เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 11 การร่วมมือ ความล้มเหลว

นี่เหมือนมู่อวิ๋นซีตรงไหน?เจ้าโง่!
มู่เซิ่งถึงในใจจะโกรธเคืองแต่กลับแสดงออกมาไม่ได้ จึงพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “โหรวเอ๋อร์วางใจเถิด เรื่องนี้ ปู่น้อยได้เริ่มทำการสอบสวนแล้ว อีกสองวันจะต้องมีคำอธิบายให้กับเจ้าแน่นอน”
เขาเหลียวไปมองมู่อวิ๋นซีที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ใบหน้าพลางเคร่งขรึมลง “ยังจะยืนเซ่ออยู่ตรงนั้นทำอะไรอีก?ยัง……”
“อวิ๋นซี!” องค์หญิงใหญ่ขัดคำพูดของมู่เซิ่งพร้อมตบที่นั่งข้างๆ ของตัวเองเบาๆ “มานั่งนี่เร็วเข้า!”
มู่อวิ๋นซีกวาดสายตามองไปยังทั้งมู่เซิ่งและองค์หญิงใหญ่ พลางภายในใจก็ค่อยๆ เกิดความรู้สึกยุ่งเหยิงขึ้น
ไม่ว่าองค์หญิงใหญ่จะปฏิบัติต่อนางอย่างไร แต่หลังจากที่ออกจากลานหย่งเหอ คนที่โกรธจัดอย่างมู่เซิ่งจะต้องคิดลงมือฆ่านางเป็นแน่
ดังนั้น วันนี้ นางจะต้องยืนยันให้ได้ว่านางนั่นแหละที่เป็นหลานสาวแท้ๆ ขององค์หญิงใหญ่
ไม่อย่างนั้น นางคงจะต้องตายสถานเดียว
นางถอนหายใจออกมายาวๆ พร้อมแสร้งทำทีตื่นตระหนก “ท่าน……ท่านพ่อ ข้า……ควรจะกลับไป หรืออยู่ต่อเจ้าคะ?”
“มู่เซิ่ง!” องค์หญิงใหญ่ถลึงตาใส่มู่เซิ่ง
“ในเมื่อท่านป้าให้เจ้านั่ง เจ้าก็นั่งก่อนเถิด”
มู่เซิ่งไม่กล้าที่จะทำอะไรเกินเลย จึงได้เพียงคิดเสียดายอยู่ภายในใจ เขานั้นยังใจอ่อนเกินไป เขาควรที่จะฆ่ามู่อวิ๋นซีไปเสีย อีกสักเดี๋ยวกลับไปแล้ว เขาจะต้องส่งคนไปจัดการกับนางซะ
“อวิ๋นซี!”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกขององค์หญิงใหญ่อีกครั้ง มู่อวิ๋นซีจึงชำเลืองมองไปยังมู่เซิ่งด้วยท่าทีขี้ขลาด ก่อนที่จะค่อยๆ เดินไปยังข้างกายองค์หญิงใหญ่ แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้นั่งลง มู่จื่อโหรวก็กระทืบเท้าขึ้นมาด้วยความโมโห กระโจนเข้ามาคั่นระหว่างนางกับองค์หญิงใหญ่เอาไว้เสียก่อน “ท่านย่า เหตุใดท่านต้องคอยช่วยนางด้วยเจ้าคะ ?”
“ลุกขึ้น!”
“ท่านย่า?” มู่จื่อโหรวชะงัก องค์หญิงใหญ่ไม่เคยใช้น้ำเสียงเคร่งขรึมเช่นนี้กับนางมาก่อน
“พวกเจ้าทั้งสองคน จงยืนอยู่ตรงนี้แหละ”

มู่จื่อโหรวส่งเสียงไม่พอใจออกมา พลางยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า
องค์หญิงใหญ่ไม่ได้สนใจนาง พลางหันไปมองสาวใช้ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ “ไปเชิญท่านชายมาที”
“พี่สะใภ้!” ทันใดนั้นภายในใจของมู่เซิ่งก็พลันเกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้น “ค่ำเช่นนี้แล้ว ท่านจะเชิญท่านชายมาทำอะไร ?”
องค์หญิงใหญ่เหลือบมองไปยังม้วนภาพวาดอันยับยู่ยี่ในมือของมู่จื่อโหรว “สายตาของข้าพร่ามัว อยากจะเชิญเขามาช่วยดูว่าหญิงสาวในภาพนี้คือผู้ใดกันแน่ ไม่ได้หรือไร?”
“ได้ แน่นอนว่าได้อยู่แล้ว” มู่เซิ่งเปลี่ยนใจทันที พร้อมกวักมือเรียกข้ารับใช้เข้ามา พลางกระซิบบางอย่างกับเขา ก่อนที่จะสั่งเสียงออกมา “ไปเชิญหวางมามามาที่นี่ ภาพนี้หลุดมาจากมือลูกชายของนาง ยังไงนางก็คงจะอธิบายบางอย่างได้บ้าง”
หลังจากรอไม่นานนัก ยายหวางก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามาด้านใน “ข้าน้อยน้อมเคารพองค์หญิง!ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้าน้อยเองเจ้าค่ะ ที่ไม่ได้ดูแลลูกชายเอาไว้ให้ดี แต่ว่าข้าน้อยได้ถามและรู้แล้วว่าผู้ใดเป็นผู้ที่มอบภาพนี้ให้แก่เขาแล้วเจ้าค่ะ”
“ผู้ใด?” มู่จื่อโหรวชิงถามอย่างอดไม่ได้
“คุณหนูสามเจ้าค่ะ” ยายหวางเงยหน้าขึ้นไปมองมู่อวิ๋นซี “อีกทั้งนางยังกล้าหลอกลวงลูกชายของข้าด้วยว่านางคือมู่จื่อโหรว แล้วได้เอาภาพนั้นให้กับเขา พร้อมบอกว่านั่นคือภาพวาดของตัวเองด้วยเจ้าค่ะ”
“มู่อวิ๋นซี!เจ้ามันนังแพศยา!”
มู่จื่อโหรวเดือดหนัก ยกมือขึ้นฟาดตรงไปยังใบหน้าของมู่อวิ๋นซีอีกครั้ง ตัวเองกลับได้เชื่อคำโกหกของนางไว้
แต่ในขณะที่ลมกำลังพัดผ่านปลายผมของมู่อวิ๋นซี มู่อวิ๋นซีก็คุกเข่าลงไปอย่างกะทันหัน โดยที่มือของมู่จื่อโหรวก็ผ่านหัวของนางไปอย่างฉิวเฉียด
มู่อวิ๋นซีคุกเข่าให้กับยายหวางที่กำลังคุกเข่าอยู่เช่นกัน พลางพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัวและตื่นตระหนก
“หวางมามา ข้าสำนึกผิดแล้ว ท่านพูดอะไรก็เป็นเช่นนั้น อย่าให้ข้าทานแบะหมึ่งตงต้มปลาตะเพียน กับหน่อไม้อบเนื้อแกะอีกเลย ทุกครั้งที่ข้าได้ทานข้าก็รู้สึกปวดท้องรุนแรงทุกที”
ยายหวางหน้าซีดขึ้นมาทันที “คุณหนูสาม ท่านว่าอะไรนะ?”
“หวางมามา เป็นความผิดของข้าเอง ท่านจะให้ข้าไปปรนนิบัติลูกชายโง่ของท่าน ข้าก็จะไปปรนนิบัติเขา ท่านจะให้ข้าทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ข้าขอร้อง ท่านอย่าได้ให้ข้าทานมันฝรั่งที่แตกหน่อแล้วเลย ทุกครั้งที่ข้าทานแล้วก็รู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นเลยเจ้าค่ะ”
ยายหวางงุนงงอย่างมาก สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเหตุใดถึงไม่เหมือนกับที่นางคิดเอาไว้ ?

“คุณหนูสาม ท่านอย่าได้พูดเหลวไหล ข้าเมื่อไหร่ไป ……”
“มู่อวิ๋นซี!”
คราวนี้มู่เซิ่งรู้สึกเสียใจอย่างถึงที่สุด หากรู้แต่แรก เขาคงจะไม่คิดอะไรมากมายเช่นนั้น แล้ววางพีซวงฆ่าเจ้ามารผจญนี้ไปเสีย(พีซวงเป็นสารหนู)
“เจ้ากำลังพูดเหลวไหลอะไรกัน?ตอนนี้กำลังพูดถึงเรื่องภาพวาด อย่าได้ชักแม่น้ำทั้งห้า !”
ยายหวางกระเตื้องทันทีที่ได้เห็นการบอกใบ้จากมู่เซิ่ง อีกนิดเดียวนางก็เกือบจะถูกแพศยาคนนี้จูงจมูกเสียแล้ว
“คุณหนูสาม ข้าน้อยไม่ทราบว่าท่านกำลังพูดสิ่งใด แต่ท่านไม่ควรมาใส่ร้ายข้าเพื่อที่จะหนีความรับผิดชอบเช่นนี้ ?”
ยายหวางแสดงสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจมองไปยังองค์หญิงใหญ่ “องค์หญิง ท่านคงจะเคยได้มาแล้วว่าลูกชายของข้าน้อยเป็นคนที่สมองไม่ปกติ คนเช่นนั้นอย่างเขา จะพูดโกหกได้อย่างไรเจ้าคะ”
“ไม่เจ้าค่ะ คำพูดของเขาเชื่อถือไม่ได้” มู่อวิ๋นซีรีบโต้แย้งทันที
“เหตุใดถึงเชื่อถือไม่ได้เจ้าคะ?” แววตาของยายหวางฉายแววเย้ยหยัน “เกรงว่าคำพูดของเขา จะเป็นความจริงยิ่งกว่าทุกคนเสียอีก”
มู่อวิ๋นซีเหลือบมองไปยังมู่เซิ่ง ก่อนจะกวาดตาไปยังมู่จื่อโหรว แล้วถึงค่อยพูดออกมาอย่างลังเล “แต่วันนั้นที่สวนเหมย เขาบอกว่าภรรยาของเขามีนามว่า มู่จื่อโหรว เขายังบอกอีกว่าภรรยาของเขามีแผลเป็นอยู่ที่ไหล่ เช่นนี้ก็เป็นเรื่องจริงได้หรือเจ้าคะ ?”
“นั่นเป็นเพราะว่าถูกท่าน……”
“ไหล่ของข้ามีแผลเป็นตรงไหนกัน?เจ้าโง่นั่นกำลังพูดจาเหลวไหลอยู่ชัดๆ ”
มู่จื่อโหรวจงใจขัดจังหวะคำพูดยายหวาง แล้วดึงเสื้อของตัวเองออก เผยให้เห็นไหล่ซ้ายออกมา “มู่อวิ๋นซี เบิกตาของเจ้าดูให้ดี บนไหล่ของข้ามีแผลเป็นหรือ ?”

มู่อวิ๋นซีลดสายตาลงปกปิดรอยยิ้มเยาะเย้ยที่ฉายออกมาจากแววตา
มู่เซิ่งพุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว จนดวงตาแทบจะทะลักล้นออกมา “แผลเป็นล่ะ?เจ้า……แผลเป็นตรงนี้ของเจ้าเล่า?”
มู่จื่อโหรวถึงกับตกใจ “ข้ามีแผลเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
มู่เซิ่งหันหน้าไปสบตากับยายหวาง ทั้งสองต่างมองเห็นว่าใบหน้าที่ย่ำแย่ของตัวเองผ่านสายตาของอีกฝ่าย
“ข้า……ข้าเองก็ไม่มีแผลเป็นเช่นกัน ไม่เชื่อพวกท่านก็ดูนี่” มู่อวิ๋นซีทำทีจะปลดชุดออก
“ไม่รู้ยางอาย!”
มู่เซิ่งตะคอกด้วยความโกรธ “เจ้าเป็นกุลสตรี จะมาเปลื้องผ้าเช่นนี้ไม่ไร้ยางอายบ้างหรือไร ?”
ใบหน้าของนางได้ทำให้องค์หญิงใหญ่เกิดความสงสัยขึ้นมาอยู่แล้ว ถ้าหากได้เห็นปานบนไหล่ของนางอีก ……
มู่เซิ่งไม่กล้าที่จะจินตนาการเลย
“ท่าน……ท่านพ่อ!” มู่อวิ๋นซีเรียกออกมาอย่างขี้ขลาด พลางเหลือบมองไปยังมู่จื่อโหรวที่อยู่ข้างๆ “ข้าไม่ได้ถอดนี่เจ้าคะ นี่ท่านกำลังด่าคุณหนูจื่อโหรวสินะเจ้าคะ ?แต่นางแค่เพียงต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองเท่านั้นเจ้าค่ะ”
มู่จื่อโหรวที่ได้ยินอย่างนั้นก็เพิ่งจะรู้ตัว ว่าคำพูดของมู่เซิ่งเมื่อสักครู่นี้ไม่ได้ด่าว่ามู่อวิ๋นซีแต่คือนาง “ท่านสิที่ไร้ยางอาย เมื่อกี้ท่านยังหรี่ตาจ้องข้าอยู่เลย อย่าคิดว่าข้าจะมองไม่เห็น”
มู่เซิ่งโกรธเคืองอย่างหนัก “เจ้า……”
“อวิ๋นซี ให้ท่านรองมู่ได้เห็นไหล่ซ้ายของเจ้าสิ” และในตอนนั้นเองที่เสียงขององค์หญิงใหญ่ดังขึ้นมา
“เจ้าค่ะ องค์หญิง!”
มู่อวิ๋นซีเปิดไหล่ซ้ายออกมาอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย บนผิวขาวนวลดุจหิมะประทับด้วยกลีบดอกท้อดูงดงามและแพรวพราวอย่างยิ่ง
“นี่……” มู่เซิ่งตาโตอ้าปากค้าง ส่วนยายหวางก็มีเหงื่อไหลออกมาท้วมตัว
“มู่เซิ่ง ท่านรองมู่!”
องค์หญิงใหญ่จ้องมู่เซิ่งเขม้น “ท่านไม่มีสิ่งใดที่จะพูดกับข้าอย่างนั้นรึ?”
“ได้ข่าวมาว่าที่ตลาดซีซื่อมีคนทางตะวันตกกลุ่มหนึ่งเข้ามา ซึ่งมีความชำนาญด้านการสักที่สุด แบบที่อยากจะได้สิ่งก็จะเป็นเหมือนสิ่งนั้น อวิ๋นซี ” มู่เซิ่งหันไปหามู่อวิ๋นซี พลางพูดด้วยใบหน้ายิ้มอ่อน “เจ้าไปเชิญช่างสักคนใดมา วันหลังไปเชิญมาสักปานให้พ่อสักรูปที”

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset