน เจ้าจะร้องขอความตายอย่างทรมานเชียวล่ะ!’
ในขณะที่เขากำลังคิดเรื่องนี้ รอยประทับบนหลังมือของเขาก็ค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมมันถึงจางลง แต่เขาก็รู้ได้ว่าเขาจะหลุดพ้นจากเรื่องซวย ๆ นี้ได้ก็เมื่อไอ้รอยประทับนี้มันหายไปแล้วเท่านั้น
เมื่อผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณผู้นั้นเห็นว่าหลูหลิงยังคงจ้องมองมาที่เขา ก็อดไม่ได้ที่จะเดินมาตบหน้าเขาอีกครั้งและตะคอกว่า “แกกำลังมองหาพ่อแกเหรอ แกอยากตายนักใช่ไหม? “
หลูหลิงตัวสั่นด้วยความโกรธ ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าเขาได้ทำการค้นคว้าพิษชนิดใหม่มา 2-3 วันแล้ว จะรอช้าไปทำไม ทำไมไม่ลองใช้มันกับไอ้เวรนี่ตอนนี้ซะเลย?
หลูหลิงตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น เมื่อเขาเอาส่วนผสมของยาพิษที่เขาค้นคว้าออกมาจากแหวนมิติ
น่าเสียดายที่เขาไม่มีทางปรุงมันได้ในตอนนี้
เขาจ้องมองไปที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณอย่างดุร้ายและโยนพิษเข้าไปในปากของตัวเอง
เขาเคี้ยวและผสมพวกมันให้เข้ากันในปาก จากนั้นเขาก็พ่นมันไปทั่วใบหน้าของผู้เชี่ยวชาญคนนั้น
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณผู้นั้นเมื่อถูกหลูหลิงพ่นอะไรไม่รู้ใส่เต็มใบหน้าของเขา เขารู้สึกว่าขอทานที่อยู่ตรงหน้านั้นโอหังเกินไปแล้ว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะตบมันอีกครั้ง
อันที่จริงเขาเองอยากจะฆ่าไอ้ขอทานนี่มากกว่า แต่น่าเสียดายที่ทุกครั้งที่เขามีความคิดจะฆ่าไอ้ขอทานนี่ มันจะมีความรู้สึกที่ทำให้เขาเสียวสันหลังวาบทุกครั้งและไม่กล้าที่จะฆ่ามัน
ในขณะที่เขายกมือขึ้นกำลังจะตบไปยังหน้าของหลูหลิง เขาก็รู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณทั้งหมดในร่างกายของเขาสลายไป จากนั้นเขาก็ล้มลงหมดสติอยู่บนพื้น
“นี่มันเป็นการตอบแทนสำหรับที่เจ้ากล้าตีข้า!” หลูหลิงตะคอกด้วยความโกรธ “ถึงแม้ว่าระดับการบ่มเพาะของข้าไม่ดีเท่าเจ้า แต่ข้าสามารถใช้ยาพิษได้!”
ในขณะที่เขาสาปแช่ง เขาก็ค้นหาสมุนไพรในแหวนมิติของเขาเพื่อล้างพิษให้ตัวเองเพราะเขาได้ผสมพิษในปากของตนเองด้วย
แต่ขณะที่เขากำลังหาสมุนไพรเพื่อล้างพิษ หลูหลิงก็นึกขึ้นได้ ทำไมเขาถึงไม่มีอาการของการถูกพิษเลย?
จากนั้นเขาก็มองไปที่หลังมือของตัวเอง จากนั้นน้ำตาแห่งความดีใจก็เอ่อล้นออกมาอย่างหยุดไม่ได้ “ในที่สุดรอยประทับก็หายไปแล้ว ข้ากลับไปได้แล้ว!”
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือหลังจากรอยประทับบนฝ่ามือของเขาหายไป คำบนหน้าผากของเขาก็หายไปด้วย
แม้ว่าเขาจะดูเหมือนคนบ้าและขอทาน แต่ก็ไม่มีใครที่เห็นเขาแล้วอยากจะรังแกเขาอีก
เมื่อรอยประทับบนหลังมือของเขาหายไปแล้ว เขาก็วิ่งไปที่สถาบันราชวงศ์และมุ่งหน้าไปที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายและโม่หยูถังยังคงอธิบายเนื้อหาที่สำคัญอยู่ หลูหลิงคุ้นเคยกับกฎของศาลาศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงนั่งลงและตั้งใจฟังอย่างจริงจัง
“ขอบเขตหลอมรวมลมปราณและขอบเขตการควบแน่นลมปราณ เป็นเพียงขอบเขตเบื้องต้นของเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ ขอบเขตทั้งสองนี้ความสำคัญของมันก็คือการช่วยให้ผู้บ่มเพาะได้เข้าใจหลักการ การใช้พลังวิญญาณที่อยู่รอบกายเรา เมื่อความเข้าใจในการใช้พลังวิญญาณของเราบรรลุได้ถึงระดับหนึ่งแล้ว ผู้บ่มเพาะก็จะเริ่มสร้างทะเลวิญญาณของตนเองขึ้นมา แต่ขนาดของทะเลวิญญาณของแต่ละคนจะแตกต่างกันไป ซึ่งวัดจากปริมาณของพลังงานวิญญาณของพวกเขาแต่ละคนที่สามารถใช้ได้” โม่หยูถังบรรยายอย่างช้า ๆ
เนื่องจากวันนี้เป็นบทเรียนที่สำคัญมาก ไม่เพียงแต่มีอาจารย์หลายคนเท่านั้นที่เข้ามาฟังชั้นเรียน แม้แต่หลิงเจิ้งสงและมี่ตั้วตั้วก็มาเช่นกัน
“ขนาดทะเลพลังวิญญาณของแต่ละคนนั้นจะแตกต่างกันไป ของบางคนนั้นอาจจะมีขนาดแค่แอ่งน้ำ หรือบางคนใหญ่ขึ้นมาอีกก็เป็นสระน้ำ ตามไปด้วยก็จะเป็น ทะเลสาบ หรือให้ใหญ่กว่านั้นก็เป็น ทะเล ขนาดของทะเลวิญญาณนั้นจะก่อขึ้นได้ตามความพยายาม ความมุมานะและพรสวรรค์ของแต่ละคนที่ไม่เท่ากัน และเมื่อแอ่งทะเลวิญญาณได้ถูกก่อขึ้นเรียบร้อยและเมื่อมันได้ถูกเติมพลังวิญญาณลงไปจนเต็ม คนผู้นั้นจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณอย่างแท้จริง แต่ความกว้างใหญ่ของขนาดทะเลวิญญาณของแต่ละคนจะเป็นตัวกำหนดเช่นกันว่าในอนาคตผู้เชี่ยวชาญผู้นั้นจะสามารถบรรลุได้ไปถึงขอบเขตใดในท้ายที่สุด”
“ไม่เพียงแต่ขอบเขตประสานทะเลปราณจะเป็นตัววัดความสามารถของแต่ละคนเท่านั้น แต่ยังทดสอบโชคของแต่ละคนอีกด้วย ทุกคนรู้ว่าใคร ๆ ก็สามารถทะลวงผ่านขอบเขตรวมแสงดาราได้ที่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 แต่การจะบ่มเพาะได้จนถึงระดับ 12 หรือแม้แต่ระดับ 13 ของขอบเขตประสานทะเลปราณ ซึ่งทุกครั้งในการเลื่อนระดับขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 ขึ้นไป ผู้เชี่ยวชาญจะต้องใช้พลังวิญญาณอย่างน้อย 2 เท่าจากระดับก่อนหน้าเพื่อบรรลุระดับถัดไป นี่จึงเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ แต่ไม่ว่าจะยังไง มันก็ยังเป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญทุกคนต้องฟันฝ่าไปให้ได้ เพราะมันเกี่ยวข้องกับเส้นทางการบ่มเพาะสู่ขอบเขตสวรรค์ในอนาคต หากพวกท่านไม่มีพื้นฐานการบ่มเพาะมาจากระดับ 12 ของขอบเขตประสานทะเลปราณ โอกาสที่พวกท่านจะสามารถบรรลุขอบเขตไปยังขอบเขตนภาได้นั้นถือว่าลิบหรี่เป็นอย่างมาก และถ้าหากไม่สามารถบ่มเพาะไปถึงขอบเขตนภาได้ พวกท่านก็คงไม่ต้องไปหวังว่าจะได้เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์”
เมื่อได้ยินคำพูดของโม่หยูถัง ใบหน้าของคนจำนวนมากในฝูงชนก็ซีดลง
โม่หยูถัง เมื่อเห็นบรรยากาศเริ่มหดหู่ เขาจึงพูดขึ้นต่อ “พวกท่านอย่าพึ่งท้อแท้ อันที่จริงสำหรับผู้ที่จะบรรลุขอบเขตไปถึงขอบเขตสวรรค์ได้นั้น มีเพียงหนึ่งในพันล้านคนเท่านั้นที่ทำได้ ซึ่งอัตราส่วนนี้เป็นเพียงตัวเลขของผู้คนทั่วไปที่บ่มเพาะกันตามปกติ โลกนี้มีสิ่งมหัศจรรย์มากมาย มีทั้งสมบัติวิเศษที่สามารถใช้เป็นหนทางก้าวขึ้นไปยังระดับสวรรค์ได้ หากโชคดีพอ พวกท่านอาจจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์ได้แม้ว่าท่านจะใช้ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 ในการทะลวงขอบเขตไปยังขอบเขตรวมแสงดาราก็ตาม”
เมื่อได้ยินคำพูดปิดท้ายของโม่หยูถัง บรรดาผู้คนที่ฟังอยู่ก็เหมือนกับถูกจุดประกายความหวังขึ้นมาอีกครั้งทันที
โม่หยูถังส่ายหัวและถอนหายใจเบา ๆ เขาอยากจะพูดจริง ๆ ว่าถ้ามีสมบัติวิเศษเช่นนั้นจริง ๆ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์ก็คงต้องแย่งชิงกัน แล้วพวกท่านมีดีอะไรที่จะเข้าร่วมวงตะลุมบอนกับเขาด้วย?
เขาไม่ได้ทำลายความเชื่อมั่นของทุกคนและพูดต่อ “นอกเหนือจากประเด็นที่เราจะต้องใช้พื้นฐานการบ่มเพาะขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 12 ขึ้นไปถึงจะทะลวงไปถึงขอบเขตนภาได้แล้ว การมีพื้นฐานขอบเขตประสานทะเลปราณระดับสูงกว่า 10 นั้นยังมีประโยชน์อื่นอีก”
“ซึ่งประโยชน์ของมันคือ ความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันมากเมื่อทะลวงขอบเขตไปยังรวมแสงดารา ถ้าหากเทียบกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราระดับแรกที่มีพื้นฐานการบ่มเพาะจากขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 12 ผู้เชี่ยวชาญคนนี้จะมีความแข็งแกร่งกว่า ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 3 ธรรมดาที่มีพื้นฐานการบ่มเพาะจากขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 ”
“สำหรับวิธีแยกความแตกต่างระหว่างระดับพื้นฐานการบ่มเพาะของขอบเขตรวมแสงดารานั้นให้ดูจากจำนวนของดวงดาวที่ปรากฏขึ้นบนร่างของผู้บ่มเพาะ หากผู้เชี่ยวชาญมีพื้นฐานการบ่มเพาะขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 เมื่อทะลวงผ่านขอบเขตรวมแสงดาราบนร่างจะปรากฎดวงดาวขึ้นมา 1 ดวง แต่ถ้าหากเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราที่มีพื้นฐานการบ่มเพาะมาจากขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 14 บนร่างของคนผู้นั้นจะปรากฎแสงดาวขึ้นมา 4 ดวงในตอนที่พวกเขาโคจรพลัง หากท่านมีเพียงแสงดาวดวงเดียว เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่มีแสงดาว 4 ดวง พวกท่านควรรีบหนีไปทันที เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะต่อกรกับพวกเขา”
“ส่วนประเด็นสุดท้าย บางครั้งเส้นทางการบ่มเพาะของทุกคนก็คือการทดสอบจิตใจของตนเอง ตัวอย่างเช่น เมื่อท่านมีโอกาสอย่างชัดเจนในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 13 แต่กลับกำลังเผชิญกับอันตรายและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการบุกทะลวงเข้าสู่ขอบเขตรวมแสงดารา ท่านจะเลือกอย่างไร?”
“หรือหากฝึกฝนมาหลาย 10 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทะลุผ่านขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 12 ได้ ท่านควรบ่มเพาะต่อไปหรือไม่? หรือท่านจะเพิ่มความแข็งแกร่งไปก่อนโดยการทะลวงขอบเขตไปรวมแสงดาราเลยแล้วออกไปตามหาสมบัติวิเศษที่ช่วยให้ท่านบรรลุขอบเขตไปได้ถึงขอบเขตสวรรค์เลยดี?”
“คำถามเหล่านี้คือการทดสอบของทุกคนบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ การบรรยายวันนี้ขอจบเพียงเท่านี้ สำหรับเรื่องเกี่ยวกับระดับสวรรค์ ถ้าทุกท่านสามารถไปถึงขอบเขตนั้นได้จริง ๆ พวกท่านคงไม่จำเป็นต้องให้ข้าบอกว่าจะฝึกฝนต่อไปอย่างไร เอาล่ะ วันนี้จบชั้นเรียนแต่เพียงเท่านี้!”