เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 14 ความดุดัน ใจที่เต้นอย่างไม่รู้ตัว

เมื่อกลับมาถึงลานชิงจื่อ มู่อวิ๋นซีปิดประตูห้องลง แต่ทันทีที่หันไปก็พบเข้ากับเฟิ่งเชียนเย่ที่ไม่รู้ว่ามารอในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พลางปากก็ขยับอย่างอดไม่ได้ “ขอบใจ……”
“พรืบ!”
เฟิ่งเชียนเย่ทำท่าใบ้มือหนึ่งให้กับนางอยู่นิ่งๆ พลางแง้มประตูออกเล็กน้อย พร้อมมองออกไปด้านนอกก่อนจะเปิดประตูออก “มากับข้า!”
มู่อวิ๋นซีได้เพียงสะกดความสงสัยลงไปแล้วเดินตามเฟิ่งเชียนเย่ไปอย่างเงียบๆ จนถึงภูเขาจำลองทางฝั่งเหนือของลานชิงจื่อ
ภายใต้เงาด้านล่างของภูเขาจำลอง มีชายสวมชุดรัดรูปกำลังนอนอยู่ บนคอมีหน้ากากห้อยอยู่อีกด้วย
“นี่คือ?” มู่อวิ๋นซีมองไปหาเฟิ่งเชียนเย่อย่างสงสัย
“นักฆ่าที่แอบซุ่มโจมตีในห้องของเจ้า”
“ฉึบ” เฟิ่งเชียนเย่ดึงดาบยาวออกจากฝัก สะบัดข้อมือตัดปกคอเสื้อของทั้งสองออก
ดาบยาวที่ประกายแสงอันเยือกเย็นยื่นเอาเศษผ้าไปยังตรงหน้าของมู่อวิ๋นซี “นี่คือสัญลักษณ์ของสำนักอินทรีย์”
ด้วยแสงจากดวงจันทร์ มู่อวิ๋นซีมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบนผ้าสองผืนนั้นมีลายปักรูปอินทรีย์แบบเดียวกัน การกระทำของมู่เซิ่งรวดเร็วเสียจริง ออกมาจากลานหย่งเหอ ก็รีบไปเชิญนักฆ่าจากสำนักอินทรีย์แล้ว
นางยิ้มเยาะ “เขาไว้หน้าข้าเกินไปแล้ว สำหรับข้าที่เป็นเพียงแค่เด็กสาวผู้ไร้กำลัง กลับเชิญยอดฝีมือมาถึงสองคนเชียว ”
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะกลัวว่าหากพรุ่งนี้มู่เซิ่งรู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ แล้วจะยิ่งหาคนท่จัดการกับนางมากขึ้น แผนการร้าย นางจะยังคาดเดาเรื่องความเป็นไปได้ ทว่าเรื่องฆ่าแกงเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ นางจะเตรียมป้องกันอย่างไร ?หากถึงตอนนั้นแล้วแม้แต่เฟิ่งเชียนเย่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ……
เมื่อเห็นว่าคิ้วของมู่อวิ๋นซีขมวดขึ้นมา เฟิ่งเชียนเย่ก็พลันหงุดหงิดใจขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล พร้อมกับสะบัดมือเก็บดาบยาวกลับเข้าไปในฝัก
“ก็แค่สำนักอินทรีย์ ข้าไม่ได้เกรงกลัวหรอก เรื่องนี้ เจ้ารับรู้ก็พอแล้ว ส่วนเรื่องที่เหลือข้าจะจัดการเอง เจ้ากลับไปก่อนเถิด ”
มู่อวิ๋นซีเกิดความลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ “รบกวนแล้ว”
หลังจากจ้องมองแผ่นหลังของมู่อวิ๋นซีเดินไกลออกไป เฟิ่งเชียนเย่ถึงค่อยกดเสียงต่ำลง “ออกมาเถิด!”
ทันใดนั้นเงาร่างสองคนก็เข้ามาคุกเข่าลงต่อหน้าเฟิ่งเชียนเย่ แววตาสั่นไหว

“เจ้านาย!ท่านยังมีชีวิตอยู่……”
“อะแฮ่ม!เป็นความผิดของข้าน้อยเอง ที่ปกป้องเจ้านายได้ไม่ดี เจ้านายโปรดลงโทษด้วย ”
“เป็นข้าน้อยที่ละหน้าที่เอง เจ้านาย เหตุใดท่านถึงไม่ส่งข่าวกลับไปเลยรึ?”
“ไม่ต้องกังวลใจ ข้าไม่ได้เป็นอะไร” บนใบหน้าเนียนของเฟิ่งเชียนเย่เผยความเยือกเย็นออกมา ดวงตามืดมน “เขา……เขากำลังทำอะไร ?”
“คืนนั้นเขารออยู่ที่ห้องของเจ้านายตลอดทั้งคืน พอในวันถัดมาก็ได้รับคำสั่งให้ตามหาที่อยู่ของ เจ้านาย การหายตัวไปของเจ้านายในช่วงที่ผ่านมานี้ ทุกวันเขาก็มักจะอยู่ในห้องของเจ้านายเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามขอรับ ”
เฟิ่งเชียนเย่พยักหน้า โดยที่สีหน้านิ่งไม่ได้ตอบรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ พลางสายตามองไปยังชายสองคนจากสำนักอินทรีย์ที่กำลังนอนหลับอยู่ “ส่งพวกเขากลับสำนักอินทรีย์เสีย แล้วแจ้งให้กับเจ้าสำนักของสำนักอินทรีย์ด้วยว่าหากเขากล้าทำการค้ากับมู่เซิ่ง ข้าจะทำให้โลกนี้ไม่มีสำนักอินทรีย์อีกต่อไป”
“รับทราบ!เจ้านาย……ท่านจะกลับไปเมื่อไหร่หรือขอรับ?”
“น่าจะอีกช่วงเวลาหนึ่ง ตอนนี้อย่าได้เปิดเผยการเคลื่อนไหวของข้าเด็ดขาด ”
เมื่อพูดจบ ร่างของเขาก็เคลื่อนไหวไล่ตามมู่อวิ๋นซีที่เดินจากไปเมื่อสักครู่นี้ “ข้าจะพาเจ้าไปยังอีกที่หนึ่ง”
ยังไม่ทันให้มู่อวิ๋นซีได้อ้าปาก เขาก็เอื้อมมือเข้าไปโอบไหล่ของนางเอาไว้ด้วยสายตาที่แน่นิ่ง และที่ไหล่ของนางบางกว่าที่เขาคิดเอาไว้
ร่างกายของมู่อวิ๋นซีแข็งทื่อ และยังไม่ทันที่จะได้ส่งเสียง ผมดกดำของนางก็ถูกลมเปลวพัดไสว ต้นไม้มากมาย ลอยผ่านใต้เท้าของนางไป
นางตื่นตกใจ พลางเอื้อมมือเข้าไปคว้าสายรัดเอวตรงเอวของเฟิ่งเชียนเย่เอาไว้โดยสัญชาตญาณ
“ไม่ต้องกลัว”
แววตาของเฟิ่งเชียนเย่ฉายแววรอยยิ้มออกมา หลังจากที่หมุนตัวลง เขาก็ค่อยๆ ประคองนางให้ยืน ทว่ากลับไม่ใช่พื้นดิน แต่เป็นหลังคา โดยกำลังมีเสียงตะคอกอันแหลมสูงของหญิงดังขึ้นมาจากด้านล่าง
“ลืมบอกกับเจ้าไปว่า หวางเอ้อร์ตายแล้ว”
เฟิ่งเชียนเย่ปล่อยมู่อวิ๋นซีออก แล้วชันเข่าลงไป นิ้วมืออันเรียวยาวงัดลงไปบนกระเบื้องหลังคาสีคราม

“คือเจ้า……”
“มู่เซิ่ง!”
เฟิ่งเชียนเย่ขัดจังหวะมู่อวิ๋นซีโดยที่ไม่แหงนหน้าขึ้นมา พร้อมกับค่อยๆ แกะกระเบื้องสีครามออก “ในตอนที่มู่เซิ่งส่งคนไปเรียกตัวยายหวาง ก็ได้สั่งให้คนผลักหวางเอ้อร์ลงสระด้วย ”
เขาแหงนหน้ามองขึ้นไปมองมู่อวิ๋นซี “ข้าไม่รู้ถึงจุดยืนของมู่จื่อชวน จึงไม่ได้เพียงให้เขาไปส่งข่าวนี้แก่เจ้า ทั้งยัง ……”
อีกอย่าง คนมักจะยอมเชื่อในสิ่งที่ดี สำหรับเรื่องร้าย ต่อให้มันจะเป็นความจริง ต่อให้มันจะปรากฏอยู่ตรงหน้า ผู้คนก็มักจะสรรหาเหตุผลเป็นร้อยพันเพื่อที่จะมาปฏิเสธ
เขากลัวว่ายายหวางจะไม่เชื่อข่าวนี้
ก็เหมือนกับที่เขาเองไม่เชื่อว่าตัวเขาวางยาให้กับเขา
เฟิ่งเชียนเย่ลดสายตาลง พลางหัวเราะอยู่คนเดียว พร้อมกับขมุบขมิบปากลงไปยังแสงเทียนที่ส่องมาจากด้านล่าง ชี้ว่าให้มู่อวิ๋นซีเข้ามาดู
แสงจันทร์อันเงียบสงัดสาดส่องลงมาบนร่างของชายหนุ่มที่กำลังชันเข่า ภายใต้ความเลือนรางและแสงดาวในยามค่ำคืน ทำให้เกิดภาพทับซ้อนของชายหนุ่มที่กำลังถือดาบชันเข่าอยู่บนถนนขึ้นมา ในตอนนั้นสีหน้าของเขาซีดเขา ริมฝีปากม่วงคล้ำ
เงาร่างนั้นหยดลงไปในทะเลสาบหัวใจของมู่อวิ๋นซีภายใต้แสงจันทร์ พลิ้วไหวเป็นระลอกคลื่นอ่อนๆ
นับเป็นครั้งแรกเลยที่นางอยากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับเขา
วิชาต่อสู้ของเขานั้นแข็งแกร่ง มีความสามารถไร้เทียมทาน แต่ผู้ใดกัน ที่วางยาหวังเอาชีวิตของเขา ?

ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็เห็นว่าเฟิ่งเชียนเย่กำลังมองตัวเองด้วยความแปลกใจ มู่อวิ๋นซีจึงรีบชันเข่าลงทันที แล้วมองตามสายตาของเขาลงไปยังห้องที่อยู่ด้านล่าง ซึ่งกำลังเกิดความวุ่นวายอยู่ โดยมีมู่จื่อโหรวกำลังผลักไสชุนเถา
“ใจเย็น?จะให้ข้าใจเย็นได้อย่างไร?ท่านย่าไม่เคยใช้น้ำเสียงเช่นนั้นพูดกับข้ามาก่อนเลย” นางพูดอย่างบ้าคลั่ง หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้นางคงจะยอมรับว่าหญิงสาวในรูปภาพนั้นคือตัวนางแล้ว
“คุณหนู เมื่อสักครู่นี้ท่านรองได้รับสั่งเอาไว้แล้วว่าหลังจากนี้ไปท่านไม่สามารถเรียกองค์หญิงใหญ่ว่าท่านย่าได้อีกต่อไปแล้ว ควรจะเรียกท่านป้าจึงจะเหมาะสมเจ้าค่ะ” ชุนเถากล่าวเตือนอย่างระมัดระวัง
“มีสิทธิ์อันใดกัน?” ใบหน้าเล็กๆ ของมู่จื่อโหรวบูดเบี้ยวทันที
“นังแพศยานั่นมีสิทธิ์อะไรที่พอกลับมาก็ได้เข้าไปอยู่ในลานชิงจื่อของข้า ทั้งยังมาแย่งท่านย่าของข้าอีก ?ไม่ได้ ข้าจะต้องทำให้นางหายตัวไปเสีย!ข้าจะต้องทำให้นางหายสาบสูญไปให้ได้!ชุนเถา เร็วเข้า เจ้ารีบช่วยข้าคิดหาแผนการเร็วเข้า ขอเพียงแค่มู่อวิ๋นซีหายสาบสูญไป ทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นดังแต่ก่อนแล้ว และข้าก็จะยังเป็นหลานสาวที่ท่านยารักใช่หรือไม่ ?”
“คุณหนูเจ้าคะ!ท่านรองบอกว่าให้ท่าน……”
“ท่านรอง ท่านรอง เจ้าเป็นสาวใช้ของข้าหรือของเขากันแน่ จะฟังคำของข้าหรือของเขา ?” มู่จื่อโหรวขัดคำชุนเถาด้วยเสียงแหลม
“ให้เจ้ารีบคิดแผนการก็รีบคิดซะ ไม่อย่างนั้นเจ้าได้เจอดีแน่ ”
ชุนเถาที่ได้ยินอย่างนั้นคุกเข่าลงไปกับพื้น ” คุณหนู ข้าน้อย ข้าน้อยจะมีแผนการอะไรได้เล่าเจ้าค่ะ ”
“เจ้ามันคนไร้ประโยชน์!” มู่จื่อโหรวยกเท้าขึ้นหวังจะถีบเข้าใส่ แต่แล้วแววตาของนางก็เปล่งประกายขึ้นมา พร้อมกับค่อยชักเท้ากลับแล้วพยุงตัวของชุนเถาขึ้นมาอีกครั้ง “ชุนเถา ถ้าข้าจำไม่ผิดพ่อแม่ของเจ้าเป็นคนจับงูสินะ ?”
ชุนเถาที่กำลังอึ้ง ถูกมู่จื่อโหรวผลักไปยังทางประตู “เจ้าจงกลับบ้านไปตอนนี้เสีย ให้พ่อของเจ้าจับงูพิษมาตัวหนึ่ง จะต้องเป็นงูที่มีพิษร้ายกาจที่สุด พรุ่งนี้เช้าข้าจะส่งไปให้มู่อวิ๋นซี ”
“คุณหนู?ทำแบบนี้ได้หรือเจ้าคะ?”
“เหตุใดจะไม่ได้ ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นคนพูดเองว่างูเป็นยาชูกำลังที่ดีอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือไร ?ก็พอดีข้าจะส่งมันไปช่วยชูกำลังให้นางเสียหน่อย รีบไปเร็วเข้า !” มู่จื่อโหรวผลักชุนเถาออกไปนอกประตู แล้วปิดประตูทันที ด้วยใบหน้าที่สะใจ
“อยากจะเป็นหลานสาวของท่านย่างั้นหรือ นางแพศยา รอดูได้เลย ”
แสงที่ส่องออกมาจากรูดับลงทันที จากการที่เฟิ่งเชียนเย่นำกระเบื้องสีครามกลับมาประกอบดังเดิม “อีกเดี๋ยวข้าจะไปหากำมะถันมาเสียหน่อย”
“ไม่ต้อง ข้าไม่กลัวงู” มุมปากของนางกระตุกรอยยิ้มออกมา พลางโน้มตัวไปกระซิบข้างหูของเขา “พรุ่งนี้……”
แววตาของเฟิ่งเชียนเย่เกิดความสงสัยเล็กน้อย ทว่ากลับไม่ได้พูดอะไรออกมา
ค่ำคืนผ่านไปเหมือนกับกลีบดอกไม้สีม่วงที่ค่อยๆ ละลายไปกับแสงสีขาวในยามเช้า
มู่จื่อโหรวจ้องไปยังถุงหนังที่ชุนเถากำลังถือมา แววตาประกายความสะใจ มือเคาะไปบนประตูห้องของมู่อวิ๋นซี “อวิ๋นซี ข้ามาเยี่ยมเจ้าแล้ว ”

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset