จากมุมมองของนาง คนเหล่านั้นมิใช่ยอดฝีมือ
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังไม่ได้ใช้ไพ่ตาย
หลบอยู่ภายในรถม้า มองดูป๋ายซ่าวและป๋ายจีไปตรวจสอบและแสดงความเสียใจ
“ดูเหมือนเหตุการณ์จะไปได้ดีเลยนี่”
หลินเมิ้งหยามองดูพวกนางผ่านทางหน้าต่างด้านหลังรถม้า
นางตั้งใจส่งป๋ายซูและป๋ายซ่าวออกไปเคลื่อนไหวที่ด้านนอก
ต้องแหวกหญ้า งูจึงจะตื่น จากนั้นต้องดูแล้วว่าคนเหล่านั้นจะติดเบ็ดหรือไม่
หลินเมิ้งหยามองดูสถานการณ์ด้านนอก แต่นางกลับไม่รู้สึกว่ารถม้าของตนเองกำลังแล่นห่างออกไปเรื่อยๆ
รอบๆ บริเวณล้วนเป็นป่าทึบ
“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดจึงมาที่นี่?”
แง้มหน้าต่างออก ก่อนป๋ายซูจะโผล่หน้าออกไปถาม
“ทูลพระชายา ล้อรถม้ามีปัญหา พวกเราพักผ่อนกันก่อนสักครู่ อีกเดี๋ยวคนคุมรถม้าน่าจะซ่อมเสร็จเจ้าค่ะ”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง เพราะเหตุนี้ทันทีที่นางนั่งลงจึงรู้สึกโครงเครงมากเป็นพิเศษสินะ
ป๋ายซูและป๋ายจื่อช่วยกันพยุงหลินเมิ้งหยาลงจากรถม้าแล้วพามานั่งที่ก้อนหินใหญ่
ขบวนรถของไท่จื่อแล่นไปข้างหน้าไม่หยุดเสมือนกำลังหนีเอาตัวรอดอย่างไรอย่างนั้น
แม้รถม้าบางคันจะจอดลงที่ข้างทาง แต่รถม้าของไท่จื่อยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายเห็นเพียงจุดดำไกลๆ
“นายหญิง ไท่จื่อผู้นี้หนีเร็วเหลือเกิน เขาไม่แม้แต่จะสนใจความเป็นตายของคนที่อยู่ด้านหลัง”
ป๋ายจื่อนวดขาของหลินเมิ้งหยาเบาๆ ก่อนจะเริ่มเอ่ยวาจาดูแคลนไท่จื่อ
“สถานะของเขาแตกต่างจากเรา แม้คนเหล่านั้นจะตาย แต่เขามีสถานะที่สูงส่งเกินกว่าจะหันมาสนใจ”
หลินเมิ้งหยารู้อยู่แล้วว่าไท่จื่อเป็นคนเช่นไร เมื่อประสบปัญหา เขาหนีไวยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก
เหตุใดคนแบบนี้จึงได้เป็นว่าที่ฮ่องเต้แห่งต้าจิ้นกันนะ?
“จะว่าเช่นนั้นก็ใช่เจ้าค่ะ นายหญิงหิวหรือยังเจ้าคะ? อยากให้ข้าไปหยิบของกินบนรถม้ามาให้หรือไม่เจ้าคะ?”
ป๋ายจื่อเอ่ยถาม ในช่วงเวลาคับขัน อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่หลินเมิ้งหยายังไม่มีเวลาแม้แต่จะจิบน้ำ
“อีกไม่ไกลน่าจะถึงเขตพระราชวังแถบชานเมืองแล้ว ถึงที่นั่นแล้วค่อยว่ากัน”
ที่เขตพระราชวังมีทหารหลวงจำนวนไม่น้อย ที่นั่นน่าจะปลอดภัย
“จริงสิ ป๋ายจีกับป๋ายซ่าวพาองครักษ์ไปเพียงไม่กี่คนมิใช่หรือ? เหตุใดตอนนี้จึงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเล่า?”
บริเวณรอบๆ สงบเงียบ
นานมากแล้วที่ไม่เห็นรถม้าวิ่งผ่าน บริเวณที่ดินเปล่าเปลี่ยวแห่งนี้มีเพียงหลินเมิ้งหยาและสาวใช้ กับคนคุมบังเหียนที่กำลังซ่อมล้อรถเท่านั้น
“นั่นสิเจ้าคะ เช่นนั้นข้าลองไปถามคนคุมบังเหียนดูดีกว่า”
ป๋ายจื่อเองก็รู้สึกประหลาดใจ พวกทหารองครักษ์ไม่มีทางละทิ้งหน้าที่ของตนเองอย่างแน่นอน แต่เพราะเหตุใดจึงไม่มีพวกเขาแม้แต่คนเดียว
“ไม่ อย่าไป”
หลินเมิ้งหยารู้สึกผิดปกติ จมูกของนางได้กลิ่นผิดแปลกประหลาดบางอย่าง
แอบบีบแขนของป๋ายซู ทั้งสามหันไปมองทั่วสารทิศ
“พระชายา กระหม่อมซ่อมรถม้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้สามารถออกเดินทางต่อได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คนคุมบังเหียนย่างสามขุมเข้ามา พร้อมทั้งส่งเสียงเคร่งขรึม
“องครักษ์เล่า? เมื่อครู่ยังตามพวกเรามาอยู่เลยมิใช่หรือ?”
คนคุมบังเหียนก้มหน้าลง หลินเมิ้งหยามองไม่เห็นสีหน้าของเขา
แต่นางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
“พวกเขาหรือ? ไปรอท่านที่ด้านหน้าแล้ว ฉะนั้นท่านรีบเดินทางไปเถิด”
คนคุมบังเหียนที่ก้มหน้าตลอดเวลาพลันเงยหน้าขึ้น
ใบหน้ากร้านโลกหยักยิ้มมีเลศนัย
เพราะเหตุนี้นางจึงรู้สึกผิดปกติตลอดเวลา ที่แท้นักฆ่าก็แฝงตัวอยู่บนรถม้าของนาง
“เจ้า…อย่าเข้ามานะ! ข้าขอเตือนเจ้า อย่าได้เข้ามา!”
ป๋ายจื่อตื่นตระหนกรีบวิ่งเข้าไปยืนกำบังหลินเมิ้งหยา ก่อนจะส่งเสียงละล่ำละลัก
“เหตุใดข้าจึงเข้าไปไม่ได้เล่า? หากข้าไม่เข้าไป แล้วใครจะส่งพวกเจ้าไปยังโลกหน้ากัน?”
หญิงสาวทั้งสามขยับเท้าถอยหลังไปทางป่าทึบ
นักฆ่าคุมบังเหียนดึงของบางอย่างออกจากเอว ก่อนจะก้าวเข้ามาทีละก้าว
“นายหญิง ที่มือของเขาคือไหมหิมะ เพราะเหตุนี้พวกเราจึงพบเพียงเส้นเล็กๆ เท่านั้น”
ราวกับว่าป๋ายซูรู้จักของที่เขาถืออยู่ในมือ ดังนั้นจึงส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะส่งนักฆ่าแปลกประหลาดเช่นนี้มา
ตกลงพวกเขาเกลียดนาง แค้นนางขนาดไหนกัน?
“ข้าขอเตือนเจ้าอย่าได้เข้ามา มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเกรงใจ”
หลินเมิ้งหยาเดินขึ้นมาข้างหน้า ก่อนจะดันสาวใช้ทั้งสองหลบไปทางด้านหลัง เท้ายังคงขยับถอยหลังเข้าป่าไปเรื่อยๆ
“ฮึๆ ชายาอวี้ อย่าได้คิดหนีเลย ข้าบอกเจ้าเลยแล้วกัน เจ้าต่างหากที่เป็นเป้าหมายของพวกเราในครั้งนี้ สาเหตุที่คนเหล่านั้นตายก็เพื่อขัดขวางเจ้าเอาไว้เท่านั้น”
คำพูดของเขาทำให้หลินเมิ้งหยาตกใจ
เป้าหมายในครั้งนี้คือนาง?
แต่เมื่อลองไตร่ตรองดูแล้ว มันไม่น่าเชื่อเลยนี่นา นางเป็นใครกัน เหตุใดยอกนักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋มากมายจึงต้องการชีวิตนาง?
“เจ้ามาให้ข้า…อ๊าก…”
นักฆ่าคิดอยากพูดว่าเจ้ามาให้ข้าฆ่าเสียดีๆ ทว่าเพียงขยับขาก้าวขึ้นไปข้างหน้า ตัวของเขาพลันตกลงไปในหลุมลึก
ทั้งสามหลุดออกจากสถานการณ์เสี่ยงตายชั่วคราว
เหตุเพราะ…นางยังมีเย่คอยคุ้มกันอยู่
เย่ที่แอบตรวจสอบอย่างเงียบเฉียบมั่นใจแล้วว่าหนอนบ่อนไส้ในจวนคือใคร
เมื่อรถม้าแล่นมาที่ป่าทึบแห่งนี้ นางรู้ได้เลยว่าจะต้องมีหลุมดักสัตว์อยู่ที่ใดที่หนึ่ง
ทั้งสามเหลือบมองไปทั่วทั้งบริเวณ ไร้ซึ่งเสียงร้องของนักฆ่าผู้นั้น รวบรวมความกล้าก่อนจะเดินไปยังหลุมดักสัตว์
แม้แต่เย่เองก็เช่นกัน
หลินเมิ้งหยาสั่งให้คนวางแท่งเหล็กแหลมคมลงไปในหลุมอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่หมี หากตกลงไปคงมิอาจเอาชีวิตรอด
ยืนอยู่ข้างหลุม มองดูคนคุมบังเหียนผู้หยิ่งทะนงที่นอนตายอย่างอเนจอนาถ หลินเมิ้งหยาถอนหายใจ
นางก็บอกแล้วไงว่าอย่าเข้ามา อย่าเข้ามา
ในเมื่อไม่เชื่อ แล้วนางจะทำเช่นไรได้?
“นายหญิง เขาจะยังมีชีวิตรอดหรือไม่เจ้าคะ?”
ป๋ายจื่อไม่กล้ามองดูในหลุม แม้นางจะคิดว่าคนผู้นี้สมควรตายก็ตาม
หลินเมิ้งหยากับป๋ายซูสบตากัน ก่อนจะเอ่ย
“วางใจเถิด ตายแล้วล่ะ เย่ สั่งให้คนมากลบหลุมด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ไร้ซึ่งเงาของตัวคน แต่กลับได้ยินเสียงตอบรับชัดเจน แม้แต่ป๋ายซูยังไม่รู้ว่าต้นเจ้าของเสียงอยู่ที่ใด
“เก่งชะมัด ใช่ว่าใครจะอำพรางตัวเช่นนี้ได้”
ป๋ายซูส่งเสียงชื่นชม ไม่ว่าเย่หรือชิงหูล้วนเป็นยอดฝีมือที่ยากจะพานพบ
“เอาล่ะ อย่าได้อิจฉาเขาเลย การที่เด็กสาวอายุเช่นเจ้ามีฝีมือมากขนาดนี้ได้ก็น่าเกรงกลัวพอแล้ว”
ป๋ายซูเป็นเด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกปีแต่เพียงเท่านั้น ทว่านางกลับสงบนิ่ง น่าพึ่งพิง ฝีมือยอดเยี่ยม เกรงว่าคนที่คอยหนุนหลังเสี่ยวอวี้อยู่จะต้องรู้สึกว่าพวกเขามิได้เลี้ยงคนเสียข้าวสุกอย่างแน่นอน
ทว่า เจ้าเด็กคนนั้นกลับยกป๋ายซูให้กับนางเสียได้
กลับไปยังรถม้า ป๋ายซูตรวจสอบขึ้นๆ ลงๆ เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีปัญหา จึงหลีกทางให้หลินเมิ้งหยาและป๋ายจื่อขึ้นรถ
“แต่ตอนนี้ไม่มีใครขับรถม้าเป็นเลย แล้วแบบนี้จะทำอย่างไร?”
ป๋ายจื่อหันไปมองหลินเมิ้งหยา ราวกับว่านายหญิงของตนเองทำได้ทุกเรื่องอย่างไรอย่างนั้น
หลินเมิ้งหยาหัวเราะแห้งๆ ในโลกยุคปัจจุบัน สิ่งเดียวที่นางทำไม่สำเร็จคือใบขับขี่
สอบมากถึงสามครั้งแต่ยังไม่ผ่าน สุดท้ายกลายเป็นนักเรียนเก่าแก่ที่สุดของโรงเรียน
คิดไม่ถึงเลยว่า แม้จะย้อนเวลากลับมายังอดีต นางยังจะต้องเจอกับปัญหานี้
“ข้า…ข้าขับรถม้าไม่เป็น”
ทั้งสามคนสลับกันมองหน้าของแต่ละฝ่าย สุดท้ายจึงหัวเราะออกมา
“ข้าไปหาพวกป๋ายซ่าวดีกว่า พวกองครักษ์จะต้องขับรถม้าเป็นอย่างแน่นอน”
ป๋ายซูลงจากรถม้าแล้ววิ่งไปทางด้านหลัง
โชคดีที่พวกป๋ายจีอยู่ห่างออกไปไม่ไกล มิเช่นนั้นหลินเมิ้งหยาคงหัวเราะไม่ออก
นางคงมิบังอาจสั่งให้ยอดฝีมืออย่างเย่มาทำหน้าที่ขับรถม้าหรอก
แต่ก็ช่างเป็นภาพฝันที่งดงามจริงๆ
“นายหญิง นายหญิงเจ้าคะ พวกท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เวลาเพียงครู่เดียว หลินเมิ้งหยาได้ยินเสียงร้องตะโกนของป๋ายซ่าวดังลั่น
สาวใช้คนนี้ดีหมดทุกเรื่อง ยกเว้นเสียงตะโกนที่ดังมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า
บางครั้งเสียงด่าสาวใช้ในตำหนักหลิวซินดังไกลออกไปจนคนนอกได้ยิน จนใครต่อใครมองว่ามีผ๋อจื่อขี้จุกจิกอยู่ในเรือนของหลินเมิ้งหยา
“ไม่เป็นไร นายหญิงกับข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ป๋ายจื่อรอต้อนรับเพื่อนของตนเอง ทันทีที่ป๋ายซ่าวมาถึง นางจับตัวหลินเมิ้งหยาไว้พลางก้มๆ เงยๆ สำรวจร่างกายของนาง
“ข้าไม่เป็นไรจริงๆ อย่าได้ร้อนใจไป”
หลินเมิ้งหยามองป๋ายซ่ายและป๋ายจี ก่อนจะเอ่ยปลอบ
“พวกเราอยู่ทางด้านหลัง พริบตาเดียวก็ไม่เห็นพวกท่านแล้ว แต่ตอนนั้นมิอาจปลีกตัวออกมาได้ พวกเราร้อนใจมากเลยเจ้าค่ะ”
อันที่จริงนักฆ่าคนนั้นมิได้ฆ่าองครักษ์ แต่กลับบอกให้พวกเขาไปหยิบยืมเครื่องมือซ่อมแซมทางรถม้าคันหน้า ดังนั้นพวกเขาจึงกลับมาถึงในเวลานี้
“ดีแล้ว พวกเจ้าลองบอกข้ามาหน่อยว่าตกลงเหตุการณ์ทางนั้นเป็นเช่นไร?”
นั่งลงบนรถม้า หลินเมิ้งหยาเริ่มวิเคราะห์ข้อมูลที่สาวใช้ทั้งสองไปสืบมา
“เป็นไปตามที่นายหญิงคาดเจ้าค่ะ ใต้เท้าของแต่ละตระกูลล้วนได้เจอคนรับใช้ของตนเอง ไม่ว่าจะเสี่ยวซี ยาหวนหรือทหารองครักษ์ พวกเขาอ้างเหตุผลมากมายเพื่อขอเข้าพบพวกใต้เท้า พวกเราลองแอบสืบมาก่อนจะรู้ว่าหลังจากเกิดเรื่อง คนเหล่านั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย”
คำพูดของป๋ายซ่าวทำให้หลินเมิ้งหยาตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง
อันที่จริงวิธีการของพวกเขามิได้สูงมาก
การที่พวกคนรับใช้ขอเข้าพบเจ้านายล้วนเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ส่วนเรื่องการหายไปก็มิใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน
“เมื่อครู่ข้าเองก็จัดการคนคุมบังเหียนไปแล้ว แต่ข้ารู้สึกว่าอีกเดี๋ยวพวกนักฆ่าจะต้องสังเกตเห็นอย่างแน่นอน เตรียมตัวเอาไว้ให้ดี บางทีสิ่งที่กำลังรอพวกเราอยู่อาจเป็นพายุคลั่งก็เป็นได้”
หลินเมิ้งหยาไม่รู้หรอกว่าเถาฮวาอู๋มาที่นี่เพราะนางหรือไม่
แต่เมื่อครู่นางลองวิเคราะห์ดูแล้ว ก่อนจะพบว่าใต้เท้าที่ถูกสังหารเหล่านั้นล้วนเป็นคนกลางและมิได้อยู่ฝ่ายเดียวกับไท่จื่อ
แต่การหลบหนีเพราะความตื่นตระหนกของไท่จื่อมิใช่เรื่องหลอกลวง
ตกลงนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?